แม้ว่าวิธีการจะเหมือนกัน แต่นักพรตชิงชานนั้นแข็งแกร่งกว่าชายวัยกลางคนเมื่อสักครู่มากนัก เพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน เตากลั่นนภาจื่อเซียวได้ลอยออกมาจากตรงกลางระหว่างคิ้วของหลัวซิว เสริมด้วยผนึกตราขั้นสอง
ในขณะเดียวกันนั้น ศิลาเทวชิงเทียนได้ค่อย ๆ ลอยเข้ามา ถูกหลัวซิวเก็บกลับเข้าไปในส่วนลึกของตรงกลางระหว่างคิ้ว น่าเสียดายที่อานุภาพของสิ่งล้ำค่าแข็งแกร่งมากเกินไป ตอนที่ร่างของนักพรตชิงชานถูกกดทับจนแตกสลายไปนั้น ทุกอย่างได้ถูกทำลายไปจนหมด ไม่เหลืออะไรเอาไว้เลย
จากนั้นความเหนื่อยล้าก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เมื่อสักครู่ได้กระตุ้นให้ศิลาเทวชิงเทียนแสดงอานุภาพที่ร้ายกาจที่สุดออกมา ถึงแม้จะใช้เวทย์ฝึกตนอันแข็งแกร่งของเขา แต่ก็ได้สูญเสียพลังไปมากเหมือนกัน
วังนภาสิบสองให้ความสำคัญกับการเปิดในทุกครั้งของหอคอยนภากาศเป็นอย่างมาก เพราะภายใต้การสืบทอดเป็นเวลานานแสนนานของวังนภาสิบสอง มีตำนานและบันทึกที่เกี่ยวข้องกับหอคอยนภากาศ อยู่
ตำนานเล่าว่าในยุคที่เก่าแก่ยาวนานจนไม่อาจสืบเสาะกลับไปได้นั้น หอคอยนภากาศก็ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ว่ากันว่าหอคอยนภากาศนั้นได้ลอยมาจากนอกความว่างเปล่า พูดได้ว่าลึกลับที่สุด และเป็นสิ่งที่ถูกถกเถียงกล่าวถึงมากที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณมา
วังนภาสิบสองเฝ้ารักษาหอคอยนภากาศมาเป็นเวลาหลายปีนับไม่ถ้วน เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าวิถีที่แฝงอยู่ในหอคอยนภากาศ มันสมบูรณ์แบบและลึกซึ้งยิ่งกว่าวิถีในดาราจักรวาล ทว่าต้องการเข้าไปในหอคอยนภากาศนั้นกลับมีข้อจำกัดอันแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ยังไม่ผนึกรวมกงล้อเทพเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าไปได้
ทุกครั้งที่สถานแหล่งเต๋าเปิด หอคอยนภากาศก็จะเปิดตาม เพื่อให้อัจฉริยะที่ยังไม่ได้ผนึกรวมกงล้อเทพได้เข้าไปฝึกหาประสบการณ์ในหอคอยนภากาศ เพราะถ้าหากเข้าไปในสถานแหล่งเต๋าและผนึกรวมกงล้อเทพแล้วนั้น ก็จะไม่มีโอกาสเข้าหอคอยนภากาศได้อีกแล้ว
ในรุ่นนี้วังชิงเทียนมีลูกศิษย์ไม่น้อยที่บรรลุถึงแดนเทพมารขั้นแปดหรือไม่ก็แดนเทพมารขั้นเก้า คนพวกนี้ล้วนยังไม่ได้ผนึกรวมกงล้อเทพ ต่างพากันเฝ้ารอการเปิดของสถานแหล่งเต๋า หวังว่าจะสามารถผนึกรวมกงล้อเทพที่คุณภาพดีที่สุดออกมาได้
ทว่าในบรรดาศิษย์มากมาย คนที่พวกผู้นำให้ความสำคัญที่สุด ก็คือนักพรตชิงชาน แม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจะไม่ได้สูงที่สุดในรุ่นเดียวกัน แต่กลับมีพรสวรรค์และกำลังแฝงมากที่สุด
เพราะผู้แข็งแกร่งหลายคนต่างสัมผัสได้แล้วว่ามหันตภัยใกล้จะมาถึง ทุกครั้งที่มหันตภัยมาถึงนั้น สิ่งมีชีวิตในดาราจักรวาลต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่ตามมา ก็จะมีคนที่ได้โผล่พ้นมหันตภัย ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกยุทธ์
นับตั้งแต่สมัยวัฏสงสารสิ้นสุดลง เริ่มยุคมหาศักดิ์มาจนถึงวันนี้ ในดาราจักรวาลก็ไม่เคยมีการดำรงอยู่ระดับระดับประมุขเต๋าปรากฏขึ้นมาก่อน ส่วนมหันตภัยในครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนดั่งจุดหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งหนึ่ง หลังจากมหันตภัยในครั้งนี้ ต้องมีประมุขเต๋าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นวังชิงเทียนจึงตั้งความหวังกับนักพรตชิงชานเอาไว้สูงมาก หวังว่าจะฝึกฝนเลี้ยงดูเขาให้เป็นผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดของวังชิงเทียนได้ ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดไปทีละเก้าได้ในอนาคต ยึดตำแหน่งประมุขเต๋า กลายเป็นประมุขเต๋าชิงเทียนรุ่นที่สอง!
