มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2847

มีเงาดำร่างหนึ่งบินออกมาจากสังเวียนประจัญกระบี่ เงาร่างของตู๋กูเทียนหยาร่วงลงพื้น สีหน้าอารมณ์ซับซ้อน

หลัวซิวไม่ได้ใช้กระบี่ทะยานเซียนทำร้ายเขาแต่อย่างใด ส่วนตู๋กูเทียนหยารู้ตัวเองดีอยู่ว่าตัวเองต้านทานกระบวนท่านี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงถอยลงมาจากสังเวียนประจัญกระบี่โดยอัตโนมัติ

เวลาล่วงเลยไปหลายปี เป็นวิชากระบี่ที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่ทว่าวิชากระบี่ที่ปลดปล่อยออกมาจากมือหลัวซิวในปัจจุบันกลับประณีตสวยวิจิตรกว่าอดีตหลายเท่าตัวมาก

นี่เป็นเพราะเขามีการตระหนักรู้ต่อพลังอมตะทะยานเซียนในแดนเซียนนอกนภา ซึ่งแตกต่างจากครั้นเมื่อเรียนรู้จากจี้หวูชวงโดยสิ้นเชิง

“ยอดเยี่ยมมาก เมื่อครู่นั่นคือแสงเซียนหรือ? ไม่นึกเลยว่าจะฝึกพลังอมตะวรยุทธ์เซียนสำเร็จแล้ว!”

กลางอนัตตา มีห้วงจิตดวงหนึ่งมองเห็นภาพฉากที่เกิดขึ้นบนสังเวียนประจัญกระบี่ ตู๋กูเจ้าแดนอาณากระบี่ที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขากระบี่ก็อดอุทานอย่างตะลึงไม่ได้

พลังอมตะวรยุทธ์เซียนไม่ได้ฝึกสำเร็จง่ายขนาดนั้น ความเป็นมาของมกุฎเต๋าหวูจี๋ลึกลับและโบราณอย่างยิ่ง ซึ่งเขาก็ยึดกุมพลังอมตะวรยุทธ์เซียนอยู่บ้างเช่นกัน

แต่ทว่าในบรรดาศิษย์เต็มตัวทั้งหมดของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ผู้ที่สามารถฝึกพลังอมตะวรยุทธ์เซียนสำเร็จได้นั้นกลับมีไม่มาก

โดยส่วนใหญ่แล้ว หากต้องการตระหนักรู้พลังอมตะวรยุทธ์เซียน อย่างน้อยก็ต้องบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าก่อน ทั้งยังต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการตระหนักรู้น่าทึ่งด้วย หากความสามารถในการตระหนักรู้แย่หน่อย ก็ต้องรอให้บรรลุถึงแดนผู้สูงส่งก่อนถึงจะสามารถตระหนักความล้ำลึกของวรยุทธ์เซียน หรืออาจต้องบรรลุถึงแดนประมุขเต๋าก่อนถึงจะสามารถทำได้

อัจฉริยะไร้เทียมทานที่สามารถตระหนักความล้ำลึกของวรยุทธ์เซียนขณะที่ยังอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้าอย่างหลัวซิวได้นั้น ตั้งแต่โบราณกาลมาก็มีน้อยมากถึงมากที่สุดเลย

ด้านล่างสังเวียนประจัญกระบี่ ตู๋กูเทียนหยาไม่ได้รู้สึกโกรธเกรี้ยวหรือเคียดแค้นใด ๆ เพราะพ่ายแพ้เป็นครั้งที่สอง เห็นเพียงเขาประสานมือทำท่าคารวะแล้วก้มคำนับไปทางหลัวซิวที่ยืนอยู่บนสังเวียนประจัญกระบี่ การกระทำนี้ถือเป็นการยอมรับในตำแหน่งเจ้าสำนักน้อยของหลัวซิวแล้ว

