มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2875

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“......”

จิตสังหารที่ฉีกกระชากฟ้าดินม้วนซัดไปทั่วท้องฟ้า ภาพฉากของสงครามในครั้งนี้เอิกเกริกยิ่งใหญ่มมาก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพฉากสงครามที่มองเห็นครั้นเมื่อตระหนักรู้ตราประทับปรปักษ์สวรรค์ และหมัดจ้านเทียน

อาณากระบี่หวูจี๋มีค่ายกระบี่ ชนเผ่าเฉว่ซ่าที่เป็นกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันก็ย่อมมีค่ายโลหิตมารฉกรรจ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว

ยอดฝีมือชนเผ่าเฉว่ซ่านับหมื่นคนกระโจนสังหารเข้ามา วิวัฒนาการค่ายใหญ่ ประกอบเป็นดาบเทพสีเลือดเล่มหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ซึ่งมีพลานุภาพที่ไม่เป็นรองค่ายกระบี่หวูจี๋เลย

เมื่อมองมาจากที่ไกล ๆ ละก็ จะเห็นว่ามีดาบเลือดเล่มหนึ่งและกระบี่เทพเล่มหนึ่งพุ่งชนกันอย่างรุนแรงกลางอนัตตา ณ เสี้ยววินาทีที่ค่ายใหญ่ทั้งสองพุ่งชนเข้าด้วยกัน จอมยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในค่ายใหญ่ก็ได้เปิดศึกเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือดเช่นกัน

ในเมื่อชนเผ่าเฉว่ซ่าส่งกำลังคนมาดักสังหาร ในกลุ่มคนชุดนี้ย่อมต้องไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งยอดฝีมืออยู่แล้ว จอมยุทธ์ชนเผ่าเฉว่ซ่าหกคนที่ผลการฝึกตนอยู่ในแดนมกุฎเทพหกกงล้อพุ่งสังหารเข้าไปทางหลัวซิวโดยตรง

ตู๋กูเจี้ยนเฉินทำเสียงหึเบา ๆ ทีหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังจะลงมืออยู่นั้น แต่กลับถูกหลัวซิวยกมือขึ้นมาหยุดยั้งเอาไว้ก่อน เนื่องจากในมุมมองของเขา การต่อสู้ระดับนี้ยังไม่จำเป็นต้องให้ตู๋กูเจี้ยนเฉินลงมือ

“แผะ!”

เห็นเพียงหลัวซิวหกระเหินเดินฟ้า ฝ่าเท้าย่ำอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่า รอยร้าวปริภูมิทั้งหลายจึงค่อย ๆ แผ่กระจายออกไปจากเท้าเขา ราวกับฟ้าดินกำลังจะถูกเขาเหยียบแตกสลายยังไงอย่างนั้น

ภายใต้การปลุกเสกจากเกณฑ์ปริภูมิและความเร็ว ความเร็วในการเคลื่อนที่ของหลัวซิวเร็วปานสายฟ้า พุ่งจู่โจมเข้ามาภายในเสี้ยววินาที กระบี่ร่องฟ้าที่อยู่ในมือเขากระพริบระยิบระยับ ฟาดฟันออกไปกลางอากาศ

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ……

เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด ห้าในหกของมกุฎเทพหกกงล้อที่โจมตีเข้ามาทางเขาเบิกตากว้าง ศีรษะลอยขึ้นฟ้า ส่วนร่างกายนั้นกลับร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า

“ฆ่ามันซะ!”

