มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2804

ญาณมรณะในสุสานถูกกวาดล้างหมดแล้ว แต่หลัวซิวและลู่ยู่จื่อกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเพราะเหตุนี้

อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นสถานฌาปนของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่ง เมื่ออยู่ในสถานที่ประเภทนี้ การที่จะมีเหตุสุดวิสัยใด ๆ เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางหลัวซิวและลู่ยู่จื่อก็ไม่ประสบพบเจอกับภัยอันตรายใด ๆ จริง ๆ ทั่วทั้งสถานฌาปนรกร้างว่างเปล่า ไม่เหมือนสถานที่ที่มีสมบัตินับไม่ถ้วนอย่างที่จินตนาการเอาไว้เลย

ในที่สุด พวกเขาทั้งสองคนก็มาละแวกใกล้เคียงของแท่นบูชาสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของสถานฌาปนสักที

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ พลังอำนาจประเภทนี้เหมือนดั่งอำนาจที่น่าเกรงขามของเทียนเต้า มากมายไร้ขอบเขต ทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง 

“นี่ก็คืออำนาจแห่งประมุขเต๋าหรือ?”

หลัวซิวเขม็งตามองไป แดนประมุขเต๋าเป็นแดนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเทียนเต้า ดังนั้นออร่าพลานุภาพของประมุขเต๋าจึงสามารถเทียบทัดอำนาจอันน่าเกรงขามของเทียนเต้า

“แล้วนั่นคืออะไรอีก?”

จู่ ๆ หัวใจของหลัวซิวก็เต้นเร็วขึ้นมา เขามองเห็นวัตถุที่เหมือนดั่งลูกแก้วรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีดำหนึ่งลูกลอยอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของแท่นบูชาที่สูงใหญ่นั่น ชี่มรณะอันไร้ขอบเขตในสถานฌาปนล้วนผนึกรวมกันที่ลูกแก้วลูกนั้น จากนั้นมันก็แพร่กระจายออกมาตลบฟุ้งไปทั่วสุสาน

วัตถุชิ้นนั้นเมื่อดูผิวเผินแล้วมันเหมือนช่องจิตดวงหนึ่งมาก ทว่ากลับไม่มีคลื่นออร่าวิญญาณดั้งเดิมเลย 

“ชัวะ!”

และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ลู่ยู่จื่อก็โคจรพลังอมตะปริภูมิ บินตรงไปยังส่วนยอดของแท่นบูชาที่สูงใหญ่นั่นโดยตรง ความเร็วรวดเร็วถึงขีดสุด 

เมื่อหลัวซิวตอบสนองกลับมาได้ ลู่ยู่จื่อก็ขึ้นไปถึงจุดที่สูงที่สุดของแท่นบูชานั่นแล้ว ยื่นมือออกไปคว้าลูกแก้วสีดำลูกนั้น 

“โครม!”

ชี่มรณะทั้งหลายตัดสลับกัน มือที่ยื่นออกไปของลู่ยู่จื่อถูกชี่มรณะต้านทาน มาตรแม้นว่าเป็นเกณฑ์ปริภูมิที่เขาโคจรโดยธรรมเวชเสวียนก็ทลายชี่มรณะได้ยากมาก 

ในขณะเดียวกัน ก็มีแสงกระบี่ดวงหนึ่งตัดสับมา ลู่ยู่จื่อสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ที่ส่งตรงมาจากด้านหลัง เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง แล้วหลบเลี่ยงแสงกระบี่ดังกล่าวไป

อำนาจที่แสงกระบี่พุ่งตรงเข้ามาไม่ลดน้อยลงเลย โจมตีไม่โดนลู่ยู่จื่อ แต่กลับเฉือนสับไปทางลูกแก้วสีดำโดยตรง 

ชี่มรณะสีดำทั้งหลายพรั่งพรูออกมาจากลูกแก้วสีดำ ภายใต้การกัดกร่อนจากชี่มรณะ แสงกระบี่ก็เริ่มพังทลายลงไป ก่อนจะสลายหายไปในอนัตตาอย่างรวดเร็ว 

“ผู้เพื่อนยุทธ์หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจึงต้องจู่โจมข้า?”

