มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2790

ในเมื่อฮู๋ชิงชิงอยู่ที่นี่ เช่นนั้นหลัวซิวก็วางแผนที่จะเลือกตำหนักปีศาจนภาแล้ว 

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เขายังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าผลการฝึกตนของฮู๋ชิงชิงเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าแล้ว แต่ทว่านางไม่ได้ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาแต่อย่างใด อย่างไรเสียการผนึกรวมกงล้อเทพนั้นเกี่ยวเนื่องถึงผลสำเร็จสูงต่ำในอนาคต เพราะฉะนั้นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าจำนวนมากจึงจะใช้กาลเวลาที่ยาวนาน มาทำการตกตะกอนผนึกรวมกงล้อเทพที่มีคุณสมบัติที่ดีที่สุดออกมา 

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้า ย่อมต้องผ่านการคัดเลือกง่ายกว่าเทพมารระดับแปดอยู่แล้ว และการที่ฮู๋ชิงชิงบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าเร็วขนาดนี้นั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าโชคโอกาสที่นางได้รับจากปราสาทอสูรฟ้านั้นไม่ธรรมดา 

หากนางสามารถเข้าไปในสถานแหล่งเต๋า แม้นจะผนึกรวมกงล้อเทพที่สมบูรณ์แบบออกมาไม่ได้ จากสติปัญญาของนาง อย่างน้อยก็สามารถผนึกรวมกงล้อเทพที่มีคุณภาพระดับชั้นสูงออกมาได้ และขอแค่เป็นคุณภาพชั้นสูง หากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ อนาคตก็มีโอกาสฝึกตนถึงแดนผู้สูงส่งได้แล้วล่ะ

เมื่อสายตาของหลัวซิวกวาดมองไปยังสถานที่อื่น ๆ เขาไม่พบเจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนั่นแต่อย่างใด บัดนี้เขาก็ถือว่าเข้าใจแล้วว่าสาเหตุที่เจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนั่นแจ้นมาโลกสวรรค์นั้น เขาไม่ได้มาเพื่อสหการค้าเลยด้วยซ้ำ ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็คือการมุ่งหน้ามายังสถานแหล่งเต๋า  

แต่ว่าเจ้าหมอนั้นไม่ได้พูดความจริงกับตน นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่พอใจมาก 

หลัวซิวต่อแถวอยู่ด้านหลังกลุ่มคน หลังจากที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็ถึงตาเขาสักที 

เขาใช้ฝ่ามือแนบลงบนลูกแก้ว แล้วเริ่มโคจรผลการฝึกตนก่อน อีกทั้งควบคุมระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทย์ได้อย่างแม่นยำ จึงมีรังสีสีน้ำเงินที่งดงามแย้มบานออกมาจากลูกแก้วทันที อีกทั้งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปทางสีม่วง 

รังสีสีม่วงถือเป็นขีดสูงสุดในแดนเทพมารระดับแปดแล้ว หากอยู่เหนือสีม่วง เล่ากันว่ามันจะกลายเป็นสีทอง ซึ่งหมายความว่าระดับความแข็งแกร่งในพลังเวทย์ผลการฝึกตนของคนคนนั้นบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าแล้ว

หลัวซิวไม่ได้ทำตัวโดดเด่นที่นี่ เขารู้สึกว่าแค่ผ่านการคัดเลือกในรอบนี้ก็พอแล้ว ดังนั้นจึงควบคุมระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทย์ผลการฝึกตนไว้ในระดับที่มีแสงสีม่วงเปล่งประกายอ่อน ๆ

ผลลัพธ์นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้รู้สึกทึ่งมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากผู้สืบทอดคนใดคนหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดยังสามารถทำได้อย่างง่ายดายเลย ยิ่งกว่านั้นคืออาจจะโดดเด่นกว่าหลัวซิวหลายเท่าตัวด้วย

“ผลการฝึกตนถือว่าไม่ค่อยเลวเลย”ผู้ดูแลแห่งตำหนักปีศาจนภาที่มีหน้าที่จดบันทึกพยักหน้าอย่างเรียบนิ่ง “โคจรตัวสำนึกของเจ้า”

หลัวซิวดึงผลการฝึกตนกลับมา จากนั้นโคจรตัวสำนึกให้เคลื่อนผ่านฝ่ามือแล้วถ่ายเทเข้าไปในลูกแก้ว จากนั้นก็มีแสงสีม่วงอ่อน ๆ แย้มบานออกมาจากลูกแก้วเช่นกัน 

“ตัวสำนึกวิญญาณก็ไม่เลวเช่นกัน ซึ่งนี่โดดเด่นกว่าผลการฝึกตนมากเลยนะ”ผู้ดูแลแห่งตำหนักปีศาจนภาอมยิ้มพลางพูด 

