มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2830

มกุฎเต๋านอกนภา? 

มีคนทำหน้างุนงง “เซียนนอกนภาเป็นเซียนแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงต้องเรียกท่านว่ามกุฎเต๋า?”

“อาจารย์ยังไม่บรรลุเป็นเซียน”

สำหรับคำถามนี้ ชายร่างยักษ์นั่นตอบกลับได้ตรงไปตรงมามาก พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง: “แม้นอาจารย์จะยังไม่บรรลุเป็นเซียน ทว่าก็อยู่ไม่ไกลจากเซียนแล้ว สามารถนับได้ว่าอยู่ในแดนกึ่งเซียน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ชายร่างยักษ์ก็ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง แล้วกวาดตามองผู้คน “แต่ทว่าอย่างพวกเจ้าในตอนนี้น่ะ การพูดถึงเรื่องบรรลุเป็นเซียนมันดูไขว่คว้าสิ่งที่เกินตัวไปหน่อย ก่อนที่พวกเจ้าจะผ่านด่านของข้า จำเป็นต้องทดสอบปัญญาและความสามารถในการตระหนักรู้ของพวกเจ้าก่อน!”

“เวิ่ง!”

เห็นเพียงชายร่างยักษ์ยื่นมือปลดปล่อยกระบวนท่าออกมาหนึ่งท่า หอคอยฮวงจึงบินลอยขึ้นฟ้า ลอยอยู่กลางนภา จากนั้นก็มีพลังดูดกลืนวิญญาณที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมา

“ในบรรดาพวกเจ้าทั้งหมด มีเพียง 120 คนเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้ารอบ ผู้ใดจะสามารถอยู่ต่อ ผู้ใดจะตกรอบ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าเองแล้วล่ะ”

เสียงที่มีอำนาจอันน่าเกรงขามดังก้องอยู่ข้างหูทุกคน มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยก็ไม่สามารถคัดค้านได้เลยแม้แต่น้อย ถูกดึงดูดเข้าไปในหอคอยฮวงภายในพริบตา 

หลัวซิวย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้นอยู่แล้ว หลังจากที่เขาเข้าไปในหอคอยฮวง ก็ค้นพบพื้นที่ที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง

ภายในพื้นที่ดังกล่าวมีเพียงสีขาวสีเดียวเท่านั้น หลัวซิวกวาดตามองดูบริเวณรอบ ๆ ก่อนจะเห็นเงาร่างทั้งหลายปรากฏอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนเหล่านี้ก็คือเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เดินอยู่บนทางหินชนวนสีเขียวแล้วทะลุข้ามผ่านตรีภพมาพร้อมกับเขานั่นเอง

“ตู้มม!”

จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดแตกดังขึ้น ทั่วพื้นที่ดังกล่าวก็ราวกับถูกวัตถุมีน้ำหนักกดอัดยังไงอย่างนั้น สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง

ในขณะเดียวกัน ก็มีพลังอำนาจที่มากมายมหาศาลจุติลงมาเช่นกัน 

“เกิดอะไรขึ้น ไยผลการฝึกตนของข้าจึงลดต่ำลงแล้ว?”

มีเสียงตะโกนอุทานกะทันหัน จากนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ต่างพากันตรวจสอบผลการฝึกตนของตัวเอง เห็นเพียงผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดลงไปที่แดนเทพมารแล้ว ซึ่งแดนเทพมารที่กล่าวถึงไม่ใช่เทพมารระดับเก้า แต่เป็นเทพมารที่แดนยุทธ์เพิ่งมีการบรรลุแล้วผนึกรวมช่องจิตออกมา

เมื่ออยู่ภายใต้แดนประเภทนี้ ไม่สามารถโคจรใช้สอยเกณฑ์พลังเต๋าได้เลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ทุกคนสามารถโคจรได้มีเพียงพลังแห่งกฎเท่านั้น 

ผลการฝึกตนของหลัวซิวก็ถูกกดอัดเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ศักยภาพแตกต่างกันเยอะมาก เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ วิถีไร้ลักษณ์ของเขาก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ เช่นกัน 

ไม่เพียงเขาเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิเทพเทียนสุ่ยก็ถูกกดอัดด้วย แม้แต่จักรพรรดิเทพยังไม่สามารถต่อกรกับพลังแห่งการกดอัดของหอคอยฮวงได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเขาที่เป็นเทพมารระดับแปดเล็ก ๆ คนหนึ่งเล่า?

