มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2845

เมื่อดูจากด้านนอก ตำหนักหวูจี๋เป็นเพียงพระราชวังหลังหนึ่งที่ดูธรรมดาและเรียบง่ายมาก ทว่าหลังจากที่เข้าไปแล้วถึงจะพบว่าภายในเป็นอีกโลกหนึ่งที่สุดยอดมาก

ภายในตำหนักหวูจี๋ได้ประกอบเป็นฟ้าดินผืนหนึ่ง มีพลังออร่าอันแข็งแกร่งของอสูรยักษ์กลายพันธุ์เก่าแก่ที่มีสายเลือดแข็งแกร่งหลากหลายประเภท ซึ่งในจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้ ไม่ขาดแคลนจักรพรรดิเทพระดับเก้า ตลอดจนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า

อย่างไรก็ตามอสูรยักษ์สุดน่าสยดสยองเหล่านั้นที่อยู่ในนี้กลับเชื่องมาก ๆ พลังออร่าที่แผ่กระจายออกมาจากตัวก็ไม่มีความดุร้ายเหี้ยมโหดเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับสงบสุขและเป็นมงคลอย่างยิ่ง มาตรแม้นว่าเดินผ่านอสูรเสือตัวหนึ่งที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า อสูรเสือตัวนั้นก็แค่ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย มองแวบเดียวก่อนจะหลับตาแล้วนอนหลับต่อ

“ไม่ว่าจะอยู่ในตำหนักหวูจี๋หรือเขาเซียนหวูจี๋นี่ ล้วนห้ามไม่ให้เข่นฆ่าและต่อสู้กัน ซึ่งนี่เป็นกฎเกณฑ์ที่อาจารย์ท่านกำหนดไว้ หากผู้ใดกล้าขัดขืน ผลที่ตามมาก็มีเพียงวิญญาณดับสลายสูญสิ้น ร่างตายธรรมสูญ ไม่อาจมีความปราณีแม้แต่น้อย”

จากการที่เดินไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดก็มาถึงทางเข้าของหุบเขาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในฟ้าดินแห่งตำหนักหวูจี๋

“ศิษย์ตู๋กูน้อมรับคำสั่งนำพาศิษย์น้องกลับมาแล้ว ขอเข้าพบอาจารย์ด้วยขอรับ”ตู๋กูยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้าของหุบเขา ก้มคำนับแล้วพูดอย่างเคารพนอบน้อม

วินาทีนี้ สภาพจิตใจของหลัวซิวตื่นเต้นไม่แน่วแน่มาก ในที่สุดเขาก็สามารถพบใบหน้าที่แท้จริงของอาจารย์ในอดีตชาติของตนสักที

“เวิ่ง!”

มีแสงเซียนดวงหนึ่งบินออกมาจากหุบเขา ร่วงลงบนพื้นแล้วกลายเป็นสะพานพระแสงหนึ่งสะพาน ตู๋กูรีบย่างเท้าเดินขึ้นไปบนสะพาน ในขณะเดียวกันเขาก็ส่งซิกทางสายตาให้หลัวซิว เพื่อบอกให้เขาเดินตามมาเช่นกัน

หลัวซิวก็เดินขึ้นบนสะพานพระแสงด้วย จากนั้นภายใต้การนำพาของสะพานแสงเซียนดังกล่าว พวกเขาก็มาถึงภายในหุบเขา

ภายในหุบเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพืชไม้ใบหญ้า มีทะเลสาบแห่งหนึ่งที่คลื่นแสงบนผิวน้ำใสแจ๋ว มีปลากระโดดโลดเต้นอยู่เป็นระยะ ๆ แล้วร่วงตกลงไปในน้ำจนเกิดเป็นละอองน้ำ

บนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบแห่งนี้ มีเงาร่างชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดสีเขียวกำลังนั่งท่าขัดสมาธิ ใบหน้าดูอ่อนโยนและสงบสุข

“กราบคารวะอาจารย์ขอรับ”ตู๋กูเดินขึ้นไป แล้วก้มคำนับทำความเคารพ

ชายวัยกลางคนชุดเขียวพยักหน้า “เจ้าลงไปก่อนเถิด ให้หลัวซิวอยู่ต่อก็พอ”

“ขอรับ”เมื่อเผชิญหน้ากับมกุฎเต๋า ตู๋กูเคารพและรอบคอบอย่างยิ่ง ก่อนจะก้มคำนับแล้วถอยออกไป

ข้างทะเลสาบที่เงียบสงบจึงเหลือแค่เพียงมกุฎเต๋าหวูจี๋และหลัวซิว

เห็นเพียงมกุฎเต๋าหวูจี๋ขบขำเบา ๆ “อดีตชาติของเจ้าเคยมีบุพเพสันนิวาสเป็นศิษย์อาจารย์กับข้า ทว่าจากการดับสลายสูญสิ้นในอดีตชาติของเจ้า ทำให้บุพเพสันนิวาสศิษย์อาจารย์นี้ก็สิ้นสุดลงเช่นกัน”

“ดังนั้นเมื่อข้าพบเจ้าจึงไม่ได้เรียกเจ้าว่าไท่ซ่างฉิง แต่เป็นหลัวซิว ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาในอดีตได้ผ่านพ้นไปแล้ว บุพเพสันนิวาสศิษย์อาจารย์ของเจ้าและข้าจักเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่วินาทีนี้”

