มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2828

ย่างเท้าเดินอยู่ในปริภูมิพื้นที่ที่มีแสงเซียนสาดซัด หลัวซิวมองเห็นตำหนักพระราชวังที่กว้างขวางยิ่งใหญ่ติดต่อกันหลายหลัง

ที่นี่มีเมฆหมอกลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป แสงเซียนตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ ตำหนักพระราชวังทั้งหลายตั้งตระหง่าน ราวกับที่อยู่ของเทพเจ้าในตำนานเทพนิยาย

หอมิราจเป็นสถานที่พักของเซียนนอกนภา เป็นสถานที่ที่เขาเคยฝึกตน ไม่นานนัก หลัวซิวก็เดินเข้าไปในพระราชวังอีกหลังหนึ่ง ซึ่งพระราชวังหลังดังกล่าวมีนามว่าตำหนักหงฮวง(ล้นร้าง)

คำว่าหงฮวงหรือล้นร้างมีความหมายที่ล้ำลึกอย่างไร้ขอบเขตแฝงซ่อนอยู่ เพราะสองพยางค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของธรรมดั้งเดิมสองประเภท โดยแบ่งออกเป็นวิถีกลั่นแปรเตาอหังการ และวิถีกลั่นร่างหอคอยฮวง

อันหนึ่งกลั่นร่าง อันหนึ่งกลั่นแปร คำว่าหงฮวงได้แสดงเอกลักษณ์ธรรมดั้งเดิมสองประเภทบนวิถียุทธ์ออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจ 

ขณะที่หลัวซิวมาถึงที่นี่ ก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ผู้คนที่อยู่ในหอมิราจไม่ได้รับดอกผลอะไรเลย แต่ในตำหนักหงฮวงแห่งนี้กลับแตกต่างกัน ที่นี่มีร่องรอยที่เซียนทิ้งไว้จำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่นเตาเพลิงที่ใหญ่โตปานดาวเคราะห์ดวงหนึ่งลอยอยู่กลางนภาพระราชวัง บริเวณรอบ ๆ เตาเพลิงมีแก่นสารไฟล้นที่ผนึกรวมมาจากมหาวิถีอหังการหรือธรรมเวชกาลล้นโอบล้อม 

ซึ่งแก่นสารไฟล้นประเภทนี้เป็นสิ่งที่ผนึกรวมออกมาจากเกณฑ์ธรรมเวชกาลล้น ได้รับสมญานามว่าเป็นสิ่งที่สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าได้ 

นอกเหนือจากนี้แล้ว ที่นี่ยังมีอาวุธเทพของขลังที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นรองที่ถูกกลั่นจากมือเซียน ภายในอาวุธเทพของขลังเหล่านี้มีความลึกลับมหัศจรรย์และความล้ำลึกของธรรมหงฮวงทั้งสองประเภทแฝงซ่อนอยู่ แต่บริเวณรอบ ๆ กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยตัวต้องห้ามที่แน่นหนา ซึ่งไม่สามารถเอามันไปได้เลยด้วยซ้ำ 

แม้นจะไม่สามารถนำสิ่งของที่อยู่ในนี้กลับไป ทว่าแม้จักทำได้เพียงศึกษาเรียนรู้ แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนตระหนักได้ถึงความประณีตสวยวิจิตรของธรรมเวชหงฮวงหรือล้นร้าง โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ย ยิ่งตระหนักพลังเต๋าของที่นี่อย่างมัวเมา เพียงเพื่อแสวงหาโอกาสในการบรรลุ 

สิ่งที่จักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยศึกษาเรียนรู้คือเตาเพลิงที่ใหญ่โตปานดาวเคราะห์นั่น เตาเพลิงนั่นราวกับของเลียนแบบของอัญโลกล้นหากสามารถหลอมรวมธรรมเวชกาลล้นและธรรมเวชเพลิงอัคคีเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถผนึกรวมอัคคีเต๋าล้นที่สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าออกมาได้ 

และธรรมเวชกาลล้นก็ไม่ได้อยู่ในรูปแบบเพลิงไฟอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีธาราเต๋านภาล้นที่กลายมาจากเกณฑ์ธรรมเวชกาลล้น หากถูกธาราเต๋าประเภทนี้แผ่คลุม ก็สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งในโลกได้เช่นกัน นำแก่นสารของมันหลอมรวมเข้ากับธาราเต๋า แล้วบำรุงตัวจอมยุทธ์เอง

