มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2844

ผลักเปิดประตูหอคอยหลังนี้ หลัวซิวก็เคยจินตนาการภาพฉากภายในหอคอยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองเห็นภายในหอคอย สีหน้ากลับผงะเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่เขามองเห็นแตกต่างจากสิ่งที่เขาจินตนาการในก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงเลย

ภายในหอคอยที่โบราณและเรียบง่าย มีแสงเทียนสลัว ๆ มีเพียงชายผมหงอกคนหนึ่งนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่งทรงกลมหนึ่งใบ

“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”

ชายผมหงอกที่อยู่ภายในหอคอยลืมตาขึ้นมาช้า ๆ กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย สายตาจ้องมองไปทางหลัวซิวที่กำลังยืนอยู่หน้าหอคอย

เมื่อเพ่งมองฝ่ายตรงข้าม รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลง ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้ปลดปล่อยคลื่นออร่าผลการฝึกตนออกมาจากร่างกายเลยแม้แต่น้อย แต่สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้แข็งแกร่งที่เขา ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถต่อกรได้ด้วยอย่างแน่นอน

“ในเมื่อผู้เพื่อนยุทธ์มาแล้ว ไยจึงยังยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ไม่เข้ามานั่งก่อนหรือ?”ชายผมหงอกยิ้มพลางเอ่ยปากพูด

“การเคารพเทียบไม่ได้กับทำตามคำสั่ง”

หลัวซิวก้าวเท้าเดินเข้าไป จากนั้นเขาก็พบว่าฝั่งตรงข้ามของชายผมหงอกมีเบาะนั่งทรงกลมปรากฏอีกหนึ่งใบ เขาจึงเดินลงไปนั่งลงในท่าขัดสมาธิ

“ผู้อาวุโสใช่เจ้าแห่งอาณากระบี่หวูจี๋หรือไม่ขอรับ? ไยจึงต้องให้ข้าเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่ด้วยเล่า?”หลังจากที่หลัวซิวนั่งลงแล้ว เขาก็ถามคำถามในใจออกมา

“เหอะ ๆ ผู้เพื่อนยุทธ์เฉลียวฉลาดมาก ข้าเป็นเจ้าแดนแห่งอาณากระบี่หวูจี๋จริง ๆ แต่ทว่ากลับไม่ใช่เจ้านายอาณากระบี่หวูจี๋ที่แท้จริงแต่อย่างใด”ชายผมหงอกยิ้มพลางตอบกลับ

เจ้าแดนและเจ้านาย ฟังดูตะหงิดมาก แต่กลับมีความหมายลึกซึ้งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแฝงซ่อนอยู่ภายใน

จิตใจหลัวซิวเข้มงวดขึ้นมาเล็กน้อย เท่าที่เขาทราบมา เจ้าแดนในปัจจุบันของอาณากระบี่หวูจี๋เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าแล้ว และดูเหมือนเบื้องหลังอาณากระบี่หวูจี๋ยังมีเจ้านายที่แท้จริงอีกคนหนึ่ง และนี่ก็คือข่าวคราวที่เขาได้รับจากคำพูดของชายผมหงอก

“ผู้น้อยไม่ค่อยเข้าใจความหมายของผู้อาวุโสขอรับ”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้ เขาหวังว่าจะสามารถได้รับข่าวกรองที่มีมูลค่ามากกว่าจากปากฝ่ายตรงข้าม

“ผู้อาวุโส? เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่าตั้งแต่ที่เจ้ามาถึงที่นี่เป็นต้นมา ข้าก็เรียกแทนเจ้าว่าผู้เพื่อนยุทธ์มาโดยตลอด ไยเจ้าจึงต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสด้วยเล่า?”

ชายผมหงอกส่ายหน้า “บางทีผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของข้าอาจสูงกว่าเจ้า แต่ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในอดีตชาติหรือปัจจุบัน ล้วนถูกลิขิตไว้แล้วว่าอนาคตเจ้าต้องอยู่เหนือข้าแน่นอน”

“ขอแนะนำตัวก่อน ข้ามีนามว่าตู๋กู และเป็นผู้บุกเบิกอาณากระบี่หวูจี๋ หากเจ้าไม่รังเกียจละก็ สามารถเรียกข้าว่าผู้เพื่อนยุทธ์ตู๋กู”

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็รู้สึกสงสัยมาก ในเมื่อตัวเองเป็นเจ้าสำนักน้อยของอาณากระบี่หวูจี๋ เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าแดน ไม่นึกเลยว่าจะได้เรียกแทนฝั่งตรงข้ามดั่งคนรุ่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ?

