มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2832

ขณะที่เสียงของชายร่างยักษ์ที่เฝ้าดูแลด่านแรกยังไม่ทันจบลง กงล้อเทพทั้งหลายก็สั่นเทิ้มแล้วปรากฏหลังศีรษะเขา เห็นเพียงหลังศีรษะเขาถึงขั้นมีกงล้อเทพปรากฏเก้าวง ซึ่งหมายความว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น กงล้อเทพทุกวงของเขาก็ล้วนมีคุณภาพสมบูรณ์แบบด้วย ออร่าที่แพร่กระจายออกมาจากร่างกายเหนือชั้นกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สิงเทียนที่อยู่ในสภาวะเฟื่องฟูที่สุดเสียอีก!

“ผู้ใดจะเริ่มก่อน!”

เสียงของชายร่างยักษ์ค่อย ๆ สะท้อนมา พูดอย่างเย็นชา: “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจักไม่ใช้ผลการฝึกตนมาข่มพวกเจ้า แต่จะระงับผลการฝึกตนอยู่ที่แดนเทพมารด้วย”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น กงล้อเทพทั้งหลายก็ซึมหายเข้าไปในร่างกายเขา พลังออร่าอันมากมายมหาศาลบนตัวชายร่างยักษ์ก็ลดฮวบลงไปทันที ราวกับห้วงเวลาหยุดนิ่ง กระทั่งหลังจากเขาระงับผลการฝึกตนไว้ที่แดนเทพมารโดยสิ้นเชิงแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนห้วงเวลาหยุดนิ่งถึงจะสลายหายไป

“ข้าเอง!”

ศึกการต่อสู้ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนมากต่างตัดสินใจรับคำท้าอย่างเด็ดเดี่ยว

อย่างไรก็ตามกำลังรบของชายร่างยักษ์กลับอึ้งทึ่งจนน่ากลัว ในบรรดายอดฝีมือ 30 กว่าคนที่เข้าไปทดลองหยั่งเชิงก่อน เพียงกระบวนท่าเดียวก็ตกรอบไปแล้ว

แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ได้ดับสลายสูญสิ้นแต่อย่างใด ทว่า ณ เสี้ยววินาทีที่ถูกโค่นล้ม ก็ถูกส่งออกไปทันที

“พวกเจ้าสามารถผ่านการคัดเลือกในรอบคัดออก แสดงว่าล้วนแต่เป็นบุคคลอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะผู้แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้แม้นจะไม่สามารถผ่านด่าน แต่ก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้เช่นกัน”สำหรับเรื่องนี้ชายร่างยักษ์ก็ได้ให้คำอธิบายเช่นกัน

ยอดฝีมือแต่ละคนต่างพากันเข้าไปรับคำท้า เมื่อถึงคราวหลัวซิว ภายในสีมาปริภูมิแห่งหนึ่งที่ตัดขาดกับโลกาภายนอก มีชายร่างยักษ์ที่อยู่ในแดนเทพมารปรากฏตรงหน้าเขา

ชายร่างยักษ์คนดังกล่าวบอกว่าตนเป็นศิษย์ของมกุฎเต๋านอกนภา

แต่กลับไม่เคยพูดถึงชื่อของตัวเองมาก่อนเลย จากผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อของเขา ย่อมไม่มีทางใช่ผู้ที่ชื่อเสียงชุ่มเงียบอยู่แล้ว

เมื่ออยู่ในแดนเทพมารเหมือนกัน หลัวซิวก็จักไม่เกรงกลัวผู้ใด ทั้งสองแทบจะลงมือในเวลาเดียวกัน เพียงพริบตาเดียวการต่อสู้เข่นฆ่าก็ยกระดับถึงระดับที่รุนแรงดุเดือดอย่างยิ่ง

ร่างกายของชายร่างยักษ์บึกบึน บวกกับฝึกธรรมเวชร่างเนื้อร้างโดยเฉพาะ แม้นจะอยู่ในแดนเทพมาร แต่ร่างเนื้อของเขาก็เกะกะระรานจนน่าสยดสยอง ความเร็วในการลงมือโจมตีเร็วปานสายฟ้า