ทันทีที่มีประมุขเต๋าคอยประจำการ เช่นนั้นไม่ว่ามหันตภัยในครั้งนี้จะน่ากลัวถึงเพียงใด วังชิงเทียนก็ต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าผู้นำขบวนของวังนภาสิบสองต่างก็เป็นผู้คุมกฎมกุฎเทพขั้นเก้า แต่ในส่วนลึกของห้วงดาราอันมืดมิด ในความเป็นจริงแล้ววังนภาสิบสองต่างก็มีผู้แข็งแกร่งระดับผู้อาวุโสคอยจับตามองความเคลื่อนไหวรอบ ๆ หอคอยนภากาศ
ที่ตั้งของหอคอยนภากาศ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ย่อมจะให้เกิดความผิดพลาดใด ๆ ไม่ได้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นเอง ผู้อาวุโสวังชิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนดาราร้างดวงหนึ่งพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น หยกที่แขวนอยู่ระหว่างเอวกะพริบแสง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่ามีข่าวส่งมา
หลังจากที่เขาขับเคลื่อนตัวสำนึกอ่านข้อความ สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที ไอสังหารปะทุ ร่างชราไร้เรี่ยวแรงพลันเปลี่ยนเป็นแข็งแรงกำยำ ตวาดขึ้นมาด้วยความโมโห: “ใครกล้าสังหารผู้สืบทอดวังชิงเทียนของข้า?”
ผู้นำระดับสูงของวังชิงเทียนได้ฝากความหวังไว้กับนักพรตชิงชานเอาไว้สูงมาก ทว่าความหวังนี้ยังไม่รอให้มหันตภัยได้มาถึง ก็ถูกทำลายไปเสียแล้ว นี่ทำให้ผู้นำระดับสูงหลายคนของวังชิงเทียนอย่างผู้อาวุโสกับเจ้าศักดิ์สิทธิ์ โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
หลัวซิวไม่รู้เลยว่าที่ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น แต่สามารถจินตนาการได้ว่า หลังจากเขากลั่นแปรช่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของนักพรตชิงชานจนเสร็จเรียบร้อย วังชิงเทียนต้องมีวิธีรับรู้ข่าวการตายของนักพรตชิงชานได้ทันทีอย่างแน่นอน
ทว่าหลัวซิวไม่ได้เก็บเรื่องพวกนี้เอามาใส่ใจเลย ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้กำจัดนักพรตชิงชานไปแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอคอยนภากาศ เกรงว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งพวกนั้นของวังชิงเทียน ก็คงไม่มีความสามารถมาสืบรู้ได้กระมัง?
หลังจากหาสถานที่ฟื้นฟูผลการฝึกตนเสร็จเรียบร้อย หลัวซิวก็เดินสำรวจปริภูมิในหอคอยนภากาศต่อไป พื้นที่ของที่นี่กว้างขวางกว่าปริศนาปริตรวันมากนัก ผ่านไปอีกหลายวัน หลัวซิวได้พบอย่างประปรายเพียงคนสองคนเท่านั้น
และในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้หลัวซิวก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาหาหินนภาพลังเต๋าพบอีกหลายก้อน ต่างก็มีวิถีชีวิตอันบริสุทธิ์ เปล่งแสงสีเขียววับวาว
ปริศนาปริตรวันนั้นแบ่งเป็นชั้น ๆ หอคอยนภากาศเองก็เช่นกัน หลัวซิวรู้ดีว่าตนเองเดินอยู่ในชั้นที่หนึ่งของหอคอยนภากาศมาโดยตลอด สาเหตุที่ผ่านมานานเช่นนี้แล้วยังไม่พบคนอื่น เขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่คนอื่น ๆ ได้ขึ้นไปยังชั้นที่สูงกว่าของหอคอยนภากาศแล้ว
วันนี้ หลัวซิวได้พบสมุนไพรเซียนระดับเก้าอีกแล้ว สำหรับสมุนไพรเซียนระดับราชาชั้นเก้า เขากลับไม่เคยได้เจอเลยสักต้น
“จะไปชั้นที่สองได้อย่างไร?” หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาไม่เคยมาหอคอยนภากาศมาก่อน ตอนอยู่ที่ตำหนักปีศาจนภาก็ไม่ได้บอกกับเขาว่าควรจะเคลื่อนไหวอย่างไรเมื่ออยู่ในหอคอยนภากาศ ดังนั้นเมื่อเข้ามาแล้วเขาจึงได้แต่เดินสำรวจอย่างไร้จุดหมาย จับใจความสำคัญอะไรไม่ได้เลย
