มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2793

แม้ว่าวิธีการจะเหมือนกัน แต่นักพรตชิงชานนั้นแข็งแกร่งกว่าชายวัยกลางคนเมื่อสักครู่มากนัก เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน เตากลั่นนภาจื่อเซียวได้ลอยออกมาจากตรงกลางระหว่างคิ้วของหลัวซิว เสริมด้วยผนึกตราขั้นสอง

ในขณะเดียวกันนั้น ศิลาเทวชิงเทียนได้ค่อย ๆ ลอยเข้ามา ถูกหลัวซิวเก็บกลับเข้าไปในส่วนลึกของตรงกลางระหว่างคิ้ว น่าเสียดายที่อานุภาพของสิ่งล้ำค่าแข็งแกร่งมากเกินไป ตอนที่ร่างของนักพรตชิงชานถูกกดทับจนแตกสลายไปนั้น ทุกอย่างได้ถูกทำลายไปจนหมด ไม่เหลืออะไรเอาไว้เลย

จากนั้นความเหนื่อยล้าก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เมื่อสักครู่ได้กระตุ้นให้ศิลาเทวชิงเทียนแสดงอานุภาพที่ร้ายกาจที่สุดออกมา ถึงแม้จะใช้เวทย์ฝึกตนอันแข็งแกร่งของเขา แต่ก็ได้สูญเสียพลังไปมากเหมือนกัน

วังนภาสิบสองให้ความสำคัญกับการเปิดในทุกครั้งของหอคอยนภากาศเป็นอย่างมาก เพราะภายใต้การสืบทอดเป็นเวลานานแสนนานของวังนภาสิบสอง มีตำนานและบันทึกที่เกี่ยวข้องกับหอคอยนภากาศ อยู่

ตำนานเล่าว่าในยุคที่เก่าแก่ยาวนานจนไม่อาจสืบเสาะกลับไปได้นั้น หอคอยนภากาศก็ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ว่ากันว่าหอคอยนภากาศนั้นได้ลอยมาจากนอกความว่างเปล่า พูดได้ว่าลึกลับที่สุด และเป็นสิ่งที่ถูกถกเถียงกล่าวถึงมากที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณมา

วังนภาสิบสองเฝ้ารักษาหอคอยนภากาศมาเป็นเวลาหลายปีนับไม่ถ้วน เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าวิถีที่แฝงอยู่ในหอคอยนภากาศ มันสมบูรณ์แบบและลึกซึ้งยิ่งกว่าวิถีในดาราจักรวาล ทว่าต้องการเข้าไปในหอคอยนภากาศนั้นกลับมีข้อจำกัดอันแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ยังไม่ผนึกรวมกงล้อเทพเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าไปได้

ทุกครั้งที่สถานแหล่งเต๋าเปิด หอคอยนภากาศก็จะเปิดตาม เพื่อให้อัจฉริยะที่ยังไม่ได้ผนึกรวมกงล้อเทพได้เข้าไปฝึกหาประสบการณ์ในหอคอยนภากาศ เพราะถ้าหากเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าและผนึกรวมกงล้อเทพแล้วนั้น ก็จะไม่มีโอกาสเข้าหอคอยนภากาศได้อีกแล้ว

ในรุ่นนี้วังชิงเทียนมีลูกศิษย์ไม่น้อยที่บรรลุถึงแดนเทพมารขั้นแปดหรือไม่ก็แดนเทพมารขั้นเก้า คนพวกนี้ล้วนยังไม่ได้ผนึกรวมกงล้อเทพ ต่างพากันเฝ้ารอการเปิดของสถานแหล่งเต๋า หวังว่าจะสามารถผนึกรวมกงล้อเทพที่คุณภาพดีที่สุดออกมาได้

ทว่าในบรรดาศิษย์มากมาย คนที่พวกผู้นำให้ความสำคัญที่สุด ก็คือนักพรตชิงชาน แม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจะไม่ได้สูงที่สุดในรุ่นเดียวกัน แต่กลับมีพรสวรรค์และกำลังแฝงมากที่สุด

เพราะผู้แข็งแกร่งหลายคนต่างสัมผัสได้แล้วว่ามหันตภัยใกล้จะมาถึง ทุกครั้งที่มหันตภัยมาถึงนั้น สิ่งมีชีวิตในดาราจักรวาลต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่ตามมา ก็จะมีคนที่ได้โผล่พ้นมหันตภัย ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกยุทธ์

นับตั้งแต่สมัยวัฏสงสารสิ้นสุดลง เริ่มยุคมหาศักดิ์มาจนถึงวันนี้ ในดาราจักรวาลก็ไม่เคยมีการดำรงอยู่ระดับระดับประมุขเต๋าปรากฏขึ้นมาก่อน ส่วนมหันตภัยในครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนดั่งจุดหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งหนึ่ง หลังจากมหันตภัยในครั้งนี้ ต้องมีประมุขเต๋าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ดังนั้นวังชิงเทียนจึงตั้งความหวังกับนักพรตชิงชานเอาไว้สูงมาก หวังว่าจะฝึกฝนเลี้ยงดูเขาให้เป็นผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดของวังชิงเทียนได้ ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดไปทีละเก้าได้ในอนาคต ยึดตำแหน่งประมุขเต๋า กลายเป็นประมุขเต๋าชิงเทียนรุ่นที่สอง!