ไม่ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามย้ำเตือน หลัวซิวก็โคจรแรงฮึดร่างเนื้อแล้วปลดปล่อยลงไปในลูกแก้ว แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางโคจรอย่างสุดกำลังสามารถอยู่แล้ว และมีแสงสีม่วงอ่อน ๆ แย้มบานออกมาจากตัวลูกแก้วเหมือนกัน 

ผลการประเมินนี้ไม่ถือว่าน่าทึ่งเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าไม่ค่อยเลวแล้ว เพียงพอที่จะสามารถผ่านการคัดเลือกของตำหนักปีศาจนภา

“ดีมาก เจ้าชื่ออะไร เจ้าผ่านการคัดเลือกแล้ว และจะได้เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกในหอคอยนภากาศด้วยตัวตนศิษย์ตำหนักปีศาจนภา”ผู้ดูแลที่มีหน้าที่รับผิดชอบจดบันทึกของตำหนักปีศาจนภามองหลัวซิวด้วยสายตาที่ค่อนข้างพึงพอใจรอบหนึ่ง

จอมยุทธ์ทั่วไปมักจะเน้นฝึกด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นบางคนมีร่างเนื้อแข็งแกร่ง บางคนมีผลการฝึกตนที่แข็งแกร่ง และมีบางคนที่มีตัวสำนึกแข็งแกร่ง 

ส่วนผู้ที่โดดเด่นทั้งสามด้านอย่างชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้กลับมีไม่มาก คนประเภทนี้ภาพรวมดูไม่ค่อยโดดเด่น แต่กลับมีศักยภาพที่สูงมาก ซึ่งนี่ก็หมายความว่าคนดังกล่าวมีพรสวรรค์ด้านการกลั่นร่าง กลั่นวิญญาณและการฝึกตนที่โดดเด่นมาก 

“ขอบพระคุณผู้ดูแลขอรับ ข้ามีนามว่าเหวิ้นเต้า เป็นนักค่ายเทพคนหนึ่งขอรับ”หลัวซิวตอบกลับ จากนั้นเขาก็เดินไปยืนข้างฮู๋ชิงชิง

“ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้ชื่ออะไรหรือ?”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยลอยมา ก่อนจะมีชายหนุ่มที่อยู่ในชุดดำปรากฏตรงหน้าฮู๋ชิงชิง

แม้นฮู๋ชิงชิงจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าออร่าของตัวเองแล้วก็ตาม แต่นางก็ยังคงมีพลังออร่าพิเศษที่ดึงดูดผู้คนได้อยู่เช่นเคย บนเสื้อของชายหนุ่มชุดดำคนนี้มีคำว่า‘ปีศาจ’ติดอยู่ และเขาก็เป็นศิษย์ของตำหนักปีศาจนภาอย่างไร้ข้อสงสัยแล้วล่ะ

หลัวซิวเห็นว่าฮู๋ชิงชิงขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นรู้สึกแห้ว ในทางตรงกันข้ามแววตากลับยิ่งเป็นประกายขึ้นมา “โฉมงามมีเวลาดื่มเป็นมิตรข้าสักแก้วหรือไม่?”

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยิ่งอยู่ยิ่งเกินเลย ใบหน้าฮู๋ชิงชิงก็ดูเยือกเย็นขึ้น ก่อนจะตอบกลับอย่างเย็นชา: “ท่านชายโปรดสำรวมตัวด้วยเจ้าค่ะ”

“สหายโหมวเจ๋อ ข้าจำได้ว่าเจ้าตามจีบเทพธิดาเมิ่งเหยาแห่งหอมกุฎดาบมาโดยตลอดเลยมิใช่รึ?”

จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะหนึ่งสะท้อนมา เมื่อหลัวซิวเห็นผู้มาเยือน เขาก็ไม่ทันได้สังเกตเช่นกันว่าเจ้านักพรตชิงชานนั่นแจ้นมาฝั่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ 

รอยยิ้มที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยหายไปจากใบหน้าชายหนุ่มชุดดำภายในพริบตา ก่อนจะทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น “นักพรตน้อยชิงซาน มึงอยากตายหรือ?”

“โหมวเจ๋อ ท่าทีนี้ของเจ้าน่ะ เก็บไว้ข่มขู่ผู้อื่นก็พอแล้ว”

นักพรตชิงชานไม่ได้นำคำข่มขู่ของโหมวเจ๋อมาไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ สายตาหันไปทางฮู๋ชิงชิง ก่อนจะยิ้มพลางพูดว่า: “ช่างเป็นโฉมงามที่โดดเด่นเสียจริง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเทพธิดาเมิ่งเหยาแล้ว ก็ต่างกันมากเลยล่ะ หรือว่าโหมวเจ๋อเจ้าเปลี่ยนใจแล้ว?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