“เจ้าไม่ต้องสงสัยหรอก สำนักน้อยอาณากระบี่ก็เป็นเพียงชื่อเท่านั้นแหละ ข้าก็ปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์ ให้พาเจ้ามาอาณากระบี่หวูจี๋เช่นกัน”ชายผมหงอกตอบกลับ

“แล้วไม่ทราบว่าอาจารย์ของผู้เพื่อนยุทธ์คือผู้ใดรึ?”หลัวซิวเพ่งมองฝ่ายตรงข้ามพลางถาม

“ฉายาบนวิถียุทธ์ของอาจารย์ท่านคือหวูจี๋ คงอยู่ในยุคสมัยที่เก่าแก่อย่างยิ่ง และเป็นผู้แข็งแกร่งที่เกือบจะบรรลุเป็นเซียนแล้ว……”

ชายผมหงอกอมยิ้มพลางตอบกลับ สายตาร่วงลงบนตัวหลัวซิว “เจ้าก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน แม้นจักกราบไหว้อาจารย์ช้ากว่าข้าเล็กน้อย แต่ผลสำเร็จในอนาคตกลับถูกลิขิตไว้แล้วว่าจักสูงกว่าข้า”

เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา หลัวซิวก็งงงันไปภายในพริบตา แล้วนึกโยงถึงเรื่องราวต่าง ๆ ภายในเสี้ยววินาที

ตู๋กูที่บุกเบิกอาณากระบี่หวูจี๋ด้วยตนเอง? นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งที่คงอยู่ในยุควัฏสงสารมิใช่หรือ? เมื่อครู่ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามแนะนำตัวเขาก็ไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่นัก บัดนี้เมื่อลองมานึกดูดี ๆ เขาถึงจะเข้าใจได้อย่างฉับพลัน

หากเป็นเพียงผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าคนหนึ่งจริง ๆ แล้วจะมีทางมีชีวิตคงอยู่มาตั้งแต่ยุควัฏสงสารจวบจนปัจจุบันได้อย่างไร?

ส่วนตู๋กูกลับบอกว่าตัวเองก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน ในภพชาตินี้ของตัวเอง หลังจากมาถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว ยังไม่เคยกราบไหว้ผู้ใดเป็นอาจารย์มาก่อนเลย สำหรับผู้แข็งแกร่งที่สามารถอยู่เบื้องหลังเจ้าแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ได้นั้น ผู้ที่หลัวซิวนึกถึงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ซึ่งคนดังกล่าวก็คืออาจารย์ในอดีตชาติของเขา!

อย่างไรก็ตามในอดีตชาติเขาเคยเข้าไปบำเพ็ญตนในหุบเขาผนึกปีศาจพร้อมกับอาจารย์ ทว่ากลับไม่เคยทราบชื่อของอาจารย์เลย

“เจ้าเองก็น่าจะนึกได้แล้วสินะ ในภพชาติของไท่ซ่างฉิง เจ้าก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว เนื่องจากอาจารย์เมื่อครั้นนั้นอยู่ในสภาวะถูกกดอัดผนึก ทั้งคาดการณ์ได้ล่วงหน้าด้วยว่าเจ้าในภพชาตินั้นต้องดับสลายสูญสิ้นแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เจ้าทราบเยอะมากนัก คอยเจ้ากลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสารแล้วกำเนิดในภพชาตินี้ ท่านถึงได้ให้เจ้ากลับสำนักอีกครั้ง”

ตู๋กูพูดอย่างเชื่องช้า “ความเป็นมาของอาจารย์เราเก่าแก่อย่างยิ่ง ครั้นโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดยังไม่มีวิวัฒนาการออกมา อาจารย์ท่านก็คงอยู่มาตั้งแต่บัดนั้นแล้ว ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าที่ใกล้จะบรรลุเป็นเซียน”

“อาจารย์ท่านสัมผัสได้ว่ามีมหันตภัยจะมาเยือน ซึ่งมหันตภัยในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับการบรรลุเป็นเซียน แต่กลับเกี่ยวโยงกับสรรพสิ่ง เมื่อเจ้ามีตัวตนเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว หากเคลื่อนไหวในโลกต่าง ๆ ก็จะสะดวกสบายหน่อย”

“ในส่วนของการประเมินของเจ้าสำนักน้อยนั้น น่าจะไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงสำหรับเจ้าในตอนนี้เลย ในบรรดาวัยรุ่นยุคใหม่ของอาณากระบี่ ไม่มีคนใดที่สามารถเทียบเคียงกับเจ้าได้เลย”

เมื่อได้ยินคำพูดของตู๋กู หลัวซิวก็ยากที่จะระงับความตื่นเต้นในใจ “อาจารย์ยังสบายดีหรือไม่?”

เขานึกถึงอดีตชาติของตัวเอง ในภพชาตินั้นตัวเองมีนามว่าไท่ซ่างฉิง ฝึกตนอย่างสุดกำลังสามารถก็เพื่อสามารถช่วยให้อาจารย์หลุดพ้นออกมาจากหุบเขาผนึกปีศาจ

“อาจารย์สบายดีมาก ท่านเคยบอกว่าเจ้ามีจิตใจที่บริสุทธิ์ดีงาม น่าเสียดายที่ชีวิตเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปสรรค”

ตู๋กูพูดอย่างทอดถอนใจหนึ่งประโยค “เจ้าตามข้ามา ข้าจักพาเจ้าไปพบอาจารย์”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เห็นเพียงตู๋กูหยิบฮู๋ออกมาหนึ่งชิ้น หลังจากเขากระตุ้นฮู๋เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีแสงเซียนดวงหนึ่งบินออกมาจากฮู๋ ร่วงลงบนพื้น แล้วกลายเป็นลักษณะของค่ายกลหนึ่งค่าย มีคลื่นปริภูมิที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ตลบฟุ้งไปทั่ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