สิ่งที่หอคอยฮวงชำนาญมากที่สุดก็คือการกดอัด หลัวซิวก็เริ่มเข้าใจเล็กน้อยแล้วว่าเหตุใดจึงต้องดูดทุกคนเข้ามาในหอคอยฮวง ซึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อกดอัดให้ผลการฝึกตนขอทุกคนอยู่ในแดนเดียวกัน  

แม้นผลการฝึกตนถูกกดอัดจะทำให้คนจำนวนมากต่างรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าอย่างไรเสียทุกคนที่มาถึงที่นี่ก็ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่ง จึงฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างระมัดระวังซึ่งกันและกัน

เพราะศิษย์ของมกุฎเต๋าในเมื่อครู่นี้ได้บอกแล้วว่าผู้ที่สามารถผ่านด่านในรอบนี้ได้มีเพียง 120 คนเท่านั้น ซึ่งคนที่เหลือล้วนจะตกรอบ 

และวิธีการตกรอบที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดก็คือการเข่นฆ่า!

“ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยประสบมานานเสียจริง......”

หลัวซิวมองดูมือทั้งสองข้างของตัวเอง สัมผัสกับผลการฝึกตนในร่างกายที่ถูกกดอัดลงไปที่แดนเทพมาร เขาจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนเพิ่งบรรลุถึงเทพมารในภพชาตินี้

อยู่ในแดนเทพมารเหมือนกัน ทว่าเขาในวินาทีนี้กลับแข็งแกร่งกว่าอดีตหลายเท่าตัวมาก

เพราะเขาในตอนนั้นยังไม่ยึดกุมวิถีไร้ลักษณ์ ยังไม่มีระบบการฝึกตนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ และไม่ได้ยึดกุมมหาอิทธิฤทธิ์ที่ทรงพลังอย่างปัจจุบันด้วย

ศึกการต่อสู้เพื่อคัดผู้เข้ารอบไม่ได้เริ่มต้นทันทีแต่อย่างใด เพราะทุกคนล้วนระมัดระวังอย่างมาก เมื่ออยู่ที่นี่ต่อให้เป็นผู้แข็งแรงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าก็ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดอยู่ที่แดนเทพมาร ต่อให้ศักยภาพของเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ต้านทานต่อการถูกรุมโจมตีไม่ไหว

“ชัวะ! ชัวะ! ชัวะ! ……”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาดำทั้งหลายลอยขึ้นฟ้า แล้วบินไปยังทั่วทุกสารทิศของพื้นที่ปริภูมิแห่งนี้ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคนจำนวนมากต่างวางแผนที่จะหาสถานที่หลบภัยก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตะลุมบอนรุมโจมตีแล้วตกรอบ

อีกทั้งผู้คนต่างคุ้นเคยกับผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งแล้ว จึงต้องใช้เวลามาทำความคุ้นเคยกับการใช้สอยพลังแห่งกฎในแดนเทพมาร มีเพียงปรับสภาพจิตใจและสถานการณ์ของตัวเองให้ขึ้นไปถึงจุดที่ดีที่สุด ถึงจะมีโอกาสโค่นล้มคู่ต่อสู้คนอื่น ๆ ได้สูงขึ้น

มีจอมยุทธ์สิบกว่าคนรวมตัวเข้าด้วยกัน โดยที่มีชายชุดขาวผู้มีนามว่ายู่เหมินนั่นเป็นผู้นำของคนกลุ่มนั้น พวกเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือที่มาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลง

เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดอยู่ที่แดนเทพมาร เมื่อจำนวนคนสิบกว่าคนรวมตัวเข้าด้วยกัน ก็พอจะพูดได้เลยว่าสามารถกวาดล้างทุกคนที่อยู่ในนี้ได้แล้ว  

“เหอะ ๆ ไม่นึกเลยว่าในแดนเซียนนอกนภานี้จะยังมีการกำหนดผู้ตกรอบเช่นนี้ด้วย ผลการฝึกตนถูกกดอัด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งมาถึงก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรจากเทพมารทั่วไปอยู่ดีมิใช่หรือ?”

