เนื่องจากกลิ่นอายของยาเซียนได้เล็ดลอดออกมา นอกจากสิบกว่าคนที่อยู่ตรงนี้แล้ว ยังมีคนอื่น ๆ ที่กำลังลอยเข้ามาแต่ไกล ผู้คนมารวมตัวกันที่ตรงนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
คำถามที่เฮ่าเฟิงหยางได้เอ่ยถาม ทำให้สิงจงที่เอ่ยขึ้นเป็นคนแรกขมวดคิ้วขึ้นมาเหมือนกัน หากทุกคนแบ่งโดยเท่า ๆ กัน คนยิ่งเยอะ ของที่ทุกคนได้จากส่วนแบ่งนั้นก็จะยิ่งน้อยลง
แต่ว่า ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ จะมีความยุติธรรมอย่างว่าได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้สิงจงจึงโบกมือกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล “ทันทีที่ค่อยกลต้องห้ามถูกทำลาย ทุกคนย่อมต้องอาศัยความสามารถของตนเอง ใครแย่งมาได้ก็เป็นของคนนั้น!”
แน่นอนว่าคำแนะเช่นนี้ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ความจริงแล้วที่สิงจงกล้าพูดเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะมีความเชื่อมั่นในฝีมือของตนเอง ตราบใดที่คนอื่น ๆ มีสมองพอ ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีใครไปแย่งชิงสมบัติที่เข้าตาเขา
“ข้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของสหายสิง แต่ข้าขอเสริมอย่างหนึ่ง ผู้ใดที่ไม่ได้ร่วมทำลายค่ายกลต้องห้ามพรสวรรค์ ห้ามเข้ามาแย่งชิงยาเซียนอย่างเด็ดขาด หากพบเข้าละก็ ทุกคนร่วมมือกันล้อมโจมตี!”
เทียบกับความง่ายและตรงไปตรงมาของสิงจง เฮ่าเฟิงหยางนั้นมีความละเอียดรอบคอบมากกว่า เมื่อข้อเสนอแนะนี้ได้ถูกกล่าวออกมา ก็ได้ป้องกันพวกคนที่ไม่ลงมือทำลายค่ายต้องห้าม ได้แต่รักษากำลังเอาไว้เพื่อแย่งชิงสมบัติในตอนที่ตัวต้องห้ามถูกทำลาย
สำหรับข้อเสนอแนะทั้งข้อนี้ หลัวซิวย่อมไม่คัดค้านใด ๆ อยู่แล้ว สิงจงกับเฮ่าเฟิงหยางเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง แล้วทำไมหลัวซิวจะไม่เหมือนกันเล่า?
“ดี! ในเมื่อทุกคนไม่มีความเห็นต่าง ข้านับหนึ่งสองสาม ทุกคนก็ลงมือพร้อมกัน”
หลังจากสิงจงได้ตะโกนขึ้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันขับเคลื่อนผลการฝึกตน เตรียมพร้อมที่จะลงมือ
อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถทัดเทียมได้กับเทพมารระดับเก้าสี่สิบกว่าคนลงมือพร้อมกัน ต่อให้ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลเทพพรสวรรค์ขั้นเก้า ก็ต้านเอาไว้ได้ไม่นานนัก แล้วสลายไปอย่างสิ้นเชิง
ตามมาด้วยเสียงดังสนั่นสะท้านหู ค่ายกลได้แตกสลายลง กลิ่นอายของยาวิเศษที่เข้มข้นยิ่งขึ้นโถมเข้ามากระทบใบหน้า ทำให้ใบหน้าของทุกคนต่างปรากฏแววยินดีขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ในค่อยกลต้องห้ามพรสวรรค์ คือป่าเขียวขจีผืนหนึ่ง แต่กลับมีรูปปั้นสององค์ที่ไม่รู้ว่าทำจากสิ่งใดอยู่ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางเข้าป่าที่เต็มไปด้วยยาเซียน
“พรึบ!”
วินาทีที่ค่ายกลถูกทำลายลงนั่นเอง ลำแสงสีแดงสองสายก็สาดส่องออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของรูปปั้น จากนั้นรูปปั้นก็ได้ฟื้นคืนชีพ แผ่ซ่านไปด้วยกระแสพลังอันดุร้ายที่เก่าแก่ยาวนาน
รูปปั้นทั้งสององค์นี้ แต่ละองค์ต่างสูงนับร้อยจั้ง มีแขนแปดแขนงอกออกมาจากรักแร้ แต่ละแขนนั้นต่างจับอาวุธที่ไม่เหมือนกัน มีกระบี่เทพ ดาบรบ หอกยาว ง้าวยักษ์ สายโซ่ ตราขลัง ระฆังทองแดง เตาใหญ่
บนไหล่ของรูปปั้น มีทั้งหมดสี่เศียร แต่ละเศียรนั้นสอดคล้องกับทั้งสี่ทิศ ตาทั้งแปดดวงส่องแสงสีแดงน่าหวาดผวา กวาดมองไปทั่วทุกสารทิศ มองได้ทะลุปรุโปร่ง เห็นได้ทั้ง 360องศา!
“โฮกกก!”
ยอดฝีมือจำนวนมากจากวังนภาสิบสองยังไม่ทันมีการเคลื่อนไหวใด ๆ รูปปั้นทั้งสองก็ฟื้นคืนชีพกลายเป็นคนยักษ์ คำรามขึ้นมาด้วยความโมโห มือทั้งสิบหกกางออกพร้อมกัน โจมตีเข้าใส่ทุกคน
กระแสพลังกดขี่เข้ามาเป็นระลอก ปริภูมิโดยรอบถูกพันธนาการกดทับเอาไว้ ในมือของรูปปั้นคนยักษ์ทั้งสองมีอาวุธทั้งหมดสิบหกชิ้น แต่ละชิ้นล้วนทัดเทียมได้กับภัณฑ์ราชาเทพขั้นเก้า!
