มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2833

หลัวซิวคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะเห็นเงาของวิชาดาบทะยานเซียนที่นี่ หากพูดให้แม่นยำหน่อยก็คือทะยานเซียนที่เขามองเห็นคือนอกนภาทยานเซียนที่แท้จริงต่างหาก วิชาดาบทะยานเซียนของจี้หวูชวงแค่มีความล้ำลึกที่แท้จริงของทะยานเซียนแฝงซ่อนอยู่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาลาง ๆ อดีตจี้หวูชวงก็ต้องเคยศึกษาเรียนรู้เงาร่างของเซียนที่บินเข้าไปในเก้าสวรรค์แน่นอน ดังนั้นนางจึงตระหนักวิชาดาบทะยานเซียนได้จากภายใน และอาศัยพลังอมตะวิชานี้สั่นคลอนไปทั้งยุคสมัย ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงด้านความปราดเปรื่องกับนางได้

แต่สิ่งที่หลัวซิวไม่ค่อยเข้าใจคือ ขณะที่จี้หวูชวงฝึกวิชาดาบทะยานเซียน ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดยังไม่มีการคงอยู่ของพสุดารานอกนภาเลย

ดังนั้นหลัวซิวจึงคาดการณ์ความเป็นไปได้ได้สองประเภท การคาดการณ์ประเภทแรกก็คือจี้หวูชวงได้รับวาสนาเซียนจากสถานที่อื่น แล้วริเริ่มวิชาดาบทะยานเซียนออกมา ส่วนการคาดการณ์อีกประเภทหนึ่งก็คือมกุฎเต๋านอกนภาเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่เก่าแก่มาก ๆ ขณะที่พสุดารานอกนภายังไม่ปรากฏ จี้หวูชวงก็เคยมาที่นี่ อีกทั้งเคยตระหนักลายเส้นวรยุทธ์เซียนที่อยู่บนระฆังทองแดงผุพังลูกนี้แล้ว

ยิ่งตระหนักรู้หลัวซิวก็ยิ่งรู้สึกตะลึง เพราะเขาค้นพบว่าร่องรอยตราประทับของพลังอมตะวรยุทธ์เซียนที่อยู่บนระฆังทองแดงลูกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ติดมากับระฆังทองแดงลูกนี้ตั้งแต่แรก มันเหมือนมีผู้แข็งแกร่งแดนเซียนคนหนึ่งปลดปล่อยพลังอมตะสังหารปราบปราม ถึงทิ้งร่องรอยตราประทับของพลังอมตะวรยุทธ์เซียนไว้บนระฆังทองแดงลูกนี้มากกว่า

เซียนนั้นเป็นการคงอยู่ที่แข็งแกร่งมากเพียงใด? การคงอยู่ประเภทนั้นอยู่เหนือธรรมฟ้าดินแล้ว ในโลกใบนี้จักยังมีสิ่งใดที่สามารถต้านทานพลังโจมตีจากพลังอมตะวรยุทธ์เซียนได้อีก?

แต่ระฆังทองแดงลูกนี้กลับสามารถทำเช่นนั้นได้ ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าระฆังทองแดงลูกนี้มีโอกาสเป็นของขลังภัณฑ์เซียนชิ้นหนึ่งสูงมาก!

มีภาพเหตุการณ์ฉากหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวหลัวซิวอย่างควบคุมไม่ได้ ในยุคสมัยที่ไกลโพ้นอย่างยิ่ง เคยมีเซียนสององค์ต่อสู้กันอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งหนึ่งในเซียนก็คือเงาร่างที่ทะยานเซียนนั่น ส่วนเซียนอีกองค์หนึ่งก็คือเจ้าของระฆังทองแดงที่ผุพังลูกนี้

จู่ ๆ หลัวซิวก็นึกถึงสถานฌาปนของประมุขเต๋าคงกระพันที่อยู่บนชั้น 13 ของหอคอยนภากาศ เขาได้พบกับคนในยุคโบราณผู้มีนามว่าจวินห้าวเซวียนในสถานฌาปนแห่งนั้น เมื่อนั้นคนดังกล่าวก็บอกว่าวิชาทะยานเซียนที่เขาปลดปล่อยนั้น เป็นวรยุทธ์เซียนที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน

ในเมื่อมีวรยุทธ์เซียนคงอยู่ในโลกใบนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าก็มีเซียนคงอยู่อย่างแท้จริง……

พลิกฝ่ามือทีหนึ่ง แล้วมีฝักดาบที่เก่าแก่และเรียบง่ายปรากฏในมือหนึ่งเล่ม หลัวซิวใช้มือลูบไล้ฝักดาบดังกล่าวอย่างอ่อนโยน ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความทอดถอนใจและรำลึกถึงกาลเวลาในอดีต

“เวิ่ง!”

