มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2879

“การถ่ายทอดสืบสานของเซียนเป็นเพียงพรหมเซียนเล็ก ๆ อย่างนั้นหรือ? แล้วอะไรถึงจะเป็นพรหมเซียนใหญ่ขอรับ? เซียนก็มีการแบ่งแดนสูงต่ำเช่นกันหรือ?”

คำบอกเล่าของอาจารย์ทำให้หลัวซิวฟังดูจนตกตะลึงพรึงเพริด เขาคิดมาโดยตลอดเลยว่าขอแค่ฝึกถึงแดนเซียน ก็ถือเป็นขีดสูงสุดของวิถียุทธ์แล้ว แต่ฟังจากคำพูดของอาจารย์แล้ว ดูเหมือนมันจะไม่ได้ง่ายดายปานนั้น

“คอยหลังจากเจ้าบรรลุถึงแดนที่แน่นอนแล้ว อาจารย์จักบอกเจ้าเอง จากผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเจ้า มันยังเร็วไปหน่อยที่จะทราบเรื่องเหล่านี้”

มกุฎเต๋าหวูจี๋ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างเรียบนิ่ง: “เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต สำหรับผู้คนที่อยู่ในโลกาดาราระดับล่าง เทพมารถือเป็นการคงอยู่ที่สูงส่งอย่างยิ่งแล้ว ส่วนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดนั้น เทพมารกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป็นเพียงมดตัวจ้อยในสายตาผู้แข็งแกร่งเท่านั้นแหละ”

“และสำหรับเทพมารส่วนมากแล้ว ผู้สูงส่งนั้นอยู่ห่างไกลเกินเอื้อม ประมุขเต๋ายิ่งเป็นเหมือนการคงอยู่ในตำนาน แล้วจะนับประสาอะไรกับเซียนเล่า?”

“แต่ถ้าเกิดสักวันเจ้าได้สัมผัสกับแดนของเซียนแล้ว มีเพียงถึงช่วงเวลานั้นเจ้าถึงจะเข้าใจว่าเซียนก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ใช่จุดจบแต่อย่างใด……”

“ตกลงเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ยาวไกลมากเพียงใด แดนใดถึงจะเป็นขั้นสูงสุด แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็ไม่ทราบเช่นกัน เนื่องจากมาตรแม้นว่าเป็นตัวอาจารย์เอง หากถูกหยิบยกเข้าไปในชีวิตของเหล่าเซียน อาจารย์ก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ……”

“ดูท่าเส้นทางที่ข้าต้องเดินยังอีกยาวไกลมากเลยสินะ”

เมื่อหลัวซิวออกมาจากตำหนักหวูจี๋ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำคนเดียว สัมผัสความเล็กน้อยของตัวเองได้อย่างแท้จริง บนเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต บัดนี้เขาถึงจะเข้าใจว่าผลสำเร็จในปัจจุบันของตัวเองมันเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงมากเพียงใด

อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่ได้สูญเสียความมั่นใจของตัวเองไปเพราะเหตุนี้ ในทางตรงกันข้ามหลังจากทราบเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ความมุ่งมั่นในใจเขากลับฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น!

“สักวันข้าต้องเดินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ให้ได้ ดูซิว่าภาพฉากบนขั้นสูงสุดของวิถียุทธ์มันเป็นอย่างไรกันแน่”เขาพูดเช่นนี้ในใจ

“อาจารย์บอกว่าการถ่ายทอดสืบสานของเซียนเป็นเพียงพรหมเซียนเล็ก ๆ ซึ่งไม่ใช่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้มหันตภัยแห่งพรหมเซียนปะทุขึ้น เช่นนั้นมหันตภัยที่แท้จริงน่าจะมีต้นกำเนิดจากพรหมเซียนใหญ่! เมื่อเปรียบเทียบกับการพันธนาการและข้อจำกัดของพรหมเซียนเล็กแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่พรหมเซียนใหญ่หมายถึงก็น่าจะเป็นโอกาสที่สามารถริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเอง!”

แม้นมกุฎเต๋าหวูจี๋จะไม่ได้เอ่ยปากชี้แจงเรื่องนี้ก็ตาม แต่หลัวซิวกลับสามารถอ้างอิงจากข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รั่วไหลออกมาจากคำพูดของอาจารย์ แล้วทำการคาดการณ์ด้วยตนเอง

การริเริ่มวิถีเซียนนั้นทำได้ยากมากเพียงใด? แม้มกุฎเต๋าหวูจี๋จะบอกว่ามีเพียงริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองได้ ถึงจะมีโอกาสพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจํากัด แต่แท้จริงแล้วต่อให้ริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองออกมาได้ ก็ใช่ว่าจะสามารถบรรลุถึงแดนที่สูงลึกได้เสมอไป

เมื่อได้รับการถ่ายทอดสืบสารของราชาเซียน ขอแค่มีพรสวรรค์มากพอ ก็จะมีโอกาสอยู่เหนือเซียนชั้นฟ้า บรรลุถึงแดนราชาเซียน

ส่วนผู้ที่สามารถบุกเบิกริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองออกมาได้นั้น บางทีอาจจะแค่สามารถฝึกถึงแดนเซียนชั้นฟ้า หากไม่สามารถทำการอนุมานยกระดับวิถีเซียนของตัวเองให้ขึ้นไปได้อีกขั้น บางทีชั่วชีวิตนี้ก็อาจเป็นได้เพียงเซียนชั้นฟ้า ซึ่งไม่มีวันบรรลุถึงแดนราชาเซียนได้