“ข้าเทียบเคียงกับเจ้าไม่ได้!”พูดด้วยคำพูดธรรมดาเรียบง่าย สั้น ๆ ได้ใจความ ก่อนตู๋กูเทียนหยาจะหันหลังแล้วเดินจากไป

หลัวซิวยิ้มอ่อนพลางกวาดตามองดูรอบ ๆ“ในบรรดาศิษย์น้องทั้งหลาย หากผู้ใดไม่พอใจ ก็สามารถขึ้นมาได้เลย”

หากเป็นเจ้าสำนักน้อย ก็จะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าผลการฝึกตนจะสูงหรือต่ำ หลัวซิวก็ล้วนแต่สามารถแสดงตัวเป็นศิษย์พี่ใหญ่ได้

“ข้าไม่พอใจ!”

มีเสียงตวาดที่อ่อนช้อยสะท้อนมา ถัดจากนั้นก็มีเงาร่างที่งดงามลอยมาร่วงลงบนสังเวียนประจัญกระบี่

คนดังกล่าวคือสตรีที่รูปโฉมไม่ธรรมดาคนหนึ่ง มีความหยิ่งผยองปนอยู่บนสีหน้าความรู้สึก ผลการฝึกตนยังเทียบเคียงกับตู๋กูเทียนหยาไม่ได้ เป็นเพียงเทพมารระดับเก้าขั้นสูง

“ข้าชื่อตู๋กูยู่หยวน ข้ารู้ว่าร่างยุทธ์ของเจ้าแข็งแกร่งมาก ดังนั้นข้าจึงอยากประลองวิถีกระบี่กับเจ้า!”

ดวงตาที่งดงามของตู๋กูยู่หยวนเป็นประกายระยิบระยับ มีความปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัดทะลุออกมาเล็กน้อย “หากเจ้าอยากเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ แค่อาศัยความแข็งแกร่งของร่างเนื้อนั้นยังไม่สามารถทำให้ผู้คนพึงพอใจได้ ต้องแสดงด้านที่แข็งแกร่งของแดนวิถีกระบี่ออกมาด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็รู้แล้วว่าสตรีนางนี้มุ่งหวังอะไร สำหรับความเฉลียวฉลาดในเรื่องหยุมหยิมประเภทนี้นั้น หลัวซิวก็ทำได้เพียงหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าอยากประลองอย่างไร?”

“เจ้าและข้าต่างปลดปล่อยพลังอมตะหนึ่งวิชา ดูว่าภายในพลังอมตะของผู้ใดมีห้วงแท้วิถีเซียนแฝงซ่อนอยู่มากกว่า แต่ปลดปล่อยพลังอมตะที่เจ้าโค่นล้มศิษย์พี่เทียนหยาในเมื่อครู่นี้ไม่ได้แล้วนะ”ตู๋กูยู่หยวนพูดด้วยความไร้เหตุผลเล็กน้อย

หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเช่นกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะทำให้เจ้าพ่ายแพ้อย่างเลื่อมใสหมดใจเอง!”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็จิ้มนิ้วออกไปอีกหนึ่งนิ้ว เขาไม่ได้ปลดปล่อยวิชาทะยานเซียนจริง ๆ แต่เป็นการอาศัยวิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการ เพียงพริบตาเดียวก็มีแสงกระบี่ที่นับไม่ถ้วนตัดสลับไปมา แสงกระบี่เหล่านี้ไม่เพียงมีห้วงแท้ของวิถีกระบี่แฝงซ่อนอยู่ ยังมีธาตุเกณฑ์ต่าง ๆ นานาหลอมรวมอยู่ด้วย

เห็นเพียงแสงกระบี่ที่ล้นฟ้าทำให้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดต่าง ๆ รัศมีเทวส่องสว่างแพรวพราย แสงที่งดงามลอยขึ้น ตระการตาถึงขีดสุด