หลัวซิวก็ถือเป็นจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านความเร็วเช่นกัน แต่ความเร็วของชายร่างยักษ์กลับไม่ช้ากว่าเขาเลย ทั้งสองต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าที่เร็วปานลมกรด กำลังพัลวันพัลเก

“ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ……”

รังสีของพลังอมตะต่าง ๆ นานาแย้มบานอยู่กลางฝ่ามือทั้งสอง เพียงพริบตาเดียว ทั้งคู่ก็ปลดปล่อยพลังอมตะออกไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว พลังอมตะนับหมื่นแสนดังสะเทือนเลื่อนลั่น มืดฟ้ามัวดิน อนัตตาสั่นสะเทือน

“ไม่ว่าจะเป็นพลัง ความเร็วหรือเกราะป้องกันล้วนไม่มีที่ติเลย ระดับฝีมือด้านกลั่นร่างดั่งภัณฑ์กลั่นของคนดังกล่าวปราดเปรื่องกว่าข้ามาก”

รูม่านตาหลัวซิวหดลง วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการธรรมเวชหงฮวงหรือธรรมเวชกาลล้นร้างออกมา เห็นเพียงจู่ ๆ ร่างกายเขาก็ดูทรงพลังมาก ฝ่ามือประสานอินเสร็จสิ้น วิชาตราประทับหนึ่งยังไม่ทันได้ปลดปล่อยออกไป อนัตตาที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็เริ่มพังทลาย

พลังของอนัตตาที่พังทลายทำให้ชายร่างยักษ์ที่พุ่งสังหารเข้ามาถูกบีบจนต้องหยุดการเคลื่อนที่ และ ณ เสี้ยววินาทีที่เขาหยุดการเคลื่อนที่ ดวงตาหลัวซิวก็เป็นประกายขึ้นมา ตราหงฮวงพุ่งออกไป

“ไม่นึกเลยว่าจะนำธรรมเวชหงฮวงหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วบุกเบิกพลังอมตะออกมาได้ ความสามารถในการตระหนักรู้ของเจ้าสูงมากเลยนี่!”

ร่างกายของชายร่างยักษ์สั่นเทิ้มทีหนึ่ง ลายเส้นของธรรมเวชกาลร้างปรากฏบนผิวหนังชั้นนอก ทำให้ร่างกายเขาราวกับกลายเป็นหอคอยฮวง ปล่อยให้ตราหงฮวงกระหน่ำลงร่างตนอย่างดุดันอย่างยิ่ง

“โครม!”

เสียงดังลั่นที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังก้องกังวาน ร่างกายที่สูงใหญ่ของชายร่างยักษ์ก้าวเดินออกมาจากฝุ่นที่ตลบฟุ้งไปทั่ว พลางยิ้มอ่อนพลางพูด: “พลังอมตะตราหงฮวงนี้ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่การตระหนักรู้ในธรรมเกณฑ์ทั้งสองประเภทนี้ของเจ้ายังลึกซึ้งไม่มากพอ”

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความสามารถในการอนุมานและความสามารถในการตระหนักรู้ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่หลัวซิวรู้สึกภาคภูมิใจมาโดยตลอด ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาในภพชาตินี้จะเป็นเพียงเทพมารระดับแปด แต่เมื่ออาศัยความสามารถในการอนุมานและวิวัฒนาการอันแข็งแกร่งของวิถีไร้ลักษณ์ การตระหนักรู้และยึดกุมในธรรมเกณฑ์ทั้งปวงในจักรวาลของเขากลับไม่ด้อยกว่าผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้า

อย่างไรก็ตามผลการฝึกตนของเขากลับต่ำเกินไป ท้ายที่สุดแล้วพันธนาการก็ผูกมัดศักยภาพที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมาได้อยู่ดี

“พลังอมตะที่ข้าริเริ่มไม่ได้มีเพียงพลังเดียว”

นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ตราหงฮวงพลาดท่าเสียทีขณะที่ต่อสู้กับผู้อื่น แต่หลัวซิวกลับไม่ได้รู้สึกท้อใจเพราะเหตุนี้ เขาก้าวเดินอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า ยิ้มอย่างทะนงองอาจแล้วพูดว่า: “ข้ายังมีพลังอมตะอีกหลายวิชา ผู้เพื่อนยุทธ์โปรดกรุณาให้คำแนะนำด้วย!”

