หลัวซิวสัมผัสเจตนาร้ายจากตัวชายหนุ่มคนดังกล่าวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเขาก็สามารถสัมผัสได้เช่นกันว่าดูเหมือนเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามรู้นั้นจะมีมากกว่าเขา ดังนั้นเขาจึงสอบถามอย่างถ่อมตัวมาก
“ผู้เพื่อนยุทธ์รู้จักยุคสมัยที่เก่าแก่กว่ายุคไท่ชูหรือไม่?”
ชายหนุ่มค่อยๆ เอ่ยปากถาม หลังจากเห็นหลัวซิวพยักหน้า เขาก็พูดต่ออีกว่า “ประวัติศาสตร์ที่หอคอยนภากาศอุบัติขึ้นมานั้น ไม่มีการบันทึกตั้งนานแล้ว ข่าวลือที่น่าเชื่อถือมากที่สุดก็คือหอคอยนภากาศคงอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยที่เริ่มกำเนิดดาราจักรวาลแห่งนี้”
“ช่วงแรกหอคอยนภากาศมี 33 ชั้น ซึ่งเป็นตัวแทนของ 33 สวรรค์ และสอดคล้องกับธรรมดั้งเดิมทั้ง 33 และหอคอยนภากาศเผยให้เห็นกี่ชั้นนั้น มันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าปัจจุบันมีผู้แข็งแกร่งที่ฝึกธรรมดั้งเดิมที่สอดคล้องกันคงอยู่หรือไม่”
“ยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายที่สุด ปัจจุบันหอคอยนภากาศเผยให้เห็นทั้งหมด 12 ชั้น เจ้าเดินทางมาตั้งแต่ชั้นแรกจนมาถึงที่นี่ ก็น่าจะสัมผัสธรรมดั้งเดิมที่แตกต่างกันในทั้ง 12 ชั้นได้เช่นกัน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าในยุคปัจจุบัน มีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าที่ฝึกธรรมดั้งเดิมทั้ง 12 ประเภทนี้ 12 คน”
เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว หลัวซิวก็รู้สึกน่าทึ่งมาก เท่าที่เขาทราบในยุคปัจจุบันไม่มีประมุขเต๋าคงอยู่นี่
เมื่อเห็นสีหน้าของหลัวซิว ดูเหมือนชายหนุ่มจะทราบความในใจเขา จึงยิ้มอ่อนพลางตอบกลับ: “เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงระดับประมุขเต๋า อันที่จริงก็สามารถทำให้ตัวเราคงอยู่ร่วมกับดาราจักรวาลแล้ว แทบจะกลายเป็นอมตะ การที่ประมุขเต๋าไม่เปิดตัวสู่โลกาภายนอกนั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าไม่คงอยู่”
“อีกทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดที่เจ้ารู้จักนั้นไม่ใช่ทั้งหมดของดาราจักรวาล แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของดาราจักรวาลทั้งหมดเท่านั้น”
“เจ้าหมายถึงมหาโลกาพันสามในจักรวาลกันดาร รวมไปถึงโลกาดาราอื่น ๆ หรือ?”หลัวซิวถามอย่างรู้สึกสงสัย
ชายหนุ่มยิ้มพลางส่ายหน้า “อันที่จริงมหาโลกาพันสามที่เจ้ากล่าวถึง โลกาดาราอีกจำนวนมาก รวมไปถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างอยู่ในห้วงดาราเดียวกัน”
“ทว่าห้วงดาราหนึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทั้งหมดของจักรวาล แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวาล ข้าอธิบายเช่นนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”คำพูดที่ชายหนุ่มพูดออกมาน่าทึ่งมาก
“เจ้าคือผู้ใด? แล้วทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?”หลัวซิวมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาที่ตะลึงงันเล็กน้อย เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวมานั้นมันน่าทึ่งมากเกินไปแล้วจริง ๆ
“ข้ามีนามว่าลู่ยู่จื่อ บางทีเจ้าอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของข้ามาก่อน”ชายหนุ่มยิ้มอ่อน
“ลู่ยู่จื่อ? ผู้แข็งแกร่งยุคแรกแห่งโลกเสวียน?”