หลัวซิวที่มาถึงที่นี่ก็เหมือนเฉกเช่นเดียวกับผู้อื่น พยายามลองดูว่าสามารถเอาของขลังอาวุธเทพของที่นี่ไปได้หรือไม่ แต่เขาก็ยอมแพ้อย่างรวดเร็ว เพราะจากการยึดกุมและระดับฝีมือในวิถีค่ายกลของเขา สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าบริเวณรอบ ๆ ของขลังอาวุธเทพเหล่านี้มีตัวต้องห้ามที่แข็งแกร่ง มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้า หากจะใช้อำนาจฝืนเอาสมบัติของที่นี่ไป เกรงว่าคงจะถูกพลานุภาพของตัวต้องห้ามเหล่านี้สังหารจนเหลวแหลกแน่

หลัวซิวเดินวนอยู่ภายในตำหนักหงฮวงแห่งนี้รอบหนึ่ง สามารถพูดได้เลยว่าเขาไม่ได้รับอะไรที่มีประโยชน์เลย แม้นที่นี่จะตลบฟุ้งไปด้วยพลังเต๋าสุดลึกลับและมหัศจรรย์ของธรรมเวชหงฮวง แต่เนื่องจากการพันธนาการโดยผลการฝึกตนของตนเอง ทำให้การตระหนักรู้ในธรรมสองประเภทนี้ของเขาบรรลุถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้ว นอกเสียจากผลการฝึกตนสามารถก้าวเข้าสู่แดนที่สูงกว่า เขาถึงจะสามารถตระหนักเกณฑ์พลังเต๋าได้สูงขึ้น 

ซึ่งนี่ก็คือข้อจำกัดของแดน ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับความสามารถในการตระหนักรู้และความสามารถในการอนุมานของเขาเลยแม้แต่น้อย 

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็หยุดฝีเท้าลง เนื่องจากเขามองเห็นเตากลั่นยาหนึ่งเตา บนฝาเตากลั่นยาดังกล่าวมีพระราชสาส์นวางอยู่หนึ่งม้วน 

พระราชสาส์นม้วนนี้ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับอาวุธชิ้นอื่น ๆ ไม่สามารถเอาไปลงไปจากฝาเตาได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งบริเวณรอบ ๆ อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยตัวต้องห้าม 

แต่กลับสามารถแผ่ขยายตัวสำนึกไปได้อยู่ ซึ่งจะไม่ถูกตัวต้องห้ามกีดกัน เขาเห็นคนจำนวนมากต่างพากันส่ายหน้า เนื่องจากแม้ตัวสำนึกจะสามารถสัมผัสพระราชสาส์นดังกล่าวได้ แต่ก็สัมผัสไม่ได้อยู่ดีว่าตกลงสิ่งที่บันทึกอยู่ในพระราชสาส์นดังกล่าวคืออะไรกันแน่ 

เป็นเรื่องที่แม้แต่มกุฎเทพระดับเก้ายังทำไม่ได้ หลัวซิวจึงไม่ได้คิดอะไรมากเช่นกัน เขาแค่ปลดปล่อยตัวสำนึกเสี้ยวหนึ่งของตัวเองออกไปเพื่อลองทดสอบหยั่งเชิงดู

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือ ณ เสี้ยววินาทีที่ตัวสำนึกของเขาสัมผัสกับพระราชสาส์น ห้วงความคิดของเขาก็ถูกฉุดดึงเข้าไปในปริภูมิที่ลึกลับภายในพริบตา

เขากวาดตามองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ อย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งที่สูงเสียดเมฆ พื้นที่บนยอดเขานี้กว้างใหญ่มาก ๆ มีพระราชวังที่เรียบง่ายและโบราณหลังหนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า มีหมอกเซียนลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบพระราชวัง มีเสียงร้องของนกกระสาและเสียงคำรามของเสือมังกรดังก้องอยู่ตรงขอบฟ้าอยู่เป็นระยะ ลมปราณสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง 

ตรงหน้าพระราชวังที่เรียบง่ายและโบราณ มีผู้อาวุโสคนหนึ่งนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนก้อนเมฆก้อนหนึ่ง รอบกายเขาตลบฟุ้งไปด้วยแสงเซียนที่เข้มข้น ผมขาวโพลน สีหน้าเสมือนเด็ก ถือแส้เซียนในมือ ดูลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ 

ส่วนด้านล่างของผู้อาวุโสคนดังกล่าว มีเบาะนั่งทรงกลมวางอยู่หลายใบ บนเบาะนั่งทรงกลมทุกใบก็มีคนนั่งอยู่หลายร่างเช่นกัน เสียงและอารมณ์ของทุกคนล้วนแตกต่างกันออกไป มีทั้งผู้ที่ขมวดคิ้วกำลังไตร่ตรองคำถามที่ไม่เข้าใจ และมีผู้ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส จุดตีบตันที่พันธนาการมาหลายปีทลาย จิตใจจึงเบิกบาน 

