มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2817

หลัวซิวไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะปะทะกับลู่เมิ่งเหยาที่นี่ อีกทั้งนอกเหนือจากลู่เมิ่งเหยาแล้ว ยังมีศิษย์อีกสามคนของหอมกุฎดาบด้วย

ซึ่งในจำนวนนี้มีศิษย์พี่ใหญ่ยี่หนิงจูและศิษย์พี่รองยู่หานเซียงที่เป็นเทพธิดาทั้งสามด้วย รวมไปถึงชายหนุ่มผู้มีนามว่าจวินจือเตาที่วางแผนจะซื้อฝักดาบหวูชวงในก่อนหน้านี้ 

หลังจากผ่านการแย่งชิงและเข่นฆ่าบนภูเขาแหล่งเต๋าทั้งสองครั้ง เดิมทีมีอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศเข้ามาที่นี่ทั้งหมด 33 คน ปัจจุบันเมื่อรวมผู้ดับสลายสูญสิ้นบาดเจ็บสาหัสและผู้หลบหนีเข้าด้วยกัน ก็เหลือเพียง 16 คนที่ยังอยู่ฝั่งภูเขาแหล่งเต๋าแล้ว 

ทั้งสี่คนแห่งหอมกุฎดาบไม่มีคนดับชบสลายสูญสิ้นเลย สามารถพูดได้เลยว่าเป็นผลการรบที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นมาก ๆ เนื่องจากมาตรแม้นว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดแห่งวังนภาสิบสองที่ดับสลายสูญสิ้นไปหลายคนแล้ว สิงซาแห่งวังสิงเทียนยิ่งถูกหลัวซิวบีบจนต้องหลบหนี 

ฮู๋ชิงชิงก็กำลังจับแขนเสื้อหลัวซิวด้วยความประหม่าเล็กน้อย ความประหม่านี้ของนางไม่ใช่ความเกรงกลัวแต่อย่างใด แต่เป็นความกังวล

อีกทั้งผู้ที่นางกังวลไม่ใช่หลัวซิว แต่เป็นลู่เมิ่งเหยาที่กำลังเดินตรงเข้ามาทางนี้

ไม่ว่าจะเป็นนางหรือหลัวซิว ต่างก็ไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลู่เมิ่งเหยากันแน่

หลัวซิวตบ ๆ มือของฮู๋ชิงชิง ใช้สายตาบอกใบ้ให้นางไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นเขาก็ลุกตัวขึ้น แล้วเดินออกไปจากภูเขาแหล่งเต๋าที่สี่

เมื่อเห็นหลัวซิวเดินออกมา จวินจือเตาก็ทำเสียงหึอยากเยือกเย็นทีหนึ่ง ภายในแววตามีจิตสังหารที่ไม่มีการปิดบังเลยแม้แต่น้อย เขาย่อมไม่มีทางลืมผู้ที่แก่งแย่งฝักดาบลึกลับนั่นไปอยู่แล้ว 

“ออกจากภูเขาลูกนี้”

ลู่เมิ่งเหยาหกระเหินเดินฟ้ามา กงล้อเทพดวงแสงสองวงใหญ่มหึมาจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ทำให้คนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่เฉียบคมและดุดันอย่างยิ่ง 

หลัวซิวเขม็งมองนาง สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกยาว “เจ้าลืมโลกแสงดาวแล้วจริง ๆ หรือ?”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เงาร่างของหลัวซิวก็ปรวนแปรกะทันหัน เปลี่ยนเป็นรูปร่างลักษณะของร่างแท้ 

เขาใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าออร่ามาโดยตลอด ปัจจุบันแม้นรูปร่างลักษณะที่เขาเปลี่ยนแปลงออกมาจักแตกต่างจากครั้นเมื่ออยู่ในโลกแสงดาวเล็กน้อยก็ตาม แต่เขาเชื่อว่าขอแค่เป็นผู้ที่คุ้นเคยตน ก็จะไม่มีทางจำไม่ได้ 

“เจ้าคือ......”

หลังจากหลัวซิวเผยให้เห็นร่างแท้แล้ว เหล่าอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมากที่ให้ความสนใจกับถานการณ์ทางฝั่งนี้ก็ต่างแสดงสีหน้างุนงง 

สำหรับผู้ที่มีนามว่าเหวิ้นเต้านี้ ไม่มีผู้ใดทราบความจริงที่เกี่ยวข้องกับเขาเลยว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ก็มีคนฉลาดที่สามารถคาดคะเนได้ลาง ๆ เช่นกันว่าเหวิ้นเต้าเป็นเพียงชื่อปลอม คนดังกล่าวน่าจะยังมีตัวตนอื่น ซึ่งไม่ใช่บุคคลต่ำต้อยไร้ชื่ออย่างแน่นอน 