เมื่อได้พบมกุฎเต๋าที่แท้จริงท่านนี้ สภาพจิตใจของหลัวซิวกลับสงบนิ่งลง และคำพูดที่มกุฎเต๋าหวูจี๋กล่าวมาในเมื่อครู่นี้ แท้จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่เขากำลังคิดในใจเช่นกัน ดังนั้นสีหน้าอารมณ์ของเขาจึงเรียบนิ่งปกติ แล้วรับฟังด้วยจิตใจที่สงบ

มกุฎเต๋าหวูจี๋สังเกตเห็นปฏิกิริยาของหลัวซิว เมื่อเห็นว่าลักษณะท่าทางของเขาดูเรียบนิ่งปกติ จึงแอบพยักหน้าเบา ๆ ผู้แข็งแกร่งส่วนมากหลังจากกลับชาติมาเกิดแล้ว ล้วนแต่จะปล่อยวางเรื่องราวในอดีตชาติไม่ได้ และเมื่อยิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ตัวเองยากที่จะอยู่เหนืออดีต เช่นนั้นการกลับชาติมาเกิดแล้วแสวงหาธรรมใหม่อีกครั้งจึงไม่มีความหมายใด ๆ อีก

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามมากมาย บัดนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้ามีคำถามอะไรก็สามารถถามข้าได้เลย”มกุฎเต๋าหวูจี๋อมยิ้มแล้วพูด

“ขออนุญาตถามมกุฎเต๋าอย่างบุ่มบ่ามหน่อยนะขอรับ ด้วยแดนมกุฎเต๋า ท่านถูกชิงเทียนผนึกได้อย่างไรขอรับ?”ทันทีที่ถาม หลัวซิวก็ยิงคำถามเช่นนี้เลย

เขาในตอนนี้รู้แล้วว่ามกุฎเต๋าคือขั้นสูงสุดของแดนประมุขเต๋า คือแดงกึ่งเซียน ซึ่งเป็นการคงอยู่ที่เป็นรองเพียงเซียนที่แท้จริง

ส่วนชิงเทียนกลับเป็นเพียงประมุขเต๋าคนหนึ่งในยุคไท่ชู แม้นต่างจะอยู่ในแดนมกุฎเต๋าเหมือนกัน แล้วมกุฎเต๋าหวูจี๋จะมีทางถูกผนึกง่าย ๆ ได้อย่างไร?

สำหรับคำถามนี้ของหลัวซิวนั้น มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่นัก ก่อนจะอมยิ้มแล้วตอบกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน: “แม้นชิงเทียนในยุคไท่ชูก็ถือเป็นอัจฉริยะที่ล้ำเลิศเช่นกัน แต่ถ้าเกิดพูดถึงเรื่องผนึกข้า ก็ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้เสมอไป เมื่อปีนั้นผู้ที่ถูกผนึกสยบอยู่ในหุบเขาผนึกปีศาจ เป็นเพียงร่างแยกหนึ่งของข้าเท่านั้นแหละ”

มกุฎเต๋าหวูจี๋พูดถึงความลับช่วงหนึ่งในอดีต ซึ่งเอ่ยถึงแค่เรื่องราวที่ว่าเหตุใดร่างแยกของตนจึงถูกสยบ และไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้เลย

“ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง ในเมื่อบุพเพสันนิวาสศิษย์อาจารย์ของมกุฎเต๋าและข้าได้สิ้นสุดลงตั้งแต่อดีตชาติแล้ว เช่นนั้นไม่ทราบว่าหากข้าในภพชาตินี้กราบไหว้ท่านเป็นอาจารย์ ท่านจะสามารถพร่ำสอนอะไรข้าได้บ้างขอรับ?”สายตาของหลัวซิวเพ่งมองมกุฎเต๋าหวูจี๋พลางถาม

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว มาตรแม้นว่าเป็นมกุฎเต๋าหวูจี๋ สีหน้าเขาก็ดูตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าหลัวซิวจะถามคำถามเช่นนี้

เขาคือมกุฎเต๋า แดนมกุฎเต๋านั้นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับใด? หรือเจ้าหมอนี่คิดว่าตนที่เป็นมกุฎเต๋าผู้สง่าผ่าเผยจะสั่งสอนชี้แนะเจ้าไม่ได้อย่างนั้นรึ?

อย่างไรก็ตามเมื่อมกุฎเต๋าหวูจี๋ได้สบตากับหลัวซิว เขาก็สัมผัสความมั่นใจศรัทธาอันแข็งแกร่งที่ไม่อาจเทียบเคียงได้จากส่วนลึกในสายตาหลัวซิวทันที

ชั่วชีวิตของมกุฎเต๋าหวูจี๋ยาวนานมาก ๆ เขาก็ถือว่าได้พบเห็นรู้จักกับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์มามากจนนับไม่ถ้วนแล้ว ทว่ากลับเป็นครั้งแรกที่สัมผัสความเชื่อมั่นศรัทธาที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้จากตัวจอมยุทธ์คนหนึ่ง

“เจ้าเคยไปแดนเซียนนอกนภามาแล้วหรือ?”จู่ ๆ มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็เอ่ยปากสอบถาม

หลัวซิวพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธ “ข้าฝ่าฟันทั้งเก้าด่านในแดนเซียนนอกนภามาแล้ว มกุฎเต๋านอกนภามีเจตนาที่จะรับข้าเป็นศิษย์ ทว่าข้าปฏิเสธไปแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