รูม่านตาหลัวซิวหดลง เขาต้องเคยได้ยินชื่อลู่ยู่จื่อมาก่อนอยู่แล้ว เนื่องจากครั้นเมื่อเขายังเป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน ลู่ยู่จื่อก็เป็นผู้แข็งเกร็งที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ๆ
แต่ทว่าทันทีที่สิ้นสุดยุควัฏสงสาร ในยุคสมัยที่เพิ่งเริ่มยุคมหาศักดิ์ ขณะที่เขาบรรลุสู่แดนผู้สูงส่ง ลู่ยู่จื่อยังอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า
ทว่าต่อมาหลังจากหลัวซิวมาถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว เขาก็ทราบว่าหลังจากเขาที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว คนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็ฝึกถึงแดนผู้แกร่งเลิศอย่างต่อเนื่อง หรือผู้แข็งแกร่งแห่งยุคของทั้งแปดโลกนั่นเอง
“ข้าชื่อหลัวซิว”หลัวซิวตอบกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่าผลการฝึกตนของลู่ยู่จื่อไม่มีทางอยู่ในแดนผู้แกร่งเลิศแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าลู่ยู่จื่อที่เขามองเห็นนั้นเป็นร่างที่กลับชาติมาเกิด
มีผู้แข็งแกร่งบางส่วนหลังจากที่กลับชาติมาเกิดและปลุกตื่นความทรงจำแล้ว ก็จะกลับไปใช้ชื่อในอดีต ก็เพื่อเดินบนวิถีเส้นทางในอดีตต่อ
แต่หลัวซิวกลับแตกต่างกัน แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ทราบว่าชาติปางก่อนของเขาคือไท่ซ่างฉิง ทว่าเขากลับเชื่อมั่นมาโดยตลอดเลยว่าเขาในภพชาติปัจจุบันเป็นเพียงหลัวซิว
สิ่งเดียวที่เขาสืบทอดมาจากชาติปางก่อนก็มีเพียงความฝันที่ยังไม่ลุล่วง รวมไปถึงประสบการณ์การฝึกตนและโลกทัศน์บนวิถียุทธ์ของชาติปางก่อน
“ข้ารู้จักเจ้าอยู่ จะว่าไปเจ้ายังเป็นผู้อาวุโสของข้าด้วย ผู้สูงส่งไท่ซ่าง!”ลู่ยู่จื่ออมยิ้ม
“ผู้เพื่อนยุทธ์หยุดล้อเล่นได้แล้ว ภพชาตินี้ข้าไม่ใช่ไท่ซ่างฉิงอีกต่อไปแล้ว มิหนำซ้ำหากพูดถึงผลสำเร็จของชาติปางก่อนแล้ว ผลสำเร็จของผู้เพื่อนยุทธ์อยู่สูงกว่าข้ามาก”หลัวซิวพูดอย่างสุขุมเรียบนิ่ง
ทั้งสองไม่ได้พูดคำพูดที่เกรงอกเกรงใจกันเยอะมากนัก จู่ ๆ หลัวซิวก็ถาม “ผู้เพื่อนยุทธ์กลับชาติมาเกิดในภพชาตินี้ ก็เพื่อแสวงหาโอกาสในการบรรลุสู่ประมุขเต๋าเช่นกันหรือ?”
“ใช่แล้ว ต่อให้เป็นผู้แกร่งเลิศก็หนีไม่พ้นพันธนาการของหนึ่งยุคตรีภพ มีเพียงบรรลุสู่ประมุขเต๋า ถึงจะย่างกรายสู่การเป็นอมตะอย่างแท้จริง นอกเสียจากดับสลายสูญสิ้นแล้ว ก็จะสามารถกลายเป็นผู้อมตะได้อย่างแท้จริง”ลู่ยู่จื่อไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้
“แล้วผู้เพื่อนยุทธ์ทราบเรื่องราวของสวรรค์ทั้ง 33 ได้อย่างไรรึ?”หลัวซิวถามอีกหนึ่งคำถาม อย่างไรเสียคำพูดที่ลู่ยู่จื่อกล่าวมาในเมื่อครู่นี้อยู่เหนือขอบข่ายของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว
“ผู้เพื่อนยุทธ์เมื่อชาติปางก่อนดับสลายสูญสิ้นเร็ว การที่จักไม่ทราบเรื่องเหล่านี้นั้นก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก หลังจากผู้เพื่อนยุทธ์ดับสลายสูญสิ้นไปแล้วประมาณสิบล้านกว่าปี ข้าได้รับพระราชสาส์นฉบับหนึ่งในสถานโบราณที่เก่าแก่มาก ๆ ซึ่งข้าก็ทราบเรื่องทั้งหมดนี้มาจากพระราชสาส์นฉบับนั้นนี่แหละ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่ยู่จื่อก็มองไปทางหลัวซิว “หากผู้เพื่อนยุทธ์ไม่รังเกียจละก็ หากมีเวลาข้าจะพาเจ้าไปเขาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจวิน ให้เจ้ายืมอ่านพระราชสาส์น”
คำรับปากของลู่ยู่จื่อทำให้หลัวซิวรู้สึกสงสัยเล็กน้อย สิ่งที่เขาสามารถยืนยันได้คือในขณะที่เขามาถึงจุดสูงสุดของชั้น 12 ลู่ยู่จื่อก็ทราบตัวตนของตัวเองแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับพูดคุยกับตัวเองเยอะขนาดนี้ ตกลงเขามีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่?
แต่ทว่าในเมื่อลู่ยู่จื่อไม่บอก หลัวซิวก็สอบถามฝ่ายตรงข้ามโดยตรงไม่ได้เช่นกัน อีกทั้งหลัวซิวก็รู้สึกสนใจในพระราชสาส์นที่ลู่ยู่จื่อกล่าวถึงมากจริง ๆ อยากอ่านดูมาก ๆ
“เมื่อครู่ผู้เพื่อนยุทธ์บอกว่าหอคอยนภากาศมีชั้นที่ 13 เช่นนั้นหรือว่าผู้เพื่อนยุทธ์มีวิธีเปิดชั้น 13?”หลัวซิวเปลี่ยนประเด็นแล้วถาม
“มีวิธีการอยู่จริง แต่ข้ากลับทำคนเดียวไม่ได้ อีกทั้งหากจักทำเรื่องนี้ให้สำเร็จนั้น ยังต้องการหินนภาพลังเต๋าอีกจำนวนมาก”
เมื่อได้ยินลู่ยู่จื่อพูดเช่นนี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงต้องอยู่ที่นี่ ในเมื่อเขาไม่สามารถเปิดชั้นที่ 13 ได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ย่อมต้องตามหาผู้ช่วยที่เหมาะสมอยู่แล้ว
“หลังจากเข้ามาในหอคอยนภากาศ ข้าก็มาถึงที่นี่โดยตรง ถัดจากนั้นก็มีอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศและบุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์มาถึงที่นี่เยอะมาก ทว่าแม้นศักยภาพของคนเหล่านั้นจะฝึกถึงเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย แต่ก็ไม่ครบเงื่อนไขที่ข้าต้องการอยู่ดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...