“ดี! เจ้าลงมือเถิด!”แววตาของชายร่างยักษ์เป็นประกายขึ้นมา อมยิ้มพลางพยักหน้า

แม้นตราหงฮวงในเมื่อครู่นี้จะสร้างความเสียหายให้แก่ตนไม่ได้ก็ตาม ทว่าแม้แต่เขาเองก็ปฏิเสธความงดงามของพลังอมตะอย่างตราหงฮวงไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่เขาเน้นฝึกธรรมเวชกาลร้างโดยเฉพาะ จึงไม่สามารถหลอมรวมธรรมเวชกาลล้นร้างเข้าด้วยกัน และไม่สามารถฝึกพลังอมตะวิชานี้ให้สำเร็จได้ด้วย ในใจจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

หากตระหนักรู้ยกระดับแดนของธรรมเวชกาลล้นร้างขึ้นไปถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า เช่นนั้นเมื่อปลดปล่อยวิชาตราประทับนี้ออกมา เกรงว่าคงสามารถสร้างภัยคุกคามให้แก่ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งได้แล้วกระมัง?

“ตราสรรพสิทธิ์!”

และในเวลานี้เอง หลัวซิวก็ลงมือโจมตีอย่างเหี้ยมโหด ปล่อยวิชาตราประทับออกไปหนึ่งวิชา พลังอมตะนับหมื่นแสนจึงถูกวิวัฒนาการออกมาภายในพริบตา มืดฟ้ามัวดิน ไม่ดับไม่สิ้นดังการเวียนว่ายตายเกิด มโหฬารพันลึก

เมื่อปลดปล่อยพลังอมตะนี้ออกมา สีหน้าของชายร่างยักษ์ก็ตึงเครียดขึ้นมาภายในพริบตาเช่นกัน “ช่างเป็นความสามารถในการตระหนักรู้ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่าจะสามารถตระหนักเกณฑ์ทั้งปวงในฟ้าดินได้แล้วอย่างนั้นหรือ? นี่คือความล้ำลึกของวิถีเบญจธาตุ ยังมีวิถีการเวียนว่ายตายเกิดห้วงเวลา และตรีภพ……”

สามารถพูดได้เลยว่าพลังอมตะอย่างตราสรรพสิทธิ์ของหลัวซิวน่าสยดสยองถึงขีดสุดเลย วิชาตราประทับหนึ่งวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นแสน เมื่อประมือกับผู้ที่อยู่ในแดนเดียวกันด้วยกระบวนท่าเช่นนี้ มันก็แทบจะเป็นกระบวนท่าไร้เทียมทานเลย โดยส่วนใหญ่แล้วศักยภาพของจอมยุทธ์ที่อยู่ในแดนเดียวกันจะแตกต่างกันไม่มากนัก คนอื่นทำได้เพียงปลดปล่อยกระตุ้นพลังอมตะออกมาทีละท่า แต่เจ้าหมอนี่กลับสามารถปลดปล่อยกระบวนท่านับหมื่นออกมาได้ในทีเดียว ช่วงระยะความต่างจึงแตกต่างกันมากถึงมากที่สุด

ธรรมเวชกาลล้น! อัคคีเต๋าอหังการ!

เพียงพริบตาเดียว หลัวซิวก็วินิจฉัยได้แล้วว่าสิ่งที่คนตรงหน้านี้ฝึกคือหนึ่งในธรรมดั้งเดิมอย่างธรรมเวชกาลล้น!

“ข้าเป็นศิษย์เต็มตัวของมกุฎเต๋านอกนภา เซียวเหยาเค่อ บนระฆังทองแดงลูกนี้ของข้ามีวรยุทธ์เซียนแฝงซ่อนอยู่ ให้เวลาพวกเจ้าตระหนักรู้สามปี สุดท้ายข้าจักเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าผู้ใดจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้”

สายตาของเซียวเหยาเค่อกวาดมองทุกคน พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งประโยคหนึ่ง จากนั้นเขาก็หลับตาลง

“วรยุทธ์เซียน!?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แววตาของทุกคนก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ต้องท้าวความก่อนว่าในยุคปัจจุบัน พลังอมตะเคล็ดวิชาระดับประมุขเต๋าก็ถือเป็นวรยุทธ์ขั้นสูงสุดแล้ว พลังอมตะวรยุทธ์เซียนเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันมาโดยตลอด ซึ่งไม่มีอยู่ในโลกนี้เลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามบนระฆังทองแดงผุพังที่ดูไม่โดดเด่นอะไรนี้กลับมีวรยุทธ์เซียนแฝงซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ อีกทั้งยังให้เวลาตระหนักรู้สามปีด้วย นี่เป็นโชคโอกาสที่ดีมากเพียงใดกันนะ?