หลัวซิวทำการนับโดยคร่าว ๆ พบว่านอกจากเซียนอาวุโสที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆแล้ว เงาร่างที่นั่งอยู่บนเบาะนั่งทรงกลมด้านล่างมีทั้งหมด 14 คน 

ในขณะที่หลัวซิวกำลังรู้สึกแปลกใจและตะลึงงันอยู่นั้น จู่ ๆ เซียนอาวุโสที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆนั่นก็เอ่ยปากพูด เพียงพริบตาเดียวก็ธรรมกถาเป็นน้ำไหลไฟดับ ทุกคำพูดทุกประโยคล้วนวิวัฒนาการปรากฏการณ์แปลกประหลาดต่าง ๆ ออกมา ไม่ก็กลายเป็นดอกบัวทอง หรือกลายเป็นตรีภพ บ้างก็กลายเป็นภาพฉากที่บุกเบิกฟ้าดิน

เสียงเซียนวนเวียนไปมา เสียงธรรมลึกซึ้ง หลัวซิวรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในกฎเกณฑ์ธรรมฟ้าดินดั้งเดิมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จมปลักอยู่ภายใน ตระหนักความลึกลับและมหัศจรรย์จนไม่อาจถอนตัวออกมาได้ 

เขานั่งลงตรงตำแหน่งที่อยู่ห่างไม่ไกลจากจุดที่เซียนธรรมกถาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตั้งใจฟังอย่างสงบ วิถีแห่งเซียนลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ จากแดน ณ ปัจจุบันของหลัวซิวย่อมฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว แต่วิถีไร้ลักษณ์ของเขากลับสามารถบันทึกได้อยู่ ทำการบันทึกความล้ำลึกที่แฝงซ่อนอยู่ในวิถีแห่งเซียนไว้ในกงล้อเทพ เมื่อแดนผลการฝึกตนของตัวเขาเองบรรลุถึงระดับที่แน่นอน เขาก็จะสามารถเข้าใจความล้ำลึกและความหมายที่แฝงซ่อนอยู่ภายในโดยปริยาย

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่เป็นจังหวะที่หาพบได้ยากมาก หลัวซิวก็เริ่มเข้าใจได้ลาง ๆ แล้วว่าเหตุใดเมื่อผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ใช้ตัวสำนึกสัมผัสกับพระราชสาส์นจึงไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เพราะวิญญาณดั้งเดิมของเขาแปรเปลี่ยนเป็นญาณเทว ดังนั้นตัวสำนักวิญญาณของเขาจึงพิเศษกว่าผู้อื่น ฉะนั้นจึงได้รับการยอมรับจากพระราชสาส์นดังกล่าว เขาถึงสามารถเข้ามาในโลกาแห่งพระราชสาส์น พบเห็นภาพฉากที่เซียนธรรมกถา 

“อาจารย์ เราจักตรัสรู้ได้อย่างไรขอรับ?”

ทันใดนั้นเอง ในบรรดาทั้ง 14 คนที่นั่งอยู่บนเบาะนั่งทรงกลม มีชายที่อยู่ในชุดขาวลุกพรวดขึ้นมากะทันหัน ก้มคำนับไปทางผู้อาวุโสอย่างเคารพนบนอบแล้วถามอย่างเคารพรอบคอบ

“การตรัสรู้มีสองหนทาง ซึ่งได้แก่ร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณกลายเซียน เพราะอสูรจิตทั้งปวงในโลกล้วนประกอบมาจากร่างเนื้อและวิญญาณ ร่างเนื้อเป็นที่สถิตของวิญญาณ ส่วนวิญญาณเป็นที่ฝากฝังของร่างเนื้อ ฉะนั้นการฝึกยุทธ์จึงมีวิถีกลั่นร่างและวิถีกลั่นวิญญาณ ในส่วนของผลการฝึกตนที่ยกระดับจากการฝึกตนนั้น เป็นเพียงสิ่งเพิ่มเติมพิเศษของวิถีทั้งสองวิถีนี้”

คำพูดของเซียนทำให้จิตใจหลัวซิวเกิดความงุนงงอย่างแปลกประหลาด เพราะทฤษฎีประเภทนี้ แทบจะเป็นการโค่นล้มระบบการฝึกตนในยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิงเลย

หลังจากที่ผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ภาพฉากที่อยู่รอบกายก็ค่อย ๆ เลือนลาง จิตสำนึกของหลัวซิวก็ถอนออกมาจากภาพฉากที่เซียนธรรมกถาเช่นกัน กลับมาถึงร่างดั้งเดิมของเขา

