มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2853

จ้าวปีศาจเสวียนหยินดึงจิตสังหารกลับไป ยกแก้วชาที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาจิบหนึ่งอึก แล้วพูดอย่างเย็นชา: “ในเมื่อเจ้ามาพร้อมกับของยืนยัน ข้าก็จักตอบรับภารกิจนี้เอง แต่ทว่ามูลค่าของเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ไม่ต่ำเลย เจ้าจ่ายของแลกเปลี่ยนไหวหรือ?”

“หลัวซิวนั่นเป็นหนี้เลือดผู้น้อย จ้าวปีศาจสามารถเสนอราคาได้เลย ขอแค่ผู้น้อยมีปัญญาจ่าย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตนี้ข้าน้อยก็ทำได้อย่างแน่นอน!”สิงจีแสร้งทำเป็นพูดเหมือนไม่ย่อท้อที่จะยืนหยัดต่อความถูกต้อง

แม้นจ้าวปีศาจเสวียนหยินจะแข็งแกร่ง ทว่ายังไม่ถึงขั้นที่สามารถมองทะลุจิตใจมนุษย์ เขาไม่ทราบแต่อย่างใดว่าสิงจีที่อยู่ตรงหน้านี้กำลังแสดงละคร กำลังวางแผนการร้ายอยู่

“ดีมาก เจ้าเอาหินบรรพไท่ชูออกมาหนึ่งหมื่นก้อนสิ”จ้าวปีศาจเสวียนหยินพูดอย่างเย็นชา

หินบรรพไท่ชูเป็นทรัพยากรการฝึกตนที่ระดับสูงกว่ากรองแก้วโลหิตดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรัพยากรประเภทนี้มีความสำคัญต่อการบรรลุสู่แดนผู้สูงส่งมาก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งของที่กองกำลังใหญ่ทั้งหลายต่างค้นหาและเก็บสะสมมาโดยตลอด

จำนวนหนึ่งหมื่นก้อนดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นกรองแก้วโลหิตดั้งเดิม ก็เป็นจำนวนนับร้อยล้านก้อนเลยนะ!

หินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อนเท่ากับมูลค่าของกรองแก้วโลหิตนับร้อยล้านก้อนเชียวนะ!

ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินราคาดังกล่าว มุมปากสิงจีก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

“ผู้อาวุโสจ้าวปีศาจ ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อน”สิงจีคาดการณ์ทุกอย่างได้ล่วงหน้าแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจ้าวปีศาจเสวียนหยินจะเรียกร้องมากขนาดนี้

“ทำไม? เจ้ามีปัญหารึ?”จ้าวปีศาจเสวียนหยินขมวดคิ้วลง จิตสังหารที่น่าสยดสยองเตรียมพร้อมที่จะลงมือบุก

สิงจีสั่นสะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้ ในฐานะที่เป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักหยินวิถีปีศาจ เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจ้าวปีศาจเสวียนหยินเป็นปีศาจยักษ์ที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกอะไรแน่นอน

แต่จำนวนหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อนไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ หากจะสังหารหลัวซิวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ราคานี้มันสูงจนเกินเลยไปหน่อย!

“ผู้อาวุโสจ้าวปีศาจ แม้นหลัวซิวนั่นจะเป็นร่างที่ผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิด ทว่าผลการฝึกตนในปัจจุบันกลับเป็นเพียงเทพมารระดับเก้าเท่านั้น ต่อให้มีข่าวลือเล่าว่ามันสามารถข้ามขั้นประลอง อย่างมากก็แค่เทียบเท่าราชาเทพระดับเก้า แค่สังหารผู้น้อยเล็ก ๆ เช่นนี้ ถึงขั้นต้องการหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อนเลยหรือขอรับ?”สิงจีระงับความรู้สึกกลัวที่มีต่อจ้าวปีศาจเสวียนหยินแล้วพูด

“ราคาที่ข้าเสนอนี้มันไม่สูงเลย!”จ้าวปีศาจเสวียนหยินทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง “ศักยภาพของหลัวซิวนั่นไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงก็จริง แต่มูลค่าที่แท้จริงของราคานี้กลับเป็นตัวตนเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋นั่นของเขา!”

“อาณากระบี่หวูจี๋ก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ซึ่งศักยภาพไม่ด้อยกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเรา ในเมื่อหลัวซิวเป็นเจ้าสำนักน้อย ก็ต้องยึดกุมอุบายในการเอาชีวิตรอดอย่างแน่นอน ทันทีที่พัวพันถึงอาณากระบี่หวูจี๋ที่อยู่เบื้องหลังเขา มีโอกาสทำให้กองกำลังระดับมหาแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจของเราและอาณากระบี่หวูจี๋ปะทะและเป็นศัตรูต่อกันได้!”

“และเป็นเพราะมีผลกระทบต่อวงกว้าง ดังนั้นข้าถึงได้เสนอราคานี้ ทางที่ดีข้าแนะนำให้เจ้าอย่าต่อรองราคากับข้าจักดีกว่า มิฉะนั้นจุดจบของเจ้าจะอนาถมาก!”