สีหน้าของลู่ยู่จื่อดูย่ำแย่มาก เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขาคอยระมัดระวังหลัวซิว ไม่แน่เจ้าหมอนั่นก็จะแทงข้างหลังเขาแล้วจริง ๆ 

“ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่ได้จู่โจมเจ้านะ ข้าแค่จะโจมตีลูกแก้วสีดำนั่น”

สีหน้าหลัวซิวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ยิ้มอ่อนครั้งหนึ่ง “จะว่าไปผู้เพื่อนยุทธ์เจ้าจักลงมือแก่งแย่งลูกแก้วสีดำนั่นอย่างอดใจรอไม่ไหว ตกลงของสิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่?”

วินาทีนี้หลัวซิวแทบจะสามารถยืนยันได้แล้วว่า จุดประสงค์แท้จริงที่ลู่ยู่จื่อมาชั้น 13 ของหอคอยนภากาศนั้น ก็มาเพื่อลูกแก้วสีดำลูกนี้นี่แหละ 

แต่ทว่ารอบ ๆ ลูกแก้วสีดำลูกนั้นมีเกณฑ์ความตายที่ล้ำลึกอย่างยิ่งโอบล้อมอยู่ มาตรแม้นว่าลู่ยู่จื่อจะลงมือเร็วมาก แต่กลับไม่ได้ครอบครองง่ายขนาดนั้น หลัวซิวถึงได้มีโอกาสลงมือ

ลู่ยู่จื่อทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง เขาไม่ได้ตอบกลับคำถามของหลัวซิวแต่อย่างใด มีพลังเต๋าไหลเวียนอยู่รอบกายเขา จากนั้นก็มีประตูสำนักเต๋าที่โบราณเรียบง่ายหนึ่งบานปรากฏด้านหลังเขา อัญประตูสำนักเต๋าที่แท้จริงมีเพียงบานเดียวเท่านั้น ซึ่งถูกยึดกุมอยู่ในมือผู้สูงส่งโลกเสวียนในยุคปัจจุบัน ทว่าชาติปางก่อนของลู่ยู่จื่อก็คือผู้สูงส่งโลกเสวียน และเคยยึดกุมสำนักเต๋า ดังนั้นการตระหนักรู้ในธรรมเวชเสวียนที่แฝงซ่อนอยู่ภายในอัญประตูสำนักเต๋าก็สูงส่งมากเช่นกัน 

“นี่ผู้เพื่อนยุทธ์วางแผนที่จะแตกหักกับข้าน้อยหรือ?”ตรงมุมปากหลัวซิวมีรอยยิ้มจาง ๆ ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะอยู่ต่ำกว่าลู่ยู่จื่อหนึ่งแดนเล็ก แต่ถ้าเกิดต้องต่อสู้กันจริง ๆ โอกาสที่เขาจะชนะกลับสูงกว่า

หนังตาข้างขวาลู่ยู่จื่อกระตุกทีหนึ่ง เขานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลัวซิวสังหารจวินห้าวเซวียนในก่อนหน้านี้ จึงพูดในใจว่า “เจ้าหมอนี้ดุดันจนเหลือเชื่อ เกรงว่าแม้นข้าจะปลดปล่อยอุบายไพ่เด็ดที่อำพรางอยู่ออกมา ก็ไม่มีทางสยบมันได้แน่นอน”

ถ้าเกิดจะสู้ละก็ โอกาสชนะไม่สูง นี่จึงทำให้ลู่ยู่จื่อรู้สึกลำบากใจขึ้นมา แต่หลัวซิวกลับไม่รีบไม่ร้อน แค่อมยิ้มพลางรอให้ลู่ยู่จื่อตัดสินใจ 

“หึ!”