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก็มีเสียงอุทานสะท้อนลงมาจากสังเวียนประจัญกระบี่ ร่างกายที่อ่อนช้อยของตู๋กูยู่หยวนกระเด็นลงสังเวียนประจัญกระบี่ นางไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด และนี่ก็เป็นเพราะหลัวซิวออมมือให้อยู่แล้ว

ถัดจากนั้น ในบรรดาสิบสองนักกระบี่หวูจี๋ ก็มีอีกสองสามคนที่รู้สึกมั่นใจในศักยภาพของตัวเองขึ้นไปท้าประลองหลัวซิว แต่ทว่าคนเหล่านี้ล้วนสิ้นสุดการประลองด้วยความพ่ายแพ้ทุกคนเลย ยิ่งกว่านั้นคือไม่ว่าผู้ใดจะปะทะกับหลัวซิว หลัวซิวล้วนยืนนิ่งอยู่กับที่มาโดยตลอด ใช้นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวต่อสู้กับศัตรู

“กราบคารวะเจ้าสำนักน้อย”

เหล่าวัยรุ่นอัจฉริยะล้วนแพ้อย่างเลื่อมใสหมดใจ ไม่ว่าผลการฝึกตนจะเป็นอย่างไร แต่ศักยภาพของหลัวซิวกลับอยู่สูงกว่าพวกเขามาก ๆ ซึ่งบรรลุถึงระดับมกุฎเทพระดับเก้าแล้ว

เมื่อกลายเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ หลัวซิวย่อมต้องมีสถานที่พักของตัวเองในแดนศักดิ์สิทธิ์อาณากระบี่อยู่แล้ว

เขาเคยเข้าพบมกุฎเต๋าหวูจี๋ จึงย่อมต้องทราบเจตนาของอาจารย์ท่านอยู่แล้ว เนื่องจากมีสัญญาณบ่งบอกแล้วว่ามหันตภัยใกล้จะปะทุ ส่วนศักยภาพของเขาต่ำเกินไป ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลามาบำเพ็ญตน เพื่อพยายามช่วงชิงความสามารถในการรักษาชีวิตตนเองเมื่อมหันตภัยมาเยือน

เมื่อมีตัวตนอย่างเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่ จึงสามารถทำให้เขาลดปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ ได้เยอะมาก หากเขาบำเพ็ญตนอยู่ในอาณากระบี่หวูจี๋ คาดว่าทางอาณากระบี่ก็น่าจะจัดเสนอทรัพยากรการฝึกตนจำนวนมากให้แก่เขาเช่นกัน

เมื่อกลายเป็นเจ้าสำนักน้อย ก็ต้องมีสิทธิพิเศษจำนวนมากในอาณากระบี่หวูจี๋อยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมากลูกหนึ่งที่มกุฎเต๋าหวูจี๋สอดแทรกเข้ามาในโลกร้างด้วย ความสามารถด้านหน่วยข่าวกรองจึงไร้ที่ติ

อ้างอิงจากข้อมูลข่าวที่อาณากระบี่หวูจี๋ยึดกุม หลัวซิวก็ทราบเช่นกันว่าหุบเขาสยบปีศาจยังสงบสุขอยู่ ตลอดช่วงหลายปีที่เขาจากมา ไม่มีกองกำลังใด ๆ กีดกันหุบเขาสยบปีศาจเช่นกัน

อย่างไรเสียภายในหุบเขาสยบปีศาจก็มีทรัพยากรที่กำเนิดขึ้นมาเอง ซึ่งจะมีศิษย์ออกไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็เกิดความขัดแย้งกับกองกำลังอื่น ๆ น้อยมาก

“ในเมื่อบัดนี้หุบเขาสยบปีศาจยังไม่มีเรื่องอะไรที่น่ากังวล ข้าก็จักเพ็ญตนอยู่ในอาณากระบี่หวูจี๋นี้ระยะหนึ่ง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