มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2803

“ไม่นึกเลยว่าศักยภาพของเจ้าแทบจะไม่อ่อนกว่าข้าเลย แต่ที่นี่คือสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพัน เมื่ออยู่ที่นี่เจ้าไม่มีทางโค่นล้มข้าได้หรอก”

ศักยภาพที่หลัวซิวแสดงออกมาทำให้ความจองหองบนใบหน้าจวินห้าวเซวียนหายไปเยอะมาก ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขา ก็มีเสียงคำรามสะท้อนมาอีกหลายเสียง ก่อนที่ญาณมรณะแข็งแกร่งสิบกว่าตัวจะพุ่งตรงเข้ามาทางนี้

ศักยภาพของญาณมรณะสิบกว่าตัวนี้ก็เป็นเทพมารระดับเก้าเช่นกัน อีกทั้งพลังออร่าของทุกตัวมากมายมหาศาล ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเทพมารระดับเก้าทั่วไปมาก

สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แค่จวินห้าวเซวียนคนเดียวก็รับมือยากแล้ว หากมียอดฝีมือที่มีศักยภาพเทียบเท่าราชาเทพระดับเก้าเพิ่มขึ้นมาอีกสิบกว่าคนละก็ เช่นนั้นเขาก็จำเป็นต้องถดถอยหลบหนีแล้วล่ะ

“ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่ เจ้ายังไม่ลงมืออีกหรือ?”จู่ ๆ หลัวซิวก็มองไปทางลู่ยู่จื่อ ขณะที่เขาประมือกับจวินห้าวเซวียน ลู่ยู่จื่อมองการต่อสู้ของพวกเขามาโดยตลอด ไม่มีท่าทีที่จะลงมือเลย

ลู่ยู่จื่อลังเลใจอยู่เล็กน้อย เดิมทีแผนการของเขาคือจะให้หลัวซิวและจวินห้าวเซวียนนั่นบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ก่อน จากนั้นตนก็จะสามารถรอฉกฉวยผลประโยชน์ทีหลัง ทว่าเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ หากตนไม่ลงมือละก็ แม้นจะใช้โอกาสนี้กำจัดหลัวซิวทิ้ง เขาก็อย่าคิดว่าจะได้ครอบครองของชิ้นนั้นที่ประมุขเต๋าคงกระพันทิ้งไว้เลย

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ เงาร่างของลู่ยู่จื่อก็กระพริบแล้วเข้าร่วมสนามรบ อาณาจักรปริภูมิแผ่ขยายออก โซนทอร์นาโดที่น่าสยดสยองก็ปรากฏกลางอากาศที่ว่างเปล่า บดขยี้ฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง

อย่างไรก็ตามแม้นจะมีการลงมือของลู่ยู่จื่อ สถานการณ์ของหลัวซิวทั้งสองคนก็ย่ำแย่เช่นกัน เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบด้านชัยภูมิและจำนวนคน จากการที่มีญาณมรณะที่ยิ่งอยู่ยิ่งมากเข้าร่วมสนามรบ หลัวซิวและลู่ยู่จื่อก็ทำได้เพียงถูกบีบจนถดถอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง

และมีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากของลู่ยู่จื่อที่สุขุมเช่นกัน ญาณมรณะที่บินมาจากทั่วทุกสารทิศยิ่งอยู่ยิ่งมาก ซึ่งญาณมรณะทุกตัวล้วนมีศักยภาพไม่ต่ำกว่าเทพมารระดับเก้า มีญาณมรณะแข็งแกร่งบางตัวยิ่งเทียบเท่าราชาเทพระดับเก้าแล้ว

หากญาณมรณะที่มารวมตัวกันมีมากกว่านี้อีกหน่อยละก็ เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองก็ไม่ต้องยืดยื้ออยู่ที่นี่ต่อแล้ว คงทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดอย่างเดียวแล้วล่ะ

จวินห้าวเซวียนลงมือโจมตีน้อยมาก ๆ แต่ทุกครั้งที่เขาลงมือโจมตี ก็จะสร้างภัยคุกคามให้แก่หลัวซิวและลู่ยู่จื่อยิ่งใหญ่มาก

“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว หากยังไม่เผ่นตอนนี้ละก็ ญาณมรณะที่มารวมตัวกันก็จะผนึกฟ้าดินแห่งนี้ แล้วเราสองคนก็อย่าคิดว่าจะสามารถหนีรอดได้เลย”

ลู่ยู่จื่อรู้สึกยิ่งอยู่ยิ่งกดดัน หากไม่ใช่เพราะเขายังต้องอาศัยพละกำลังของหลัวซิว คงถอนตัวออกไปจากที่นี่ตั้งนานแล้ว ทิ้งให้หลัวซิวต่อสู้กับการรุมโจมตีของญาณมรณะจำนวนมาก

“หากถอยตอนนี้ ญาณมรณะของที่นี่ที่อยู่ภายใต้การครอบงำของจวินห้าวเซวียนก็จะมีภูมิต้านทาน ต่อไปเราก็ยิ่งไม่มีทางบุกเข้ามาได้แล้ว”

รูม่านตาของหลัวซิวหดลง ยันต์ค่ายทั้ง 33 ยันต์ที่โอบล้อมอยู่รอบกายก็แวววาวจับตาถึงขีดสุดกะทันหัน และความเร็วของเขาก็พุ่งขึ้นสูงภายในพริบตา ใช้ระดับความเร็วที่แทบจะอยู่เหนือขีดจำกัด พุ่งตรงไปทางจวินห้าวเซวียน

เมื่อลู่ยู่จื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า จิตใจก็รู้สึกสงสัยมาก “หรือเขาจะฝืนใช้อำนาจสังหารจวินห้าวเซวียนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้?”