หากสามารถฝึกวรยุทธ์เซียนของที่นี่สำเร็จ อนาคตแม้นจะไม่สามารถฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียน แต่เมื่ออาศัยวรยุทธ์เซียนหนึ่งวิชา เช่นนั้นก็สามารถเป็นผู้ไร้เทียมทานในยุคปัจจุบันได้อย่างแน่นอน เป็นผู้แข็งแกร่งที่หาคู่ต่อสู้ได้ยาก

ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว สายตาและตัวสำนึกของทุกคนก็ล้วนพากันผนึกรวมไปที่ลายเส้นที่ประทับอยู่บนระฆังทองแดงอันผุพัง

สำหรับผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับขั้นอย่างพวกเขาแล้ว ระยะเวลาสามปีมันเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย ภายในระยะเวลาที่สั้นเช่นนี้ อย่าว่าแต่พลังอมตะระดับวรยุทธ์เซียนเลย ต่อให้เป็นพลังอมตะระดับประมุขเต๋าก็อย่าคิดว่าจะสามารถฝึกสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็ไม่ได้คาดหวังเช่นกันว่าจะสามารถฝึกวรยุทธ์เซียนสำเร็จได้จริง ๆ หวังแค่ว่าจะมีการตระหนักรู้จากภายใน แล้วปรับปรุงริเริ่มพลังอมตะที่ทรงพลังยิ่งกว่าออกมา

กงล้อเทพไร้ลักษณ์ปรากฏหลังศีรษะหลัวซิว ซึ่งกงล้อเทพของเขาแตกต่างจากกงล้อเทพที่เป็นรูปเป็นร่างและมีออร่าน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ กงล้อเทพวงนี้ของเขาเลือนรางไม่ชัดเจน ราวกับขอแค่มีลมพัดมามันก็จะถูกพัดจนสลายหายไปยังไงอย่างนั้น

แต่ทว่าคนอย่างเขาที่ดูไม่โดดเด่นอะไรในหมู่คน วินาทีนี้กลับโคจรวิถีไร้ลักษณ์จนถึงขีดสุด แล้วตระหนักความมหัศจรรย์ของวรยุทธ์เซียนจากร่องรอยตราประทับที่อยู่บนระฆังทองแดง

ทันใดนั้น หลัวซิวก็สังเกตเห็นลายเส้นแถบหนึ่งบนระฆังทองแดง ลายเส้นที่อยู่บริเวณนั้นผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้คนรู้สึกลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้

ด้วยตัวสำนึกที่ได้รับการปลุกเสกจากพลังญาณเทว เขาใช้ตัวสำนึกแนบติดลงลายเส้นเหล่านั้น จู่ ๆ เขาก็เหมือนมองเห็นรัศมีที่ไร้ขอบเขตแย้มบานออกมาจากลายเส้นเหล่านั้น ก่อนจะทำให้ห้วงความคิดของเขาถูกนำพาเข้าไปในโลกพลังจิตแห่งหนึ่ง

ภายในโลกพลังจิตแห่งนี้ มีเมฆหมอกลอยเป็นเกลียวอยู่บนท้องฟ้า แสงเซียนตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ มีเงาร่างของเซียนองค์หนึ่งบินออกมาจากแสงเซียนที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ แล้วพุ่งตรงไปยังเก้าสวรรค์

“ทะยานเซียน!”

ร่างกายของหลัวซิวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สีหน้าอารมณ์แปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เพราะ ณ เสี้ยววินาทีที่เขามองเห็นร่างเซียนบินขึ้นไปยังเก้าสวรรค์ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังเต๋าที่คุ้นเคยประเภทหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือวิชาดาบทะยานเซียนที่จี้หวูชวงริเริ่มในอดีตชาตินั่นเอง!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