สุดท้ายลู่ยู่จื่อก็ระงับอารมณ์ชั่ววูบที่จะลงมือแล้วพูด: “บอกให้เจ้าทราบก็ได้ ลูกแก้วสีดำลูกนั้นก็คือตราประมุขเต๋า”

“ตราประมุขเต๋า?”หลัวซิวที่ได้ยินเช่นนี้แล้วก็ขมวดคิ้วลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชาติปางก่อนหรือภพชาตินี้ เขาก็ไม่เคยได้ยินของอย่างตราประมุขเต๋ามาก่อนเลย 

แต่ว่าขอแค่เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับประมุขเต๋า แค่ชื่อของมันก็ฟังดูเก่งกาจมาก ๆ แล้ว 

“ตราประมุขเต๋าที่กล่าวถึงนั้น ก็คือโอกาสที่สามารถทำให้จอมยุทธ์คนหนึ่งบรรลุเป็นประมุขเต๋า!”

ลู่ยู่จื่อค่อย ๆ พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าก็บังเอิญทราบมาจากโอกาสครั้งหนึ่งเช่นกันว่าประมุขเต๋าคงกระพันในสมัยต้าเหยียนถูกผู้อื่นโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ใกล้จะดับสลายสุดสิ้นเขาได้หลบหนีเข้ามาในชั้นที่ 13 ของหอคอยนภากาศ แล้วบุกเบิกสถานฌาปนของตนเองที่นี่ อีกทั้งทิ้งตราประมุขเต๋าไว้ที่นี่ด้วย”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของลู่ยู่จื่อ หลัวซิวก็เข้าใจแล้ว ตราประมุขเต๋าก็เท่ากับการถ่ายทอดสืบสานอีกประเภทหนึ่ง ขอแค่ได้รับตราประมุขเต๋า อีกทั้งกลั่นแปรหลอมรวมตราประมุขเต๋าเข้ากับตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็จะได้รับการตระหนักรู้ทั้งปวงของประมุขเต๋าคงกระพัน เท่ากับผันร่างเป็นประมุขเต๋าคงกระพันอีกคนหนึ่ง บรรลุถึงช่วงที่เขาเคยรุ่งโรจน์ที่สุด

ซึ่งจุดประสงค์ของลู่ยู่จื่อก็เรียบง่ายมาก ๆ เขาอยากครอบครองตราประมุขเต๋าดังกล่าว แม้นนี่จะเป็นตราประมุขเต๋าAttrความตาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ปริภูมิที่เขาฝึก ทว่าตราประมุขเต๋ากลับสามารถทำให้เขาบรรลุสู่แดนประมุขเต๋า และใช่ว่าเกณฑ์ปริภูมิจะสามารถทำให้ความฝันของเขาลุล่วงได้เสมอไป

สามารถพูดได้เลยว่าสำหรับจอมยุทธ์ส่วนมากในหมื่นจักรวาลแล้ว ตราประมุขเต๋าก็คือสมบัติที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ ทว่าเมื่อหลัวซิวเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว เขากลับรู้สึกว่าตราประมุขเต๋านี่เหมือนของที่ไม่มีค่าอะไร

“ยังมี 103 ก้อน หากผู้เพื่อนยุทธ์ต้องการละก็ ทั้งหมดนี้จะเป็นของเจ้า”ลู่ยู่จื่อไม่มีความลังเลใจใด ๆ ยกมือโบกทีหนึ่ง หินนภาพลังเต๋าทั้ง 103 ก้อนก็กลายเป็นลำแสง บินตรงไปทางหลัวซิว

เมื่อเปรียบเทียบกับตราประมุขเต๋าแล้ว หินนภาพลังเต๋าเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ

ในส่วนของยาเซียนนภาเต๋านั้น ลู่ยู่จื่อก็ไม่คิดว่าหลัวซิวจะสามารถกลั่นสกัดออกมาได้เช่นกัน เนื่องจากวัตถุดิบส่วนมากที่ต้องใช้ในการกลั่นยาเซียนล้วนเป็นสิ่งที่สูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว โอกาสที่จะรวบรวมมาได้นั้นริบหรี่มาก!