ในมุมมองของลู่ยู่จื่อ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าศักยภาพของจวินห้าวเซวียนเทียบเท่าราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คงร่างเทวคงกระพันของเขายิ่งฆ่าตายยากมาก แม้นจะโจมตีเขาจนบาดเจ็บสาหัส สภาพอาการบาดเจ็บก็สามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

และถ้าเกิดสังหารไม่สำเร็จ เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเข้าสู่สภาวะที่ถูกญาณมรณะจำนวนมากรุมโจมตีแน่นอน!

จวินห้าวเซวียนก็ต้องสังเกตเห็นหลัวซิวที่พุ่งจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ความเร็วของฝ่ายตรงข้ามเร็วเกินไป ทำให้เขาไม่มีพื้นที่ที่จะหลบหลีกได้เลยด้วยซ้ำ

แต่ทว่าจวินห้าวเซวียนกลับไม่มีความคิดที่จะหลบเลี่ยง แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “เจ้าถือดีมากเกินไปแล้ว และเจ้าก็จะได้ตายต่อหน้าข้า และต้องปฏิบัติตามปณิธานของประมุขเต๋าคงกระพัน กลายเป็นหนึ่งในญาณมรณะที่เฝ้าปกปักรักษาอยู่ที่นี่!”

“ร่างกอปรจิตอันตกะ!”

จวินห้าวเซวียนตะคอกเสียงดังลั่น มีชี่มรณะที่เข้มข้นพรั่งพรูออกมาจากร่างญาณมรณะตัวอื่น ๆ แล้วผนึกรวมกันไปทางจวินห้าวเซวียน จากนั้นก็ถูกร่างกายของเขาดูดซับ ทำให้ชี่มรณะที่อยู่บนตัวเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พลังออร่าเพิ่มขึ้นตามจังหวะ

ครั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่เขาคือศิษย์ได้ใจของประมุขเต๋าคงกระพัน หลังจากประมุขเต๋าดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว จากพรสวรรค์ของเขาแม้นจักบรรลุเป็นประมุขเต๋าไม่ได้ อย่างน้อยก็สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งได้อยู่ แต่ว่าเขากลับไม่ได้เลือกอนาคต แต่เป็นการกลายเป็นญาณมรณะตัวหนึ่ง แล้วเฝ้าปกปักรักษาสุสานของอาจารย์ตลอดกาล

“ตราประทับหงฮวง!”

ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวซิวเยือกเย็นลงไปกะทันหัน เมื่อเขาปรากฏตรงหน้าจวินห้าวเซวียน ก็มีธรรมเวชกาลร้างวิวัฒนาการออกมาจากตาข้างซ้ายของเขา ส่วนตาข้างขวานั้นก็วิวัฒนาการธรรมเวชกาลล้นออกมา

ร้างคือวิถีร่างเนื้อ ส่วนอหังหารหรือล้นคือวิถีกลั่นแปร เมื่อธรรมทั้งสองประเภทอย่างร้างและล้นหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก็จะอยู่เหนือวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ ซึ่งสามารถดูดซับกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าเพื่อทำให้ร่างเนื้อตัวเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!

เต๋าอหังการยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เต๋าร้างก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น ต่างช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน!

และอ้างอิงจากการตระหนักรู้ในธรรมเวชหงฮวง(ล้นร้าง)ของหลัวซิว เมื่อทำการหลอมรวมธรรมทั้งสองประเภทนี้เข้าด้วยกัน ทำให้ตราต้าฮวงดั้งเดิมที่เขาริเริ่มยกระดับถึงระดับขั้นที่ใหม่เอี่ยมอีกครั้ง!

มีรัศมีเทวที่ไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมาจากตัวเขาภายในพริบตา มือทั้งสองข้างของเขาประสานอิน และมีร่องรอยที่ล้ำลึกถึงขีดสุดแผ่กระจายออกมาลาง ๆ

“ตู้มม!”

ความเร็วของเขารวดเร็วมากเกินไป ดังนั้นจวินห้าวเซวียนจึงหลบหลีกพลังอมตะนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เห็นเพียงอานุภาพของตราประทับหงฮวง(ล้นร้าง)ระเบิดออกมาทุกอณู แล้วถาโถมใส่ร่างจวินห้าวเซวียนอย่างไร้ความปราณี ทำให้เขากระอักเลือดอย่างบ้าคลั่งกะทันหัน ร่างกายสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เลือดเนื้อทั้งร่างกายระเบิดแตกจนกลายเป็นหมอกเลือดครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