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อดูจากมุมมองคุณค่าบางอย่าง พรหมเซียนเล็กใช่ว่าจะไม่สามารถเทียบเคียงกับพรหมเซียนใหญ่ได้เสมอไป

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ส่วนมากแล้ว จักให้ความสำคัญกับพรหมเซียนใหญ่มากกว่า เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วบุคคลที่สามารถริเริ่มวิถีเซียนออกมาได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศอย่างแน่นอน ต่อให้มีการถ่ายทอดสืบสานของเซียนองค์หนึ่งวางอยู่ตรงหน้า เขาก็จะไม่เลือกมัน เพราะมุ่งมั่นที่จะฝึกวิถีเซียนของตัวเอง

ซึ่งวิถีเซียนเช่นนี้ถึงจะเป็นวิถีเซียนที่แท้จริง! หากแดนผลการฝึกตนอยู่ในแดนเดียวกัน เช่นนั้นศักยภาพของเซียนแท้ก็จะแข็งแกร่งมากกว่า!

เนื่องจากวิถีเซียนที่เซียนแท้ฝึกนั้นเป็นวิถีของตัวเอง ซึ่งสามารถปลดปล่อยพลานุภาพทั้งหมดของพลังแห่งวิถีเซียนออกมาได้อย่างหมดเปลือก ปลดปล่อยพลานุภาพที่ทรงพลังที่สุดออกมา หากวิถีเซียนที่ฝึกเป็นวิถีที่คนรุ่นก่อนริเริ่ม ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงช่างเลียนแบบคนหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถอยู่เหนือคนรุ่นก่อนได้

การที่อยากบรรลุเป็นเซียนแท้นั้น ขั้นตอนแรกก็คือต้องริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเอง ซึ่งเท่านี้ยังไม่พอ ยังจำเป็นต้องมีโอกาสที่เพียงพอที่จะสามารถทำให้ตัวเองบรรลุถึงแดนเซียนได้ด้วย!

ในมุมมองของหลัวซิว ทุกกิริยาท่าทางของอาจารย์ตนมกุฎเต๋าหวูจี๋ล้วนมีแสงเซียนปรากฏลาง ๆ แสดงว่าท่านน่าจะทำขั้นแรกสำเร็จแล้ว ซึ่งริเริ่มวิถีเซียนที่เป็นของตัวเองออกมาได้แล้ว และยิ่งบุกเบิกวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งจนเหลือเชื่ออย่างเคล็ดเซียนแปรเก้าออกมาด้วย

แล้วก็มกุฎเต๋านอกนภา เขาบุกเบิกแดนเซียน ฝึกธรรมเวชตรีภพโกลาหล เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเส้นทางที่เขาเดินก็เป็นวิถีเซียนแท้เช่นกัน

บางทีในโลกาฟ้าดินหลิงหลง รวมไปถึงโลกาเทพมังกรไท่ชู ก็มีมกุฎเต๋าคนอื่น ๆ ทำขั้นแรกสำเร็จแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากว่าการปะทุของมหันตภัยแห่งพรหมเซียน เป็นเพราะจะช่วงชิงโอกาสในการกลายเซียน!

แดนเซียนไม่ใช่แดนที่บรรลุได้ง่ายขนาดนั้น บางครั้งใช่ว่าเมื่อมีพรสวรรค์ปัญญาเพียงพอแล้วจะสามารถบรรลุถึงแดนเซียนได้เสมอไป ซึ่งยังต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอด้วย

ยกตัวอย่างเช่นการบรรลุสู่ผู้สูงส่ง จำเป็นต้องอาศัยทรัพยากรระดับสูงอย่างหินบรรพไท่ชู และถ้าเกิดจะบรรลุสู่ประมุขเต๋า ก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรที่ระดับขั้นสูงกว่า หากต้องการบรรลุสู่แดนเซียน เงื่อนไขที่ต้องการก็มีแต่จะยากยิ่งมากกว่าเดิม!

“เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ยาวไกลและเต็มเปี่ยมไปด้วยภาระที่หนักอึ้ง แต่ข้าจะมัวแต่ยกระดับศักยภาพของตัวเองไม่ได้ ผู้คนในหุบเขาสยบปีศาจก็ต้องรีบเดินตามฝีเท้าข้าให้ทันเช่นกัน”

กลับมาจากโลกาอนัตตาอู๋จี๋ หลัวซิวมาทักทายตู๋กูก่อนจะออกจากหุบเขากระบี่ แล้วกลับมาถึงวังซิวหลัวในหุบเขาสยบปีศาจ

ผู้คนในหุบเขาสยบปีศาจเป็นกลุ่มคนที่ติดตามหลัวซิวมานานที่สุด แม้นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หลัวซิวจะยกระดับศักยภาพผลการฝึกตนของตัวเองอย่างทุ่มสุดชีวิต แต่เขากลับไม่เคยลืมคนสนิทที่ติดตามตัวเอง

เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจากการที่ศักยภาพของตัวเองยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น หากผู้คนที่อยู่ข้างกายเขายกระดับศักยภาพได้ช้า เช่นนั้นระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีการคลุกเคล้ากัน ยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีคำพูดและสิ่งที่สามารถสื่อสารร่วมกันได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