“เกณฑ์ห้วงเวลา!”
เมื่อเห็นอุบายที่หลัวซิวปลดปล่อยออกมา ก็มีรังสีแห่งความตะลึงทะลุออกมาจากสายตาของชายหนุ่มร่างยักษ์นั่น
เดิมทีเขานึกว่าหมอนี่เป็นพวกเดียวกันกับฆาตกรที่สังหารตะเข้กาฬ ทว่าเมื่อเขาเห็นเกณฑ์ที่ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนั่นปลดปล่อยออกมา เขาก็รู้แล้วว่าคนดังกล่าวก็เป็นจอมยุทธ์บนพสุดารานอกนภาเช่นกัน
เพราะในเกณฑ์พลังเต๋าที่จอมยุทธ์ในพสุดารานอกนภาปลดปล่อยออกมาจะมีออร่าพิเศษชนิดหนึ่ง
ขณะที่ลงมือ หลัวซิวก็สังเกตชายหนุ่มร่างยักษ์อยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาเห็นสีหน้าของฝ่ายตรงข้าม เขาก็ทราบแล้วว่าตนบรรลุเป้าหมายแล้ว ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางคิดได้เลยด้วยซ้ำว่าตนอาศัยเกณฑ์ไร้ลักษณ์ วิวัฒนาการออร่าเกณฑ์พลังเต๋าที่เป็นเอกลักษณ์ของพสุธาห้วงดาราแห่งนี้ออกมา
แม้นเกณฑ์ห้วงเวลาจะล้ำลึก แต่เมื่อช่วงระยะความแตกของศักยภาพแตกต่างกันมากเกินไป ประสิทธิผลของมันก็เล็กน้อยมากเช่นกัน เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนถูกคุมขังเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ต่อมาง้าวเทวทัณฑ์สวรรค์ของเขาก็ฉีกกระชากการคุมขังและกรงโทษของห้วงเวลา
เสี้ยววินาทีหนึ่งสั้นเกินไป สั้นถึงขั้นที่ทำให้หลัวซิวและชายหนุ่มร่างยักษ์ไม่มีโอกาสที่จะลงมือโจมตีได้เลยด้วยซ้ำ
“เจ้ามาถ่วงเวลามันไว้!”หลัวซิวใช้ตัวสำนึกส่งเสียงพูดกับชายหนุ่มร่างยักษ์
“ได้เลย!”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ตอบกลับได้เด็ดเดี่ยวมาก จากนั้นเขาก็พุ่งสังหารเข้าไปพร้อมกับดาบยุทธ์ พลังอมตะทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง รัศมีดาบที่นับไม่ถ้วนทำให้เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนทำได้เพียงต้านทานอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งหาจังหวะลงมือจัดการหลัวซิวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ตรงหว่างคิ้วของหลัวซิวก็แยกออก เตากลั่นนภาจื่อเซียวหมุนติ้วออกมา ภายใต้การปลุกเสกจากเกณฑ์ปริภูมิ เตาเซียนจึงหายไปภายในพริบตา ก่อนจะปรากฏด้านหลังเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนในวินาทีต่อไป
“แย่แล้ว!”
มีพลังดูดกลืนวิญญาณส่งตรงมาจากด้านหลัง ทำให้สีหน้าของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนเปลี่ยนไปทันที ทว่ากลับไม่ทันได้ตอบสนองเลย ก็ถูกเตาเซียนดูดเข้าไปภายในพริบตา
“กวง!”
ปิดผนึกฝาเตา เสียงระเบิดที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนออกมาจากเตาเซียนอย่างไม่หยุดหย่อน ฝาของเตาเซียนสั่นเทิ้มอย่างต่อเนื่อง เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่อยู่ด้านในอยากพุ่งสังหารออกมา
“สยบ!”
เงาร่างของหลัวซิวร่วงลงบนฝาเตาเซียน ร่างเนื้อของเขาเคยดูดกลืนแก่นสารสมบัติมาเป็นจำนวนมาก แค่น้ำหนักของร่างเนื้อก็น่าสยดสยองอย่างยิ่งแล้ว อีกทั้งเขาใช้ธรรมเวชกาลร้างปลุกเสกร่างตน ทำให้ร่างกายเขาเหมือนดังหอคอยเทวหลังหนึ่งที่สามารถกดอัดทุกสรรพสิ่ง
อย่างไรก็ตามฝาของเตาเซียนก็ยังคงสั่นเทิ้มอย่างไม่หยุดหย่อน นี่จึงทำให้สีหน้าของหลัวซิวขาวซีดเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของเขา การที่จะสยบผนึกเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด
“อัสนีคลั่ง! โกรธาทัณฑ์สวรรค์!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวสะท้อนออกมาจากเตาเซียน เพียงพริบตาเดียวก็มีพลังที่มากมายมหาศาลปะทุออกมา ทำให้ฝาของเตาเซียนและร่างกายหลัวซิวดีดกระเด็นออกไปพร้อมกัน
มีแสงอัสนีสีทองดวงหนึ่งบินออกมาจากเตาเซียน และแผ่นฟ้าก็ย้อมเต็มไปด้วยคราบเลือด ก่อนที่แสงอัสนีนั่นจะหายไปจากขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปภายในพริบตา
“อั่ก!”
