ทุกคนล้วนยืนมองมาจากที่ไกล ๆ เห็นเพียงจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยคนนั้นพยายามอยู่หลายรอบมาก สูญเสียผลการฝึกตนอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถเอาหนังสือโบราณทั้งสองม้วนนั้นไปได้อยู่ดี
สิ่งของทุกอย่างที่อยู่ภายในหอมิราจหลังนี้ล้วนมีแสงเซียนเฝ้าดูแลรักษา ซึ่งมีคนพยายามลองเก็บของประดับตกแต่งไปเช่นกัน แต่แค่สัมผัสก็ยังสัมผัสไม่ได้
ภายใต้สถานการณ์ที่จนปัญญา ทุกคนจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิด ก่อนจะพากันเดินออกมาจากหอมิราจ
“จักรพรรดิอย่างข้าต้องตามหาโชคโอกาสที่สามารถยืดชีวิตข้าให้ได้!”
ไม่ได้ครอบครองสมบัติที่อยู่ภายในหอมิราจ นี่จึงทำให้เงาร่างของจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยหม่นหมองลงไปเล็กน้อย แต่ว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้เลย หลังจากเดินออกมาจากหอมิราจ ก็มุ่งหน้าเดินไปยังสถานที่อื่น ๆ ที่มีแสงเซียนตลบฟุ้งอยู่ต่อ
การที่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่งมีชีวิตคงอยู่ได้สามหมื่นล้านปีนั้น ถือเป็นอุบายที่แหกกฎสวรรค์แล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด อายุขัยของจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยคงเหลือไม่ถึงหมื่นปี นอกเสียจากเขาสามารถบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า
เขาแก่ชรามากแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากมีผู้ใดแก่งแย่งโชคโอกาสในการยืดชีวิตกับเขา จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยกล้าเอาเป็นเอาตายกับทุกคนอย่างแน่นอน และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง พวกมกุฎเทพหยุนเซวียนถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะแก่งแย่งหนังสือโบราณทั้งสองม้วนที่อยู่ในหอมิราจกับเขา
อันที่จริงขณะที่ทุกคนมาถึงสุดปลายขอบเขตของสะพานเซียน ก็มาถึงแดนเซียนนอกนภาที่กล่าวถึงแล้ว ส่วนหอมิราจที่ผู้คนเพิ่งเข้าไปในเมื่อครู่นี้ ก็เป็นเพียงสถานที่แห่งหนึ่งของแดนเซียนนอกนภาเท่านั้น
จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยเดินจากไปไกลแล้ว แต่หลัวซิวก็ยังคงได้ยินเสียงพึมพำของเขาอยู่เช่นเคย ดูเหมือนครั้นเมื่อจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยมาแดนเซียนนอกนภาครั้งก่อนก็เคยเข้าไปในหอมิราจแล้ว เดิมทีคิดว่าผลการฝึกตนของตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพระดับเก้า สามารถเอาสมบัติในหอมิราจออกไปได้แล้ว แต่เฝ้ารอมาสามหมื่นล้านปี สุดท้ายสิ่งที่ได้รับมาก็ยังคงเป็นความว่างเปล่าอยู่เช่นเคย
หลังจากจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยจากไป คนอื่น ๆ ก็ต่างเดินกลับเข้าไปในหอมิราจอีกครั้งอย่างไม่ยอมใจ เพื่อพยายามดูว่าจะสามารถเอาหนังสือโบราณสองม้วนนั้นไปได้หรือไม่
เพราะมีคนคาดคะเนว่าการที่จะสามารถครอบครองหนังสือโบราณสองม้วนนี้ได้หรือไม่นั้น บางทีมันอาจไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผลการฝึกตน แต่ต้องดูที่มีวาสนาหรือไม่
คนจำนวนมากต่างคิดว่าตัวเองดวงดี ทว่าหลังจากแต่ละคนทำล้มเหลวแล้ว ก็ไม่มีคนสนใจหอมิราจหลังนี้อีกเลย
หลังจากทุกคนจากไปแล้ว หลัวซิวไม่ได้จากไปแต่อย่างใด แต่เป็นการมาถึงหน้าโต๊ะที่มีหนังสือโบราณสองม้วนนั้นวางอยู่
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยพยายามลองดูเหมือนกัน ทันทีที่มีคนอยากเอาหนังสือโบราณไป ก็จะมีแสงเซียนเลื่อนขึ้นมา แสงเซียนนั่นดูเหมือนจะนุ่มนวล แท้จริงแล้วกลับมีจิตสังหารแฝงซ่อนอยู่ มีราชาเทพระดับเก้าหลายคนเนื่องจากศักยภาพแข็งแกร่งไม่มากพอ จึงถูกแสงเซียนทำให้บาดเจ็บสาหัสตลอดจนถูกสังหาร
อุบายทั่วไปไม่สามารถเอาหนังสือโบราณไปได้ หลัวซิวจึงพิจารณาคิดหาวิธีอื่นเอง เพราะในมุมมองของเขา คนอย่างเซียนนอกนภาไม่มีทางทำเรื่องที่ไร้ความหมายแน่นอน ในเมื่อเขาวางหนังสือโบราณไว้ที่นี่สองม้วน เช่นนั้นเขาก็ต้องมีเจตนาแฝงอยู่แน่นอน
สายตาของหลัวซิวร่วงลงบนเบาะนั่งทรงกลมที่อยู่ข้างโต๊ะ เมื่อครู่ก็มีคนพยายามเอาเบาะนั่งทรงกลมใบนี้ไปเช่นกัน เบาะนั่งทรงกลมใบนี้ดูเหมือนจะธรรมดาเรียบง่าย แต่ภายในแสงเซียนที่ตลบฟุ้งไปทั่วกลับมีความล้ำลึกประเภทหนึ่งที่มากมายมหาศาลแฝงซ่อนอยู่ ในระหว่างที่ใจลอย หลัวซิวราวกับมองเห็นเงาหลังหนึ่งกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่งทรงกลมใบนี้
“หรือจะเป็นสถานที่ที่เซียนเคยฝึกฝนตระหนักวิชาเซียน?”