เขาอยากฟังเซียนธรรมกถาอีกครั้งมาก ๆ แต่เมื่อตัวสำนึกของเขาสัมผัสกับพระราชสาส์น กลับไม่มีโอกาสอย่างในเมื่อครู่นี้ปรากฏอีก 

นี่จึงทำให้หลัวซิวเข้าใจว่าโอกาสเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาพบได้แต่ร้องขอไม่ได้ 

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารหนึ่งดวง เขาหันหน้ากลับไปมอง จากนั้นก็มองเห็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ซึ่งจิตสังหารดังกล่าวก็ส่งตรงมาจากตัวเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนนี่แหละ 

แต่ว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็น่าจะไม่มีความมั่นใจในการกำราบเขาเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือคาที่แต่อย่างใด 

หลัวซิวหัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ ขอแค่อยู่บนพสุดารานอกนภา ศักยภาพของเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนจะฟื้นฟูกลับมาช้ามาก ส่วนศักยภาพของเขากลับเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะหลังจากได้รับโชคโอกาสในแดนเซียนนอกนภาครั้งแล้วครั้งเล่า ศักยภาพของเขา ณ วินาทีนี้แข็งแกร่งกว่าครั้นเมื่อประมือกับเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนในก่อนหน้านี้มาก ๆ แล้ว 

แต่เขาก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะสามารถกำราบเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนได้ ดังนั้นหลังจากสบตากันเสี้ยววินาที ทั้งสองก็ดึงสายตากลับมา ต่างฝ่ายต่างหวาดกลัวซึ่งกันและกัน 

ดังคำกล่าวที่ว่าอูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า คนรวยเมื่อยามเข้าตาจนก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่าคนจน อย่างไรเสียเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนนี่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า แม้นจะอยู่ภายใต้สภาวะที่ผลการฝึกตนถูกกดอัด เขาต้องมีอุบายและไพ่เด็ดที่แข็งแกร่งจำนวนมากแน่นอน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้หลัวซิวหวาดกลัวอย่างแท้จริงต่างหาก

“เป็นเพียงผู้น้อยกระจอก ๆ ที่แม้แต่เทพมารระดับเก้ายังบรรลุไม่ถึง หากสหายสิงต้องการละก็ ข้าสามารถช่วยเจ้าลงมือกำจัดมันทิ้งได้”

และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ชายชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนก็เอ่ยปากพูด “ข้ามาถึงพสุดารานอกนภาตั้งแต่เมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อนแล้ว แม้ศักยภาพยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนไปถึงมกุฎเทพระดับเก้า ทว่าขอเพียงเจ้าและข้าร่วมมือกัน ต้องสามารถกำจัดมันทิ้งได้อย่างง่ายดายแน่นอน”

ขณะที่ชายชุดขาวพูด หลัวซิวก็สังเกตเห็นฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน หลังศีรษะของคนดังกล่าวก็มีกงล้อเทพลอยอยู่ห้าวง กงล้อเทพทุกวงล้วนผนึกรวมได้แข็งแกร่งมาก คุณภาพบรรลุถึงระดับสมบูรณ์แบบ อีกทั้งรอบกงล้อเทพทั้งห้าวงนั้นยังมีเงาลวงของกงล้อเทพปรากฏอีกสามวง แต่ทว่าพลานุภาพของกงล้อเทพทั้งสามวงนั้นล้วนถูกเกณฑ์ฟ้าดินของพสุดารานอกนภากดอัดอยู่ 

เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่านั่นคือผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อที่มาจากห้วงดารานอกพสุดารานอกนภา!

“สองหมื่นปีแต่ศักยภาพยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนไปถึงมกุฎเทพระดับเก้า ทางที่ดีกูแนะนำให้มึงระมัดระวังคำพูดคำจาของตัวเองหน่อยจักดีกว่า มิเช่นนั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งก็มีโอกาสตายอยู่ในเงื้อมมือผู้น้อยคนหนึ่งสูงมาก”หลัวซิวกวาดตามองคนดังกล่าวด้วยสายตาที่เยือกเย็นรอบหนึ่ง แล้วพูดด้วยคำพูดที่มีการข่มขู่ปนอยู่เล็กน้อย

แค่เจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนคนเดียวก็ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นแล้ว แม้นชายชุดขาวนั่นจักด้อยกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนเล็กน้อย แต่กลับใช้เวลาสองหมื่นปีก็คุ้นเคยและเข้ากับเกณฑ์ฟ้าดินบนพสุดารานอกนภาได้แล้ว ดังนั้นศักยภาพที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมาได้ในพสุดารานอกนภาต้องไม่ด้อยกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนแน่นอน 

หากคนสองคนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นร่วมมือกัน เช่นนั้นสถานการณ์ต้องไม่ดีต่อหลัวซิวมากอย่างแน่นอน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