ชายชุดขาวหัวเราะอย่างหยิ่งผยอง พัดโบกพัดกระดาษที่อยู่ในมือเบา ๆ ดั่งท่านชายที่สะอาดสะอง พลางยิ้มพลางพูด: “วันนี้พวกเราจะทำให้เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากที่อยู่ในนี้ตกรอบให้หมด ทำให้พวกบ้านนอกคอกนาจากโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดได้รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์จากโลกาฟ้าดินหลิงหลงอย่างเรา!”

จอมยุทธ์สิบกว่าคนโห่ร้องเสียงดังพร้อมกัน ต่อมาจากการที่ชายชุดขาวนั่นโบกมือทีหนึ่ง แต่ละคนก็ระเบิดพลังออร่าออกมา ก่อนจะไล่ล่าไปยังทิศทางที่จอมยุทธ์คนอื่น ๆ หลบหนีไปอย่างมโหฬารพันลึก 

“หยุด!”

จู่ ๆ ก็มีเสียงตะคอกดังลั่นสะท้อนเข้าไปในหูหลัวซิว ชายวัยกลางคนที่ร่างกายบึกบึนคนหนึ่งหกระเหินเดินฟ้ามา จ้องมองเงาร่างของหลัวซิวด้วยสายตาที่ร้อนผ่าวดั่งคบเพลิง 

“ที่แท้ก็เป็นมกุฎเทพเฟยหงนี่เอง”

หลัวซิวมองไปทางต้นต่อของเสียง เพียงแวบเดียวก็จำตัวตนของผู้มาเยือนได้แล้ว ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา: “ไม่ทราบว่ามกุฎเทพเฟยหงเรียกข้อน้อยไว้เพราะมีเรื่องอันใดหรือ?”

ในบรรดาจอมยุทธ์จำนวนมากที่เดินขึ้นสะพานเซียนแล้วมาถึงแดนเซียนนอกนภาในครั้งนี้ จำนวนผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพนั้นมีไม่น้อยเลย ซึ่งมกุฎเทพเฟยหงนี่ก็คือหนึ่งในมกุฎเทพ แต่ทว่าศักยภาพของมกุฎเทพเฟยหงนี่แตกต่างจากมกุฎเทพหยุนเซวียนรวมไปถึงมกุฎเทพทวนแสงและมกุฎเทพเนตรกาฬทั้งสามคนไม่น้อยเลย 

“เจ้าคิดว่ามกุฎอย่างข้าเรียกเจ้าไว้จักมีเรื่องอันใดได้เล่า? ก็ต้องทำให้ผู้น้อยอย่างเจ้าตกรอบก่อนอยู่แล้วสิ จำนวนคนที่ตกรอบยิ่งมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นสถานการณ์ที่มีประโยชน์ต่อข้ามากเท่านั้น!”

มกุฎเทพเฟยหงหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะย่างเท้าเดินตรงไปทางหลัวซิว แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างเขายังกังวลว่าจะถูกผู้อื่นรุมโจมตีเลย ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามีคนเคลื่อนไหวตัวคนเดียว จึงต้องลงมือกำจัดทิ้งเป็นเวลาแรกอยู่แล้ว

มองดูมกุฎเทพเฟยหงที่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาทีละก้าว หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้: “มกุฎเทพเฟยหง ข้ารู้สึกสงสัยจริง ๆ ว่าคนโง่เง่าอย่างเจ้าฝึกตนขึ้นมาถึงแดนมกุฎเทพได้อย่างไรกันนะ หรือเจ้าไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่แดนของทุกคนล้วนถูกกดอัด ข้านั้นมีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุด?”

“ช่างเป็นผู้น้อยที่โอหังยิ่งนัก!”

มกุฎเทพเฟยหงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ร่างกายเคลื่อนไหวทีหนึ่ง ก็กลายเป็นแสงรุ้งหลายดวง แสงรุ้งทั้งหลายกลายเป็นปราณกระบี่ ฉีกกระชากแผ่นฟ้าและผืนดิน เฉือนสับไปทางหลัวซิวอย่างมโหฬารพันลึก

หลัวซิวยืนนิ่งอยู่กับที่ ใช้จิตนึกคิดทีหนึ่ง รัศมีของยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ที่อยู่รอบกายก็สว่างขึ้น พลังของยันต์ค่ายเหล่านี้ก็ถูกกดอัดอยู่ที่ระดับเทพมารเช่นกัน 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