ทันทีที่มีประมุขเต๋าคอยประจำการ เช่นนั้นไม่ว่ามหันตภัยในครั้งนี้จะน่ากลัวถึงเพียงใด วังชิงเทียนก็ต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน

แม้ว่าผู้นำขบวนของวังนภาสิบสองต่างก็เป็นผู้คุมกฎมกุฎเทพขั้นเก้า แต่ในส่วนลึกของห้วงดาราอันมืดมิด ในความเป็นจริงแล้ววังนภาสิบสองต่างก็มีผู้แข็งแกร่งระดับผู้อาวุโสคอยจับตามองความเคลื่อนไหวรอบ ๆ หอคอยนภากาศ

ที่ตั้งของหอคอยนภากาศ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ย่อมจะให้เกิดความผิดพลาดใด ๆ ไม่ได้อย่างแน่นอน

ทันใดนั้นเอง ผู้อาวุโสวังชิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนดาราร้างดวงหนึ่งพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น หยกที่แขวนอยู่ระหว่างเอวกะพริบแสง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่ามีข่าวส่งมา

หลังจากที่เขาขับเคลื่อนตัวสำนึกอ่านข้อความ สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที ไอสังหารปะทุ ร่างชราไร้เรี่ยวแรงพลันเปลี่ยนเป็นแข็งแรงกำยำ ตวาดขึ้นมาด้วยความโมโห: “ใครกล้าสังหารผู้สืบทอดวังชิงเทียนของข้า?”

ผู้นำระดับสูงของวังชิงเทียนได้ฝากความหวังไว้กับนักพรตชิงชานเอาไว้สูงมาก ทว่าความหวังนี้ยังไม่รอให้มหันตภัยได้มาถึง ก็ถูกทำลายไปเสียแล้ว นี่ทำให้ผู้นำระดับสูงหลายคนของวังชิงเทียนอย่างผู้อาวุโสกับเจ้าศักดิ์สิทธิ์ โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

หลัวซิวไม่รู้เลยว่าที่ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น แต่สามารถจินตนาการได้ว่า หลังจากเขากลั่นแปรช่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของนักพรตชิงชานจนเสร็จเรียบร้อย วังชิงเทียนต้องมีวิธีรับรู้ข่าวการตายของนักพรตชิงชานได้ทันทีอย่างแน่นอน

ทว่าหลัวซิวไม่ได้เก็บเรื่องพวกนี้เอามาใส่ใจเลย ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้กำจัดนักพรตชิงชานไปแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอคอยนภากาศ เกรงว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งพวกนั้นของวังชิงเทียน ก็คงไม่มีความสามารถมาสืบรู้ได้กระมัง?

หลังจากหาสถานที่ฟื้นฟูผลการฝึกตนเสร็จเรียบร้อย หลัวซิวก็เดินสำรวจปริภูมิในหอคอยนภากาศต่อไป พื้นที่ของที่นี่กว้างขวางกว่าปริศนาปริตรวันมากนัก ผ่านไปอีกหลายวัน หลัวซิวได้พบอย่างประปรายเพียงคนสองคนเท่านั้น

และในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้หลัวซิวก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาหาหินนภาพลังเต๋าพบอีกหลายก้อน ต่างก็มีวิถีชีวิตอันบริสุทธิ์ เปล่งแสงสีเขียววับวาว

ปริศนาปริตรวันนั้นแบ่งเป็นชั้น ๆ หอคอยนภากาศเองก็เช่นกัน หลัวซิวรู้ดีว่าตนเองเดินอยู่ในชั้นที่หนึ่งของหอคอยนภากาศมาโดยตลอด สาเหตุที่ผ่านมานานเช่นนี้แล้วยังไม่พบคนอื่น เขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่คนอื่น ๆ ได้ขึ้นไปยังชั้นที่สูงกว่าของหอคอยนภากาศแล้ว

วันนี้ หลัวซิวได้พบสมุนไพรเซียนระดับเก้าอีกแล้ว สำหรับสมุนไพรเซียนระดับราชาชั้นเก้า เขากลับไม่เคยได้เจอเลยสักต้น

“จะไปชั้นที่สองได้อย่างไร?” หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาไม่เคยมาหอคอยนภากาศมาก่อน ตอนอยู่ที่ตำหนักปีศาจนภาก็ไม่ได้บอกกับเขาว่าควรจะเคลื่อนไหวอย่างไรเมื่ออยู่ในหอคอยนภากาศ ดังนั้นเมื่อเข้ามาแล้วเขาจึงได้แต่เดินสำรวจอย่างไร้จุดหมาย จับใจความสำคัญอะไรไม่ได้เลย

ทันใดนั้นเอง เขาพลันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทย์ที่รุนแรงกระเพื่อมเข้ามาเป็นระลอก เขากระจายตัวสำนึกออกไปทันที จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงการกระทบกันของพลังเต๋าสองกลุ่ม มีคนกำลังประมือกันอยู่

เป็นเพราะความแค้นต่าง ๆ นานา หรือไม่ก็แย่งชิงสมบัติวิเศษกัน เกิดการต่อสู้กันขึ้นในหอคอยนภากาศเป็นเรื่องที่ปกติมาก ปกติแล้วเรื่องเช่นนี้ หลัวซิวคร้านที่จะไปยุ่งเกี่ยว ขอแค่ไม่มาหาเรื่องตนเอง เขาก็จะไม่เป็นฝ่ายไปก่อกวนคนอื่นก่อน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