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าของจ้าวปีศาจเสวียนหยินก็หม่นหมองลงไปแล้ว บนใบหน้าที่งดงามของชายหนุ่มไร้ความรู้สึก จึงทำให้คนเห็นรู้สึกหวาดกลัว

สิงจีสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง จำนวนหินบรรพไท่ชูหนึ่งหมื่นก้อนไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ ซึ่งเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ มิหนำซ้ำต่อให้สามารถตัดสินใจได้ เขาก็เอาจำนวนหินบรรพไท่ชูที่มากมายขนาดนี้ออกมาไม่ได้เช่นกัน

“บัดนี้บนตัวผู้น้อยไม่ได้มีหินบรรพไท่ชูมากขนาดนั้น ผู้อาวุโสจ้าวปีศาจสามารถยืดเวลาให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ?”สิงจีถามอย่างระมัดระวัง

“ได้ คอยเจ้ารวบรวมหินบรรพไท่ชูครบเมื่อไหร่ค่อยมาอีกทีเถิด”

จ้าวปีศาจเสวียนหยินพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งประโยคหนึ่ง จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง เงาร่างจึงเริ่มเลือนลางแล้วหายไป

……

เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลัวซิวก็สืบเสาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำอมฤตเทียนอีเช่นกัน แต่ทว่าเขาแทบจะตรวจสอบในตำราโบราณและม้วนหยกทุกประเภทของอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว แต่ก็ไม่พบข้อมูลใด ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำอมฤตเทียนอีเลย

ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังเคยไปถามเจ้าแดนตู๋กูที่หุบเขากระบี่ด้วยตนเองเช่นกัน มาตรแม้นว่าจากประสบการณ์ของตู๋กู ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าน้ำอมฤตเทียนอีคืออะไรกันแน่

หลัวซิวก็เคยคิดเหมือนกันว่าจะไปสอบถามอาจารย์ตัวเองที่โลกาอนัตตาหวูจี๋ดีหรือไม่ แต่หลังจากนึกคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็สลัดความคิดนี้ทิ้ง หากเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ยังต้องไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ เช่นนั้นมันก็จะทำให้ตัวเองดูไร้ประโยชน์มากไปหน่อย

ธุรกรรมและสัญญาระหว่างเขาและประมุขเต๋าเลี่ยเทียนไม่ได้จำกัดเวลาแต่อย่างใด ดังนั้นหลัวซิวก็ไม่รีบเร่งต่อเรื่องตามหาน้ำอมฤตเทียนอีเช่นกัน

เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปอีกสิบกว่าปี ผลการฝึกตนของหลัวซิวก็บรรลุถึงเทพมารระดับเก้าช่วงปลายเช่นกัน อัตราการบริโภคกรองแก้วโลหิตที่เขาใช้ในการฝึกตนนั้น สามารถพูดได้เลยว่าเป็นจำนวนที่น่าสยดสยองมาก ถึงแม้ประสิทธิผลของการใช้หินบรรพไท่ชูจะดีกว่า แต่ทรัพยากรอย่างหินบรรพไท่ชูฟุ่มเฟือยมากเกินไป เขายังต้องเก็บสะสมไว้เพื่อใช้สำหรับบรรลุสู่แดนผู้สูงส่งในอนาคต ย่อมตัดใจใช้มันในแดนเทพมารระดับเก้าไม่ได้อยู่แล้ว

วันนี้ หลัวซิวกำลังบำเพ็ญตนอยู่ในวังซิวหลัว จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกพระราชวัง ก่อนที่เหยียนเยว่เอ๋อร์จะเดินเข้ามา

“ท่านสวามี ผู้อาวุโสตู๋กูมู่หยางขอพบเจ้าค่ะ”เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

“เชิญเขาเข้ามา”หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา พยักหน้าแล้วตอบกลับ

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ผู้อาวุโสผมเผ้าดำเงาคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างกระปรี้กระเปร่า ซึ่งคนดังกล่าวก็คือตู๋กูมู่หยางนั่นเอง

ตู๋กูมู่หยางนี่ก็เป็นผู้อาวุโสจักรพรรดิเทพของอาณากระบี่หวูจี๋เช่นกัน เมื่อนับดูแล้วเขายังถือเป็นรุ่นหลังของตู๋กูเจี้ยนเฉินอยู่ ซึ่งเป็นทายาทที่มีสายเลือดของเจ้าแดนตู๋กู

ในอาณากระบี่หวูจี๋ ตำแหน่งของเจ้าสำนักน้อยสูงส่งมาก เรียกได้เลยว่าอยู่ภายใต้อำนาจของคนคนหนึ่ง แล้วอยู่เหนืออำนาจของคนนับหมื่น ตำแหน่งเป็นรองเพียงตู๋กูที่เป็นเจ้าแดน

ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ตู๋กูมู่หยางจะมาขอเข้าพบหลัวซิวด้วยตัวตนผู้อาวุโสที่มีเกียรติ ก็ต้องรายงานและได้รับการอนุญาตก่อนถึงจะสามารถเข้ามาได้

“ตู๋กูมู่หยางกราบคารวะเจ้าสำนักน้อยขอรับ”หลังจากตู๋กูมู่หยางเข้ามาแล้ว เขาก็ประสานมือทำท่าคารวะไปทางหลัวซิว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