หลัวซิวหรี่ตาลง แม้นจะไม่ได้ครอบครองหนังสือโบราณสองม้วนนั้น แต่ถ้าเกิดสามารถตระหนักวิชาล้ำเลิศของเซียนได้ที่นี่ มันต้องมีประโยชน์ต่อการปรับวิถีไร้ลักษณ์ของตนให้สมบูรณ์แบบขึ้นได้แน่นอน
“เจ้าหนู เจ้ายังไม่ไปจริง ๆ ด้วย”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่ไพเราะสะท้อนมา หลัวซิวมองไปทางต้นตอของเสียง ก่อนจะมองเห็นเงาร่างที่เล็กและอ่อนช้อยร่างหนึ่งเดินเข้ามาในหอมิราจ แล้วมุ่งหน้าตรงมาทางเขา
ซึ่งคนดังกล่าวย่อมต้องเป็นมกุฎเทพหยุนเซวียนอยู่แล้ว เมื่อถูกนางเรียกว่าเจ้าหนู ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจจริง ๆ
หลัวซิวที่อยู่ในพสุดารานอกนภาไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาอำพรางตัวตนแต่อย่างใด ดังนั้นครั้นเมื่อสะพานเซียนบังเกิดขึ้น ขณะที่เขาจำมกุฎเทพหยุนเซวียนได้ นางก็จำตัวเองได้เช่นกัน
“น้องหนูมีคำชี้แนะอันใดหรือ?”หลัวซิวอมยิ้มแล้วตอบกลับประโยคหนึ่ง
“เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก!”เมื่อมกุฎเทพหยุนเซวียนได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงเอามือเท้าสะเอวทันที แล้วใช้แววตาที่ดุดันอย่างยิ่งจ้องมองหลัวซิว แต่ว่าจากลักษณะที่น่าเกลียดน่าชังนั่นของนาง แววตาที่ดูดุร้ายนั่นมองยังไงก็รู้สึกน่ารักมาก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีชีวิตมานานเท่าไหร่แล้ว? เจ้าบังอาจเรียกข้าว่าน้องหนูอย่างนั้นหรือ?”มกุฎเทพหยุนเซวียนไม่พูดก็แล้วไป ทันทีที่พูดก็ทำให้ผู้คนตะลึงจนตาค้างเลยทีเดียว
“ถ้าเกิดเริ่มนับตั้งแต่อดีตชาติละก็ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นบุคคลที่มีชีวิตมานานหนึ่งยุคตรีภพแล้ว”หลัวซิวเบ้ปากพลางตอบกลับ
ก่อนหน้านี้เขาหลบหน้าฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด ก็เพื่อกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาหาเรื่องตนเพราะเศษฮู้เทวชิงเทียนเมื่อครั้งนั้น แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามหาหาตัวเองถึงที่แล้ว หลัวซิวควรตอบสนองอย่างไร ก็ควรตอบสนองอย่างนั้นอยู่แล้ว
“หึ แค่หนึ่งยุคตรีภพกระจอก ๆ เอง ข้านั้นมีชีวิตตั้งแต่ไท่ชูกระทั่งปัจจุบันเชียวนะ!”มกุฎเทพหยุนเซวียนมองหลัวซิวด้วยแววตาที่ดูหมิ่นรอบหนึ่งพลางพูด
“เจ้าโม้หรือเปล่า? ตั้งแต่ไท่ชูกระทั่งปัจจุบัน เวลาก็ล่วงเลยไปไม่รู้ตั้งกี่ยุคตรีภพแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถคงอยู่มาได้ยาวนานเช่นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...