มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2878

ณ หุบเขากระบี่ ตู๋กูพาหลัวซิวกลับมาถึงอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว

การทำสงครามกับชนเผ่าเฉว่ซ่าในครั้งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพิรุธข้อสงสัยต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่กลับมาถึงหุบเขากระบี่ หลัวซิวก็จ้องมองไปทางศิษย์พี่ของตัวเองด้วยสายตาที่สงสัย

ก่อนหน้านี้ตู๋กูบอกแล้วว่าให้กลับมาก่อนค่อยว่ากันอีกที ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้เป็นฝ่ายที่เอ่ยปากสอบถามก่อน

“เรื่องนี้ศิษย์พี่เองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นกัน ศิษย์แห่งอาณากระบี่หวูจี๋มีมากมายเช่นนี้ การที่จะถูกศัตรูแอบส่งหนอนบ่อนไส้เข้ามานั้น สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี”ตู๋กูพูดกับหลัวซิวด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด

เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา ตู๋กูก็ถือเป็นการยอมรับแล้วว่าภายในอาณากระบี่หวูจี๋มีผู้ทรยศ มิเช่นนั้นหากทราบล่วงหน้าว่าฝ่ายชนเผ่าเฉว่ซ่ามีกองทัพนับแสนละก็ หลัวซิวคงไม่มีทางนำกำลังคนสองหมื่นคนบุกฆ่าเข้าไปอย่างโง่เง่าแน่นอน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลัวซิวใส่ใจที่สุดกลับไม่ใช่สิ่งนี้ ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วแล้วถาม: “ความเป็นมาของผู้สูงส่งที่จะสังหารข้าเป็นอย่างไรขอรับ?”

ดูจากกระบวนท่าโจมตีของทูตเพ้าดำนั่น หลัวซิวสามารถยืนยันได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่คนในอาณากระบี่หวูจี๋ ดังนั้นเขาถึงได้รู้สึกสงสัยเช่นนี้ เหตุใดฝ่ายตรงข้ามจึงต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อสังหารตน?

“หากศิษย์พี่คาดเดาไม่ผิดละก็ ทูตเพ้าดำนั่นน่าจะมาจากโลกาฟ้าดินหลิงหลง”

ตู๋กูไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดคำพูดที่น่าทึ่งออกมา “มหันตภัยใกล้จะปะทุ ศึกสงครามระหว่างทั้งสามโลกาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แค่จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าเท่านั้นแหละ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโลกาฟ้าดินหลิงหลงหรือโลกาเทพมังกรไท่ชู ต่างก็จะคิดหาหนทางกำจัดผู้แข็งแกร่งทุกคนที่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา”

สำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมหันตภัยนั้น หลัวซิวเคยฟังอาจารย์กล่าวถึงแล้ว ดังนั้นเมื่อตู๋กูอธิบายเช่นนี้ หลัวซิวก็ถือว่าเข้าใจแล้ว

คนที่เป็นภัยคุกคามที่กล่าวถึงนั้น หมายถึงอัจฉริยะไร้เทียมทานที่มีศักยภาพสูงส่งอย่างยิ่ง รวมไปถึงผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด

แน่นอนอยู่แล้วว่าการกำจัดภัยคุกคามทิ้งเป็นเพียงอุบายประเภทหนึ่ง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็คอยยุยงและดึงบางกองกำลังในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดเข้าไปเป็นพวกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่า ก็ต่างถือว่าเป็นกองกำลังที่ถูกดึงเข้าไปเป็นพวกหรือถูกซื้อตัวไปแล้ว

แนวโน้มที่จะเอนไปในทิศทางที่เลวร้ายของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดในปัจจุบันชัดเจนมาก อย่าว่าแต่ตู๋กูเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของพวกเขามกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ไม่กล้ารับประกันเช่นกันว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกด้านได้ ปัจจุบันจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ตกลงมีกองกำลังใดที่ถูกดึงเข้าไปเป็นพวก กองกำลังใดที่ยังไม่ถูกดึงเข้าไปเป็นพวก มีเพียงกองกำลังนั้น ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ

“สามารถตอบกลับได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่าศิษย์น้องเจ้าถูกหมายตาไว้แล้ว บางทีพวกเขาอาจจะยังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ แต่ศักยภาพและพรสวรรค์ที่เจ้าแสดงออกมา ได้สร้างภัยคุกคามให้แก่โลกาฟ้าดินหลิงหลงแล้ว ดังนั้นพวกเขาถึงได้อยากกำจัดเจ้าทิ้ง”

จู่ ๆ สีหน้าอารมณ์ของตู๋กูก็ดูตึงเครียดขึ้นมา แล้วพูดกระแทกเสียงต่ำ: “ซึ่งนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น บางทีคนในโลกาเทพมังกรไท่ชูก็อาจจะหมายตาเจ้าไว้เช่นกัน ฉะนั้นหากไม่มีความจำเป็นละก็ ทางที่ดีเจ้าอย่าออกจากผืนดินของอาณากระบี่หวูจี๋จะดีกว่า”

หลัวซิวไม่ได้ตอบกลับอะไร แม้เขาจะรู้อยู่ว่าศิษย์พี่ทำเพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง แต่ถ้าเกิดให้เขาหดตัวอยู่แต่ในอาณากระบี่หวูจี๋แล้วไม่ออกไป นี่กลับไม่ใช่อุปนิสัยของเขา