หลัวซิวกระอักเลือดเฮือกหนึ่ง ใบหน้าขาวซีดปานกระดาษ เขาทุ่มสุดกำลังสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกดอัดเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนเอาไว้ได้อยู่ดี
แต่เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็น่าจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก เขาต้องใช้เคล็ดวิชาบางอย่างที่ผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันยังยากที่จะกระตุ้นได้แน่นอน ดังนั้นหลังจากเขาหลุดพ้นออกมาจากเตาเซียนจึงไม่ได้โต้กลับ แต่เป็นการเลือกที่จะหลบหนีจากไปอย่างรวดเร็ว
สามารถพูดได้เลยว่าตอนนี้วินาทีนี้ เป็นช่วงเวลาที่เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนอ่อนแอมากที่สุด แต่ตัวหลัวซิวเองก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน จึงไม่สามารถไล่ล่าตามไป
“น้องชาย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ชายหนุ่มร่างยักษ์เดินมาข้างกายหลัวซิว ก่อนจะพลิกมือหยิบยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วยื่นให้หลัวซิวพลางพูด: “นี่คือยาเซียนรักษาตัว เจ้ารีบกินมันลงไปก่อน”
หลัวซิวมองเห็นเจตนาดีจากแววตาของฝ่ายตรงข้าม เขาเชื่อมั่นความสามารถในการประเมินคนของตนเอง ดังนั้นจึงรับยามาแล้วกลืนลงท้องไปอย่างไม่ลังเลใจ
มีฤทธิ์ยาหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ทันทีว่าสภาพอาการบาดเจ็บของตัวเองกำลังฟื้นฟูดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันเขาก็ค้นพบเช่นกันว่ายาที่เขากินสอดคล้องกับเกณฑ์ฟ้าดินแห่งนี้ หากเป็นยาที่เขากลั่นได้ในโลกาภายนอก เมื่อนำมันมาใช้ที่นี่ก็แทบจะไม่มีประสิทธิผลใด ๆ เลย
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง สภาพอาการบาดเจ็บของหลัวซิวเริ่มดีขึ้น เตากลั่นนภาจื่อเซียวก็ถูกเขาเก็บเข้าไปในตัวหยั่งรู้เช่นกัน
“น้องชายเจ้าเก่งกาจมากเลยนะ ข้าเห็นว่าผลการฝึกตนของเจ้าเป็นเพียงเทพมารระดับแปด ไม่นึกเลยว่าแทบจะสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกาภายนอกนั่นได้แล้ว”
“เมื่อประมาณหนึ่งยุคตรีภพก่อน เซียนนอกนภาใช้การตระหนักรู้ในธรรมของตนบุกเบิกวิวัฒนาการพสุธาห้วงดาราแห่งหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือพสุดารานอกนภาที่เราอยู่ ณ วินาทีนี้นั่นเอง เกณฑ์ฟ้าดินของที่นี่ดูแล้วเหมือนกฎทวยเทพธรรมจักรวาลที่เคยปรับปรุงแก้ไขมาก่อน แต่อันที่จริงก็สามารถพูดได้ว่าเป็นธรรมเกณฑ์ที่เซียนนอกนภาบุกเบิกขึ้นมาด้วยตนเอง เมื่อมองจากมุมมองคุณค่าบางอย่างแล้ว เกณฑ์ฟ้าดินของที่นี่จึงแตกต่างจากกฎเกณฑ์ทวยเทพธรรมในจักรวาลโดยสิ้นเชิงเลย”
คำอธิบายเหล่านี้ของอี้หยูเข้าใจไม่ยาก และดูเหมือนกับว่าพสุดารานอกนภาจะปรากฏหลังจากที่เขาในอดีตชาติดับสลายสูญสิ้นไปได้ไม่นาน เขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าในยุคสมัยที่เขาในอดีตชาติคงอยู่ จะมีผู้แข็งแกร่งอย่างเซียนนอกนภาคงอยู่ด้วย
เขาจึงอดนึกถึงคำพูดที่ลู่ยู่จื่อเคยพูดไม่ได้ ลู่ยู่จื่อบอกว่าหอคอยนภากาศมีทั้งหมด 12 ชั้น ซึ่งหมายความว่าในยุคปัจจุบันมีผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่าแดนประมุขเต๋าคงอยู่ 12 คน ในยุคปัจจุบันไม่มีประมุขเต๋าเคลื่อนไหวในโลกหล้า แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่คงอยู่ มีผู้แข็งแกร่งบางส่วนแค่อยากแสวงหาแดนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ซึ่งเป็นบุคคลที่ผู้คนในโลกต่างไม่รู้จัก