หากไม่สามารถกลั่นเป็นเม็ดยาเซียน เช่นนั้นหินนภาพลังเต๋าเหล่านี้ก็จะไม่มีค่าอะไร ประสิทธิผลในการฝึกตนก็แค่ดีกว่ากรองแก้วโลหิตเล็กน้อยเท่านั้นแหละ  

“การตระหนักรู้ในธรรมเวชเสวียนของผู้เพื่อนยุทธ์สูงส่งมาก ข้าก็รู้สึกสนใจในวรยุทธ์ของเจ้ามากเช่นกัน”

“ยกให้เจ้า!”

“กรองแก้วโลหิตของข้าเหลือไม่มากแล้ว ชาติปางก่อนผู้เพื่อนยุทธ์คือผู้สูงส่งในโลกาหนึ่ง น่าจะมีทรัพย์สินอยู่ไม่น้อยเลยสินะ?”

“ยกให้เจ้า!”

“อนาคตเมื่อข้าจะบรรลุสู่ผู้สูงส่ง ต้องการหินบรรพไท่ชูจำนวนมาก ผู้เพื่อนยุทธ์ก็น่าจะมีเก็บสะสมอยู่เช่นกันใช่หรือไม่?”

“ยกให้เจ้า! ……”

ของที่หลัวซิวรีดไถนั้นมีไม่น้อยจริง ๆ ทำให้ลู่ยู่จื่อรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก แต่หลัวซิวก็รู้จักน้ำหนักในการปฏิบัติตัวเช่นกัน ขีดจำกัดที่เขารีดไถไม่เคยอยู่เหนือเส้นตายที่ลู่ยู่จื่อสามารถยอมรับได้เลย 

“เอาอาวุธเทพของขลัง และพวกทองเซียนตัวเซียนระดับสูงให้ข้าอีกนิดหน่อยก็พอแล้ว”หลัวซิวยิ้มตาหยีพลางพูด พลางเก็บสมบัติจำนวนมากเข้ากระเป๋า

“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว เจ้าทำเช่นนี้มันเกินเลยไปหน่อยหรือไม่?”ลู่ยู่จื่อเริ่มกัดฟันกรอดแล้ว หากแววตาสามารถสังหารเทพได้ละก็ หลัวซิวคงถูกเขาประหารชีวิตไปเป็นหมื่นครั้งแล้ว 

“เกินเลยไปหรือ? เมื่อนำของเหล่านี้เปรียบเทียบกับโอกาสที่สามารถบรรลุเป็นประมุขเต๋าได้แล้ว มันก็แตกต่างกันมากเลยนะ ถึงแม้ผู้เพื่อนยุทธ์เจ้าจะเก็บของเหล่านี้ไว้ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าบรรลุเป็นประมุขเต๋าได้เช่นกัน แต่ตราประมุขเต๋ากลับสามารถทำได้!”

หลัวซิวเบ้ปาก ดูไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย นี่จึงทำเอาลู่ยู่จื่อใกล้จะกระอักเลือดแล้วจริง ๆ 

ในที่สุด นอกเหนือจากอาวุธเทพชีวีของลู่ยู่จื่อที่ไม่ถูกหลัวซิวรีดไถไปแล้ว ส่วนใหญ่สมบัติอื่น ๆ ล้วนถูกหลัวซิวค้นและรีดไถไปเกือบครึ่ง!

ต้องท้าวความก่อนว่าลู่ยู่จื่อเมื่อชาติปางก่อนเป็นผู้สูงส่งในโลกาหนึ่ง เขาได้ทิ้งทางหนีทีไล่ในการกลับชาติมาเกิดของตัวเองตั้งนานแล้ว ทิ้งทรัพย์สินและทรัพยากรดุจมหานทีเอาไว้ ซึ่งในบรรดาทรัพยากรทรัพย์สินทั้งหมดนี้ มีครึ่งหนึ่งที่เป็นจำนวนที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง

หลัวซิวได้รับผลประโยชน์ที่มากมายเช่นนี้ ก่อนที่เขาจะตบ ๆ ก้นแล้วจากไปเลย นอกเหนือจากตราประมุขเต๋าแล้ว บนแท่นบูชาก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย เขาวางแผนที่จะไปเดินเล่นในสถานที่อื่น ๆ ดู เพื่อไปตามหาโลงศพเทวของประมุขเต๋าคงกระพัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