เมื่อเขาหยิบฝักดาบเล่มนั้นออกมา ลายเส้นตราประทับของพลังอมตะวรยุทธ์เซียนที่อยู่บนระฆังทองแดงก็เกิดความรู้สึกร่วมกับฝักดาบเล็กน้อย

และปฏิกิริยานี้ก็ทำให้หลัวซิวเข้าใจขึ้นมาภายในพริบตาเช่นกัน ครั้นอดีตชาติจี้หวูชวงต้องเคยมาที่นี่แน่นอน

จู่ ๆ เขาก็นึกถึงช่วงเวลาช่วงหนึ่งในอดีตชาติ จี้หวูชวงบอกกับเขาว่ามีคนวิเศษซ่อนเร้นคนหนึ่งที่ลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ หากสามารถกราบไหว้คนดังกล่าวเป็นอาจารย์ มันจะส่งผลดีต่อการฝึกตนในอนาคตของเขาอย่างยิ่ง

เมื่อนั้นตนที่เป็นไท่ซ่างฉิงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจแต่อย่างใด เพราะเขามีอาจารย์ของตนเองแล้ว นั่นก็คือผู้แข็งแกร่งโบราณที่ถูกศิลาเทวชิงเทียนกดอัดมายาวนานอย่างไม่รู้จบนั่นเอง

เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนนี้ คนวิเศษซ่อนเร้นที่จี้หวูชวงหมายถึงในตอนนั้นมีโอกาสคือมกุฎเต๋านอกนภาคนนี้สูงมาก

ส่ายหน้าไปมา สลัดความคิดที่ซับซ้อนยุ่งยากในหัวทิ้ง หลัวซิวปรับสภาพจิตใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเพ่งเล็งไปที่การตระหนักรู้พลังอมตะวรยุทธ์เซียนต่อ

ในอดีตชาติ จี้หวูชวงก็เคยนำวิชาดาบทะยานเซียนที่ตนตระหนักรู้ได้ถ่ายทอดให้เขาแล้ว แต่ทว่าเนื่องจากวิถีดาบไม่ค่อยเหมาะสมกับไท่ซ่างฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทุ่มเทกับพลังอมตะดังกล่าวมากเท่าไหร่นัก

กระทั่งกลับชาติมาเกิดในภพชาตินี้ สาเหตุที่เขาตระหนักเรียนรู้พลังอมตะนี้ใหม่อีกครั้งนั้น เป็นเพราะเขาจะริเริ่มวิถีที่ครอบจักรวาล วิถีที่อยู่เหนือวิถีทั้งปวงตั้งแต่โบราณ ริเริ่มวิถีเลิศล้ำที่คนรุ่นก่อนไม่เคยรู้จักมาก่อน!

สำหรับวิชาดาบทะยานเซียนนั้น หลัวซิวก็มีการเข้าใจของตนเองอยู่ ยิ่งกว่านั้นคือหากเขาจะปลดปล่อยพลังอมตะ ก็ไม่จำเป็นว่าต้องปลดปล่อยวิชาดาบออกมาทุกครั้งเสมอไป เขายังสามารถวิวัฒนาการให้มันกลายเป็นพลังอมตะอื่น ๆ พอจะพูดได้เลยว่าเป็นคนรุ่นหลังที่เก่งกว่าคนรุ่นก่อน

และเป็นเพราะมีพื้นฐานนี้นี่เอง ฉะนั้นการตระหนักรู้ในตราประทับพลังอมตะวรยุทธ์เซียนบนระฆังทองแดงของหลัวซิวจึงรวดเร็วอย่างยิ่ง เริ่มมีแสงเซียนที่ขมุกขมัวปรากฏบนตัวเขาแล้ว

กาลเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว แสงเซียนที่ขมุกขมัวในตอนแรกของหลัวซิวก็ยิ่งอยู่ยิ่งแวววาวจับตา ราวกับร่างกายเขาถูกปกคลุมอยู่ในแสงเซียน เหมือนจะทะยานสู่เซียนยังไงอย่างนั้น

“ตัง!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังดังก้องกังวาน ซึ่งเซียวเหยาเค่อที่เฝ้าดูแลในด่านนี้เป็นผู้ตีระฆังเอง ทำให้ทุกคนตื่นตกใจและหลุดออกมาจากสภาวะตระหนักรู้

“ถึงระยะเวลาสามปีที่กำหนดแล้ว!”

ท่ามกลางเสียงของเซียวเหยาเค่อที่สะท้อนมา ทุกคนจึงพากันลืมตาขึ้นมา ในสีหน้าอารมณ์ของคนจำนวนมากล้วนมีรังสีแห่งความเสียดายปนอยู่ ก่อนจะดึงสายตาและตัวสำนึกกลับมาจากระฆังทองแดงอย่างอาลัยอาวรณ์

หลัวซิวก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน หากมอบระยะเวลาที่มากพอให้แก่เขา เขาต้องตระหนักความล้ำลึกของวรยุทธ์เซียนได้มากกว่านี้แน่นอน แล้วใช้สิ่งนี้มาทำให้วิถีไร้ลักษณ์ของตัวเองสมบูรณ์และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

“พอแล้ว พวกเจ้าสามารถเดินขึ้นมาตามลำดับได้เลย ปลดปล่อยพลังอมตะวรยุทธ์เซียนที่พวกเจ้าตระหนักรู้ได้ออกมา แล้วข้าจักตัดสินเองว่าผ่านด่านหรือไม่”

เซียวเหยาเค่อกวาดตามองทุกคน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง

พอสิ้นเสียงเซียวเหยาเค่อ ก็มีเงาดำร่างหนึ่งเดินขึ้นไปข้างหน้าอย่างอดใจรอไม่ไหว แล้วพูดอย่างทะนงองอาจ: “ข้าก่อน!”

คนดังกล่าวมีนัยน์ตาสีดำที่สามารถสะกดจิตผู้คน และเขาก็คือมกุฎเทพเนตรกาฬนั่นเอง ผู้ซึ่งผนึกรวมกงล้อเทพสมบูรณ์แบบออกมาได้หกวง เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีศักยภาพสูงมาก

เห็นเพียงราวกับภายในแววตาทั้งสองข้างของมกุฎเทพเนตรกาฬมีแสงเซียนบังเกิด ทันใดนั้นเองแสงเซียนสองดวงก็พุ่งยิงออกมาจากดวงตาของเขา กลายเป็นกระบี่เทพสองเล่ม ฉีกกระชากฟ้าดิน

“มีดีเพียงรูปร่างภายนอก เจ้าไม่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้”

เซียวเหยาเค่อขมวดคิ้ว ยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วจิ้มทีหนึ่ง กระบี่เทพแสงเซียนสองเล่มจึงแตกสลาย ถัดจากนั้นก็มีพลังปริภูมิจุติลงมา ม้วนพัดมกุฎเทพเนตรกาฬขึ้นมาแล้วหายไปภายในพริบตา

“การที่ตระหนักได้เพียงเปลือกนอกของวรยุทธ์เซียนนั้น ยังไม่มีคุณสมบัติผ่านด่าน ผู้ใดจะเป็นคนต่อไป?”หลังจากส่งมกุฎเทพเนตรกาฬออกไปแล้ว สายตาของเซียวเหยาเค่อก็มองไปทางคนอื่นที่เหลือ

เมื่อเห็นว่ามกุฎเทพเนตรกาฬตกรอบง่ายดายเช่นนี้ จึงทำให้จิตใจของผู้คนที่เหลือต่างเข้มงวดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรมกุฎเทพเนตรกาฬก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ผนึกรวมกงล้อเทพสมบูรณ์แบบออกมาได้หกวง ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้มีศักยภาพที่สูงส่งมาก ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการตระหนักรู้หรือปัญญาพรสวรรค์ ก็ล้วนน่าทึ่งอย่างยิ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