ถึงแม้โลกสวรรค์จะไม่ได้คบค้าสมาคมกับโลกมหาศักดิ์อื่น ๆ มายาวนานมาก ทว่าสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเจ็ดโลกมหาศักดิ์ที่เหลือนั้น ช่องทางข่าวคราวของโลกสวรรค์ก็รวดเร็วมากอยู่ 

ซึ่งในจำนวนข่าวคราวทั้งหมด ย่อมต้องมีข่าวคราวที่มีความเกี่ยวข้องกับร่างที่ไท่ซ่างผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดอยู่แล้ว 

“ข้ารู้แล้ว! คนดังกล่าวมีนามว่าหลัวซิว เล่ากันว่าเขาเป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงเมื่อหนึ่งยุคตรีภพก่อนกลับชาติมาเกิด!”

“ไท่ซ่างฉิง? ชายผู้บรรลุเป็นผู้สูงส่งคนแรกในฟ้าดินหลังจากสิ้นสุดยุควัฏสงสารนั่นหรือ?”

ผู้ที่สามารถเข้ามาในสถานแหล่งเต๋าได้นั้น ล้วนเป็นอัจฉริยะที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด สำหรับเรื่องราวหลายอย่างที่คนทั่วไปไม่ทราบ พวกเขาก็ล้วนรับรู้และได้ฟังอยู่บ้าง

ในยุคมหาศักดิ์ช่วงต้นเมื่อหนึ่งยุคตรีภพก่อน ชื่อไท่ซ่างฉิงมีอิทธิพลอย่างมาก แม้นในกาลเวลาช่วงหลังจะมีผู้สูงส่งตลอดจนผู้แกร่งเลิศอุบัติขึ้นมาเยอะมาก แต่กลับไม่มีรัศมีของคนใดสามารถกลบเกลื่อนชื่อของไท่ซ่างฉิงได้โดยสิ้นเชิง

เขาคือคนแรกที่บรรลุสู่แดนผู้สูงส่งหลังจากสิ้นสุดยุควัฏสงสาร และเป็นคนเดียวที่ถูกประเมินค่าว่าเป็นอันดับหนึ่งตลอดกาล อัจฉริยะไร้เทียมที่มีความปราดเปรื่องเป็นหนึ่งไม่เป็นรอง 

“โลกแสงดาวหรือ? เจ้าคือหลัวซิวหรือ? ข้าลืมเรื่องเหล่านั้นไปตั้งนานแล้ว”

คำตอบของลู่เมิ่งเหยาเย็นชามาก ราวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกแสงดาวล้วนถูกนางมองเป็นเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปแล้ว ราวกับเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง 

หลัวซิวเขม็งมองดวงตาของหลัวซิวตลอด เขามองคลื่นความรู้สึกใด ๆ จากแววตาที่งดงามคู่นั้นไม่ได้จริง ๆ ราวกับนางเป็นดาบที่เย็นชาเล่มหนึ่ง ซึ่งตัดอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างที่เป็นของมนุษย์ทิ้งไปตั้งนานแล้ว 

“ร่างที่ผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดอย่างนั้นหรือ? มิน่าล่ะถึงบังอาจแก่งแย่งสิ่งที่ข้าต้องตา แต่ไม่ว่าความเป็นมาของมึงจะเป็นอย่างไร สุดท้ายมึง ณ ปัจจุบันก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยที่แม้แต่เทพมารระดับเก้ายังบรรลุไม่ถึงเท่านั้นแหละ!” 

จวินจือเตาทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง จากนั้นกงล้อเทพทั้งสองวงที่อยู่หลังศีรษะเขาก็เลื่อนขึ้น คุณภาพของกงล้อเทพสองวงนี้คือชั้นสูง ถึงแม้จะไม่แข็งแกร่งปานกงล้อเทพที่ลู่เมิ่งเหยาผนึกรวมออกมาได้ แต่ก็ดูถูกไม่ได้เช่นกัน 

“มึงอยากตายหรือ?”

ทันใดนั้นเอง ดวงตาที่เย็นยะเยือกถึงขีดสุดคู่นั้นของหลัวซิวก็กวาดมองไปทางจวินจือเตา นิสัยอารมณ์ของลู่เมิ่งเหยาเปลี่ยนไปอย่างมาก จึงทำให้อารมณ์หลัวซิวย่ำแย่อย่างยิ่ง แต่เวลานี้ไม่นึกเลยว่าจะมีคนกล้ามาเอะอะโวยวายข้างหูเขา

“ช่างโอหังยิ่งนัก!”

ยี่หนิงจูตวาดเสียงเบา มีจิตสังหารเสี้ยวหนึ่งกระพริบอยู่ในดวงตาที่งดงามคู่นั้น ครั้นเมื่ออยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน นางก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าศักยภาพของคนดังกล่าวจะแข็งแกร่งเช่นนี้ 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