หลัวซิวแอบร้องแย่แล้วอยู่ในใจ ร่างเนื้ออสุราปะทุขึ้นมา สลัดหลุดจากการกดทับและพันธนาการของปริภูมิ ร่างขยับถอยหลังไปด้วยความเร็วที่สุด
คนอื่น ๆ เองก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ต่างก็เซ่นอาวุธเทพพลังอมตะออกมารับมือ เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวลอยมาไม่หยุด
ในขณะเดียวกัน ร่างทุลักทุเลสายแล้วสายเล่าได้ถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว และมีคนที่ตายสิ้นชีพลงตรงนั้น หรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก
“นี่ก็คืออสุราแปดแขนในตำนานหรือ!?” เฮ่าเฟิงหยางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวออกมาด้วยความตะลึง
วังนภาสิบสองสืบทอดกันมายาวนาน ในคัมภีร์โบราณที่เก็บรวบรวมเอาไว้มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่ถูกเก็บเป็นความลับบันทึกเอาไว้มากมาย ส่วนเป็นอสุราแปดแขนอสูรจิตที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งที่ได้สูญสิ้นไปนานแล้ว สามารถย้อนตามหาไปในกาลเวลาที่เก่าแก่กว่ายุคไท่ชู
ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของอสุราแปดแขน ได้ให้ความสนใจไปที่ความสามารถของอสุราแปดแขนทั้งสององค์ ในมือทั้งแปดของอสุราแปดแขนแต่ละองค์ต่างถือภัณฑ์ราชาเทพขั้นเก้าเอาไว้แปดชิ้น ร่างกายอันสูงใหญ่แฝงไปด้วยพลังที่ดุร้ายรุนแรง และความสามารถของมันต้องบรรลุถึงระดับราชาเทพขั้นเก้าอย่างแน่นอน
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครเลือกหลบหนีไป เพราะที่ด้านหลังของอสุราแปดแขนทั้งสองนั้น เป็นป่าที่มีกลิ่นอายยาเซียนอันเข้มข้นบริสุทธิ์แห่งหนึ่ง จากกลิ่นอายของยาเซียนก็สามารถมั่นใจได้แล้วว่า ในป่าแห่งนี้มียาเซียนชั้นดีอยู่จำนวนมาก โชคชะตาโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ใครจะยอมละทิ้งกันเล่า?
หลัวซิวเพ่งสายตามองไปดู ที่บริเวณหน้าอกของอสุราแปดแขนทั้งสอง เขามองเห็นผนึกตราสายหนึ่ง ผนึกตราสายนี้แฝงไว้ด้วยค่ายกลอันลึกซึ้งที่แม้แต่เขาก็ไม่อาจแก้ได้ เห็นได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่ชำนาญด้านค่ายกล ใช้วิชาค่ายกลอันแข็งแกร่งผนึกอสุราแปดแขนทั้งสององค์นี้เอาไว้ เพื่อคอยอารักขาสถานที่ก่อกำเนิดยาเซียนแห่งนี้
“ทุกท่าน!”
ในตอนนี้เองเฮ่าเฟิงหยางพลันเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนภายในชั่วพริบตา พูดถึงฝีมือ เขากับสิงจงพอ ๆ กัน แต่หากพูดถึงสติปัญญาและการวางแผน สมองของเฮ่าเฟิงหยางนั่นว่องไวกว่ามากนัก
“อสุราแปดแขนมีสององค์ ทุกคนแยกกันรับมือคนละองค์”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เฮ่าเฟิงหยางก็ได้เริ่มเรียกรายชื่อแล้ว ไม่นานคนกว่าครึ่งก็ได้มารวมตัวกันที่ข้างกายเขา แต่ละคนต่างค่อนข้างมีชื่อเสียงในบรรดาคนทั้งหมด และมีฝีมือค่อนข้างแข็งแกร่ง
หลัวซิวไม่ได้ถูกเลือก เพราะเขาได้ปลอมแปลงรูปลักษณ์ คลื่นผลการฝึกตนที่รายล้อมก็เป็นเพียงเทพมาระดับแปดช่วงปลายเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะไม่ดึงดูดความสนใจอะไรมากนัก
“ท่านชายเฮ่า เจ้าแบ่งไม่ถูกต้องกระมัง? ตามหลักแล้วเจ้ากับท่านชายสิงควรนำคนละทีม แบบนี้ความสามารถถึงจะเฉลี่ยเท่าเทียมกัน ทุกคนก็จะมีโอกาสรอดสูงขึ้นมาหน่อย เจ้าแบ่งเช่นนี้ พวกเราที่เหลืออยู่ จะไปสู้กับอสุราแปดแขนได้อย่างไร?” ใครบางคนได้กล่าวขึ้น
“หึ ถ้าฝีมือเฉลี่ยกันก็คงไม่สามารถสังหารอสุราแปดแขนโดยเร็วได้ ยิ่งยื้อเวลานานไปก็ยิ่งไม่เป็ยผลดี ค่ายกลต้องห้ามถูกทำลายลงแล้ว ต้องมีคนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยาเซียนและมาที่นี่อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องรีบจัดการโดยเร็ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...