ในขณะที่ตู๋กูกำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่ออยู่นั้น ก็มีปณิธานดวงหนึ่งถ่ายทอดเข้าไปในหัวเขากะทันหัน สีหน้าอารมณ์ของตู๋กูดูงุนงงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูดกับหลัวซิวว่า “ศิษย์น้อง อาจารย์ท่านให้เจ้าไปพบ”

“อาจารย์?”หลัวซิวก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน ตั้งแต่กราบไหว้อาจารย์เป็นศิษย์เป็นต้นมา นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่อาจารย์เรียกพบเขา

“เคราะห์หามยามร้ายในครั้งนี้ของเจ้า ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์ท่านย้ำเตือนข้าเช่นกัน ดังนั้นแม้นข้าจะเป็นผู้ลงมือช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ทว่าผู้ที่ช่วยเจ้าเอาไว้จริง ๆ ก็ยังเป็นอาจารย์เราอยู่ดี”ตู๋กูอธิบาย

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็รู้สึกตะลึงมาก พลางคิดในใจว่าอาจารย์ท่านนี้ของตนนี่ทำนายได้แม่นยำไม่มีผิดพลาดจริง ๆ

เดินตามตู๋กู หลัวซิวมาถึงโลกาอนัตตาอู๋จี๋อีกครั้ง ก่อนหน้านี้แม้นเขาจะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว ทว่าครั้งที่ได้พบหน้าอาจารย์อย่างแท้จริง ก็มีเพียงครั้งแรกที่มาที่นี่เท่านั้น

ยังคงเป็นเขาเซียนที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของพสุดาราแห่งนี้อยู่เช่นเคย ซึ่งสถานที่พักของอาจารย์ก็อยู่ในตำหนักหวูจี๋

เมื่อมองจากลักษณะภายนอก ตำหนักหวูจี๋คือพระราชวังหลังหนึ่ง ส่วนภายในพระราชวังหลังนี้กลับมีโลกอีกใบหนึ่ง ราวกับโลกาเล็ก ๆ หนึ่งใบยังไงอย่างนั้น

เมื่อตู๋กูส่งหลัวซิวมาถึงที่นี่เขาก็ถอยกลับ ส่วนหลัวซิวนั้นกลับย่างกรายเดินเข้าไปในตำหนักหวูจี๋ ก่อนจะมาถึงหุบเขาเล็ก ๆ ที่เคยกราบไหว้อาจารย์เมื่อครั้นนั้น

เมื่อมาถึงที่นี่ หลัวซิวก็เจอมกุฎเต๋าหวูจี๋ทันที เห็นเพียงมกุฎเต๋ากำลังหลับตาทั้งสองข้าง หลังศีรษะมีวงแหวนเทวที่ผนึกรวมมาจากแสงเซียน พลังออร่าอันมากมายมหาศาลที่ตลบฟุ้งอยู่บนร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงบสุขและเป็นมงคล

หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า แล้วก้มคำนับอย่างเคารพนอบน้อม “ศิษย์หลัวซิวกราบคารวะอาจารย์ขอรับ”

เมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์ท่านนี้ของตน จิตใจหลัวซิวก็เคารพมาก ๆ ถึงแม้ไม่ว่าจะเป็นอดีตชาติหรือปัจจุบัน หลังจากเขากราบไหว้ท่านเป็นอาจารย์แล้ว อาจารย์ท่านนี้ก็ไม่แยแสตัวเองเลย ทว่าจากคำพูดของตู๋กู เขาถึงจะทราบว่าอันที่จริงอาจารย์ท่านเฝ้าติดตามตัวเองมาโดยตลอด แต่แค่ตัวเองสัมผัสไม่ได้เท่านั้นเอง

มกุฎเต๋าหวูจี๋ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา สายตาที่สงบและเป็นมงคลร่วงลงบนตัวหลัวซิว ตรงมุมปากมีรอยยิ้มอ่อน ๆ “ภัยพิบัติครั้งหนึ่งแต่กลับทำให้เจ้าได้ดีจากเรื่องร้าย ผสมผสานการตระหนักรู้ทั้งหลายเข้าด้วยกัน ปัจจุบันเจ้าได้ริเริ่มวิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของตัวเจ้าเองออกมาแล้ว”

จากความสามารถในการมองของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ย่อมต้องดูออกเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าปัจจุบันภายในเลือดเนื้อเอ็นกระดูกของหลัวซิวมีแสงเซียนแฝงซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถควบคุมพลังแห่งวิถีเซียนได้แล้ว!

พลังแห่งวิถีเซียนเป็นพลังที่ระดับสูงกว่าพลังแห่งมกุฎเต๋า ถึงแม้หลัวซิวจะถูกพันธนาการโดยผลการฝึกตนของตัวเอง พลังแห่งวิถีเซียนที่เขาผนึกรวมออกมายังไม่สามารถเทียบทัดพลังของเซียนที่แท้จริง แต่ก็ทำให้ศักยภาพของเขาได้รับการยกระดับอย่างมากเช่นกัน

ส่วนศักยภาพที่ได้รับการยกระดับกลับเป็นเพียงเรื่องรอง สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญคือร่างเนื้อเขาผ่านการลอกคราบใหม่ ภายใต้การบ่มเพาะจากแสงเซียน ฐานร่างของเขาจะค่อย ๆ วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนบรรลุเป็นกายร่างเซียนศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด!

ทันทีที่บรรลุเป็นกายร่างศักดิ์สิทธิ์ เมื่ออาศัยร่างเนื้อก็สามารถเทียบทัดเซียนที่แท้จริงได้แล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