บางทีเซียนนอกนภาที่อี้หยูพูดถึงก็คือผู้แข็งแกร่งประเภทนี้ มิเช่นนั้นในช่วงเวลาที่มหันตภัยแห่งยุควัฏสงสารเพิ่งสิ้นสุด จากความแข็งแกร่งของเซียนนอกนภา สามารถยึดกุมอำนาจและตำแหน่งที่สูงส่งในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดได้อย่างง่ายดายเลย
เมื่อทราบเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ก็ทำให้หลัวซิวเข้าใจขึ้นมาทันทีเช่นกันว่าแม้นเขาในอดีตชาติจะเคยบรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง แต่ความเข้าใจและสิ่งที่เขารู้จักในดาราจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ กลับมีเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น
ห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลลึกลับกว่าที่เขาจินตนาการมาก กว้างใหญ่มากกว่าที่คิด ไร้ขอบเขตมากกว่าที่คิด
ระหว่างทางทั้งสองพูดคุยกันเยอะมาก หลัวซิวถามคำถามด้วยตัวตนของผู้บำเพ็ญตนอิสระคนหนึ่งไปเยอะมาก อี้หยูก็ล้วนตอบกลับทุกคำถามของเขาเช่นกัน ราวกับพวกเขาทั้งสองรู้จักกันมานาน เพิ่งรู้จักกันแต่ก็ถูกคอกันเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าความเด็ดเดี่ยวและตรงไปตรงมาของอี้หยูกลับทำให้หลัวซิวรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย ถ้าเกิดอี้หยูรู้ว่าอันที่จริงเขาก็เป็นคนที่มาจากโลกาภายนอกเช่นกัน อีกทั้งมีความเกี่ยวข้องกับสาเหตุการตายของตะเข้กาฬด้วย เขาจะยังปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจเช่นนี้หรือไม่?
นี่คือคำถามที่ไร้คำตอบ เพราะหลัวซิวไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยความเป็นมาที่แท้จริงของตนให้อี้หยูเลยด้วยซ้ำ
“น้องซิวหลัวก็ได้ยินมาว่าแดนเซียนนอกนภาใกล้จะเปิดออกแล้ว จึงจะมุ่งหน้าไปยังเมืองเทพนอกนภาเหมือนกันใช่หรือไม่?”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นานมาก เมื่ออี้หยูบอกว่าตัวเองจะไปเมืองเทพนอกนภา หลัวซิวก็บอกว่าตนจะไปเมืองเทพนอกนภาเช่นกัน ถัดจากนั้นอี้หยูก็พูดข้อมูลเช่นนี้ออกมา
หลัวซิวไม่รู้ว่าแดนเซียนนอกนภาคืออะไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงยิ้มพลางตอบกลับอย่างกำกวม: “ข้าอยากลองไปเปิดประสบการณ์ดูมาก ๆ”
“ฮ่าฮ่า น้องซิวหลัวนี่สุดยอดจริง ๆ ผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดก็กล้าไปแดนเซียนนอกนภาแล้ว เก่งกาจกว่าข้าที่เป็นราชาเทพระดับเก้าเสียอีก”
อี้หยูพูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพเลื่อมใส “แต่ทว่าเราต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีกว่าถึงจะไปถึงเมืองเทพนอกนภา อีกทั้งต่อให้ไปถึงเมืองเทพแล้ว ก็ต้องรออีกห้าปีเช่นกันสะพานเทวนอกนภาถึงจะบังเกิดปรากฏ”
หลัวซิวได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วก็รู้สึกหมดคำจะพูดเล็กน้อย เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคือสะพานเทวนอกนภา ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยักหน้างึก ๆ เขาเชื่อว่าขอแค่ไปถึงเมืองเทพนอกนภา เขาก็จะทราบเรื่องทุกอย่างเองว่ามันเป็นอะไรยังไงกันแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...