มกุฎเทพหกกงล้ออีกห้าหกคนที่เหลือต่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตะคอกเสียงดังลั่นทีหนึ่ง จากนั้นก็มีเปลวไฟสีแดงเลือดแผดเผาขึ้นมาบนตัวทุกคน

พวกเขาเผาผลาญดั้งเดิม อยู่ในสภาวะที่เหมือนคุ้มคลั่ง พลังออร่าของแต่ละคนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่กองกำลังอื่น ๆ เรียกขานว่าชนเผ่าเฉว่ซ่าเป็นพวกบ้าคลั่งนั่นเอง เพราะเมื่อชนเผ่าของพวกเขาทำสงครามขึ้นมา ก็จะใช้วิธีต่อสู้กับศัตรูอย่างทุ่มสุดกำลังสามารถเลย เอะอะ ๆ ก็จะเผาผลาญชีวีดั้งเดิม เข่นฆ่ากับเจ้าอย่างสุดชีวิต

อย่างไรก็ตามสำหรับหลัวซิวแล้ว ต่อให้จอมยุทธ์แดนมกุฎเทพหกกงล้อจะเผาผลาญชีวีดั้งเดิม ศักยภาพก็ไม่มีทางยกระดับขึ้นไปถึงระดับที่สูงกว่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อแน่นอน ดังนั้นอุบายบ้าคลั่งที่ทุ่มสุดชีวิตเช่นนี้ จึงไม่มีความหมายอะไรต่อเขาเลยด้วยซ้ำ

“ฟึ่บ! ……”

เพียงพริบตาเดียว ก็มีแสงโลหิตอีกห้าดวงพุ่งกระฉูด การที่จะสังหารคู่ต่อสู้ที่อยู่ในแดนมกุฎเทพหกกงล้อ หลัวซิวไม่จำเป็นต้องใช้อุบายไพ่เด็ดอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่อาศัยกระบี่ร่องฟ้าเล่มเดียว บวกกับความเร็วที่รวดเร็วจนถึงสุดขีดของเขา ก็สามารถทรมานสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดายแล้ว

เห็นเพียงเงาร่างของเขากระพริบอย่างไม่หยุดหย่อน ขอแค่ลงมือ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานอานุภาพแห่งกระบี่ของเขาได้

ท่านทูต......”

ณ สถานที่ตั้งของชนเผ่าเฉว่ซ่า ผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นเห็นว่าคนในชนเผ่าของตนที่อยู่ในกระจกเทพถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง จึงมีความโกรธเกรี้ยวทะลุออกมาจากดวงตา

แม้นหลายกองกำลังในโลกร้างจะเกลียดชังและเอือมระอาต่อชนเผ่าเฉว่ซ่า ทว่าภายในชนเผ่าเฉว่ซ่ากลับสามัคคีอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าคนในชนเขาถูกฆ่าอย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นอดไม่ได้ที่จะนำพากองทัพใหญ่พุ่งสังหารเข้าไปบัดนี้เลย

“แค่พวกมดตัวจ้อยกระจอก ๆ เอง ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”

ทูตเพ้าดำพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาคำหนึ่ง จึงทำให้จิตสังหารที่เดือดพล่านอยู่ในใจผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นราวกับถูกน้ำเย็นสาดจนดับหายไปยังไงอย่างนั้น

สำหรับทูตเพ้าดำแล้ว ผู้คนในชนเผ่าที่ตายไปเป็นเพียงมดตัวจ้อยเท่านั้น สาเหตุที่ส่งจอมยุทธ์นับหมื่นในชนเผ่าเฉว่ซ่าออกไปสกัดนั้น อันที่จริงมันก็เป็นเพียงการทดสอบหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง

เห็นเพียงทูตเพ้าดำไม่สนใจผู้อาวุโสเฉว่หยิ่นที่อยู่ข้างกายเลยด้วยซ้ำ สายตาที่ยืนเยือกเพ่งมองเงาร่างของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่อยู่ในกระจกเทพนั่น

“อัจฉริยะผู้มีปัญญาแห่งเซียนเชียวนะ น่าเสียดายจริง......”พูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกเสียดาย ทว่าตรงมุมปากทูตเพ้าดำกลับมีรอยยิ้มอันเยือกเย็นที่เหี้ยมโหดปรากฏ