ทันใดนั้นเอง เขาพลันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทย์ที่รุนแรงกระเพื่อมเข้ามาเป็นระลอก เขากระจายตัวสำนึกออกไปทันที จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงการกระทบกันของพลังเต๋าสองกลุ่ม มีคนกำลังประมือกันอยู่
เป็นเพราะความแค้นต่าง ๆ นานา หรือไม่ก็แย่งชิงสมบัติวิเศษกัน เกิดการต่อสู้กันขึ้นในหอคอยนภากาศเป็นเรื่องที่ปกติมาก ปกติแล้วเรื่องเช่นนี้ หลัวซิวคร้านที่จะไปยุ่งเกี่ยว ขอแค่ไม่มาหาเรื่องตนเอง เขาก็จะไม่เป็นฝ่ายไปก่อกวนคนอื่นก่อน
“ค่ายกลพรสวรรค์นี้มีระดับขั้นไม่สูงนัก เป็นเพียงแค่ระดับเทพขั้นเก้าเท่านั้น ทุกท่านที่สามารถมาฝึกหาประสบการณ์ที่หอคอยนภากาศได้ ล้วนมีฝีมือในแดนเทพมารระดับเก้ากันทั้งนั้น และมีอยู่ไม่น้อยที่มีพลังการต่อสู้ทัดเทียมได้กับราชาเทพระดับเก้า หากทุกคนร่วมมือกัน การที่จะทำลายมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”
คนที่พูดนั้นคือบุรุษที่มีไฝอยู่บนแก้มซ้าย คนผู้นี้สวมเครื่องแบบของลูกศิษย์วังสิงเทียน ผลการฝึกตนอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้า รอบกายรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายพลังเต๋า ไม่ด้อยไปกว่านักพรตชิงชานเลยสักนิด
เป็นที่ประจักษ์ว่า คนผู้นี้ก็น่าจะเป็นผู้นำของวังสิงเทียนรุ่นนี้ อยู่ในแดนเทพมารระดับเก้ายังไม่ผนึกรวมกงล้อเทพ ก็มีพลังการตู้สู้ที่สามารถเอาชนะราชาเทพระดับเก้าธรรมดาทั่วไปได้
ในความเป็นจริงแม้หลัวซิวจะเอาชีวิตของนักพรตชิงชานได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาอาศัยพลังของศิลาเทวชิงเทียน หากอาศัยเพียงความสามารถของตนเอง หลัวซิวคงเพียงแค่เอาชนะนักพรตชิงชาน แต่ไม่อาจสังหารเขาได้
“แม้จะพูดเช่นนั้นก็จริง แต่หากค่ายกลถูกทำลาย แล้วจะแบ่งยาเซียนพรสวรรค์ที่อยู่ด้านในอย่างไร?” บุรุษสวมชุดสีทองคนหนึ่งได้เดินออกมา
ชุดคลุมยาวสีทองที่คนผู้นี้สวมคือเครื่องแบบของศิษย์ตำหนักเวหา ทันทีที่เขาเดินออกมานั้นก็ให้ความรู้สึกเหมือนกระบี่เทพไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองเขาโดยตรง
ผลการฝึกตนของคนผู้นี้ก็อยู่ในแดนเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ของวังสิงเทียนที่มีไฝบนใบหน้าผู้นั้นเลย
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนที่อยู่โดยรอบ ทั้งสองคนเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในรุ่นนี้ของวังสิงเทียนและตำหนักเวหาจริง ๆ ต่างได้รับการให้ความสำคัญจากผู้นำระดับสูงของสำนักกันทั้งนั้น เป็นยอดอัจฉริยะซึ่งมีพลังแฝงที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้แข็งแกร่งหรือแม้กระทั่งแดนประมุขเต๋าได้ในอนาคต
ศิษย์ของวังสิงเทียนที่มีไฝบนใบหน้ามีนามว่าสิงจง ส่วนศิษย์ของตำหนักเวหาคนนั้นมีนามว่าเฮ่าเฟิงหยาง
หลัวซิวสังเกตเห็นว่าสองคนนี้เดินออกมาพูด ส่วนคนอื่น ๆ ยังคงอยู่ในความเงียบ ในฐานะที่เป็นผู้นำของบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาว ก็คงมีเพียงบุคคลอันดับหนึ่งในรุ่นหนุ่มสาวของวังอื่น ๆ ถึงจะมีคุณสมบัติออกมาคุยกับพวกเขา หารือเรื่องการเป็นเจ้าของของยาเซียนพรสวรรค์
หลัวซิวกวาดสายตามองไปรอ ๆ พบว่าไม่มีผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของวังอื่น ๆ อยู่ โหมวเจ๋อแห่งตำหนักปีศาจนภาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
อยู่ที่นี่ สิงจงกับเฮ่าเฟิงหยางไม่เพียงมีความสามารถแข็งแกร่ง รอบ ๆ กายของพวกเขาทั้งสองคน ยังมีผู้แข็งแกร่งรุ่นหนุ่มสาวคอยติดตามอยู่ เหมือนว่าได้เห็นยาเซียนพรสวรรค์ที่อยู่ในค่ายกลต้องห้าม เป็นของในกระเป๋าไปเสียแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...