เขาเป็นทูตที่มาจากพื้นโลกดาราอื่น ๆ ซึ่งภารกิจของเขาก็คือพยายามสังหารภัยคุกคามที่มีโอกาสซ่อนอยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ภัยคุกคามซ่อนเร้นที่กล่าวถึงนั้น ก็คือเหล่าอัจฉริยะที่มีความสามารถสูงส่ง เนื่องจากทันทีที่มหันตภัยปะทุ เหล่าอัจฉริยะที่มีศักยภาพสูงส่งก็อาจมีโอกาสได้รับการขัดเกลาและเติบโตในมหันตภัย จนกลายเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องกำจัดภัยคุกคามตั้งแต่ยังไม่เติบใหญ่ อัจฉริยะที่ถูกเขาชี้ขาดว่ามีปัญญาแห่งเซียนอย่างหลัวซิวนั้น ยิ่งถูกเขามองว่าเป็นหนามยอดอก เป็นคู่กรณีที่จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง!

ส่วนชนเผ่าเฉว่ซ่านั้น เป็นหมากลูกหนึ่งของพื้นโลกดาราที่เขาอยู่สอดแทรกไว้ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมาโดยตลอด

ในขณะที่หลัวซิวนำทหารออกรบ เหยียนเยว่เอ๋อร์ปิดขังติดต่อกันมาสองเดือนกว่ากลับออกจากการปิดขังในเวลานี้

และหลังจากที่นางออกจากการปิดขัง ก็ต้องข้ามผ่านทัณฑ์ ซึ่งเป็นมหาทัณฑ์แห่งราชาเทพระดับเก้า!

ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ติดตามอยู่ข้างกายหลัวซิว นางเป็นผู้ที่ติดตามหลัวซิวมานานที่สุด ดังนั้นนางจึงอยู่ในหุบเขาสยบปีศาจตลอดทั้งปี และเป็นผู้ที่ตั้งใจฝึกตนมากที่สุดเช่นกัน

เดิมทีสายเลือดหงส์โบราณที่นางมีเล็กน้อยมากไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย ทว่าจากการที่แดนผลการฝึกตนของนางยิ่งอยู่ยิ่งสูง สายเลือดกลับค่อย ๆ มีท่าทีที่จะหวนบรรพ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการฝึกตนหรือศักยภาพด้านสติปัญญาของนาง ต่างได้รับการยกระดับอย่างมาก

ในฐานะที่เป็นฮูหยินใหญ่ที่อยู่ข้างกายจ้าวหุบเขา การข้ามผ่านทัณฑ์ของเหยียนเยว่เอ๋อร์ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญของหุบเขาสยบปีศาจอยู่แล้ว พวกลวี่โหลว จี้หานยู่ต่างพากันมาถึงนอกวังซิวหลัว เพื่อคอยคุ้มกันนาง

ทัณฑ์สายฟ้าทั้งหลายจุติลงมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าล้วนถูกเปลวไฟที่โอบล้อมอยู่รอบกายเหยียนเยว่เอ๋อร์ทำลายล้าง ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายนางได้เลยแม้แต่น้อย

นางเหมือนเทพหงส์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในเพลิงอัคคี มีโลกาเพลิงอัคคีใบหนึ่งวิวัฒนาการออกมาด้านหลังนาง ในส่วนที่ลึกที่สุดของโลกาเพลิงอัคคีดังกล่าว มีไข่ใบหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยลายเส้นที่ล้ำลึกลอยอยู่ในเพลิงอัคคี และมีแสงเซียนอ่อน ๆ เป็นประกายระยิบระยับ!

ถ้าเกิดหลัวซิวมองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวละก็ เขาต้องตกตะลึงอย่างมากแน่นอน เนื่องจากแสงเซียนประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถบังเกิดขึ้นมาได้ง่าย ๆ และทันทีที่มีแสงเซียนบังเกิดขึ้นละก็ เช่นนั้นมันก็ต้องเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่าเซียนแน่นอน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