มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2906

หากผลการฝึกตนของหลัวซิวก็อยู่ในแดนราชาเทพห้ากงล้อเหมือนกัน เช่นนั้นเขาอาจจะต้องจริงจังกับพลังสังหารจากปราณกระบี่เล่มนี้

แต่ทว่าผลการฝึกตนในปัจจุบันของเขาอยู่ที่แดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อช่วงกลางแล้ว เช่นนั้นปราณกระบี่ที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งนี้ จึงเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงสำหรับเขา

“เตี๊ยง!”

เห็นเพียงหลัวซิวยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว แล้วจิ้มลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า ปราณกระบี่ที่มโหฬารพันลึกจึงสลายหายไปกลางท้องฟ้า ต่อมาหลัวซิวก็หกระเหินเดินฟ้า มาถึงหน้าเงาร่างสูงตระหง่านที่อยู่กลางแสงเซียนนั่น

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็มองเห็นประตูบานหนึ่งที่ผนึกรวมมาจากแสงเซียนปรากฏข้างกายเงาร่างที่สูงตระหง่านนั่น ไม่ต้องพูดก็พอจะทราบได้แล้วว่านั่นน่าจะเป็นลู่ทางที่มุ่งไปสู่ด่านที่สอง

และในเวลานี้เอง มกุฎเทพหกกงล้อคนหนึ่งของเมืองหวูยวนก็พุ่งสังหารเข้ามา แววตาของนักสาสน์เต๋าเย็นชา ก่อนจะง้างมือปลดปล่อยปราณกระบี่เล่มหนึ่งออกไปเช่นกัน

“ฟึ่บ!”

หมอกเลือดกลุ่มหนึ่งระเบิดแตกกลางท้องฟ้า ยอดฝีมือระดับมกุฎเทพหกกงล้อคนนั้นถึงกับไม่สามารถต้านทานกระบี่หนึ่งของนักสาสน์เต๋าที่มีผลการฝึกตนราชาเทพห้ากงล้ออย่างนั้นหรือ!

“ผู้เพื่อนยุทธ์ผ่านด่านแล้ว ไยจึงยังไม่ไปด่านต่อไปเล่า?”

ค่อย ๆ ดึงพลังโจมตีกลับมา นักสาสน์เต๋าขมวดคิ้วแล้วมองหลัวซิวที่อยู่ข้างกายรอบหนึ่ง ราวกับรู้สึกสงสัยเล็กน้อยที่เหตุใดเขาจึงไม่เข้าไปในประตูแสงเซียนเพื่อมุ่งไปสู่ด่านที่สอง

“โอ๊ะ? เจ้ามีความรู้สึกด้วยหรือ?”หลัวซิวมองนักสาสน์เต๋าของด่านที่หนึ่งด้วยสายตาที่แปลกใจรอบหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ฝ่ายตรงข้ามไม่เคยพูดอะไรเลยสักคำ สีหน้าอารมณ์เย็นชา เขาก็คิดว่าเป็นเงาลวงแสงเซียนที่ไม่มีความรู้สึกเสียอีก

“คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีทางเก็บรักษาจิตสำนึกความรู้สึกเอาไว้ได้อยู่แล้ว มีเพียงอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ปราดเปรื่องส่วนน้อยในแดนเดียวกัน ถึงจะมีคุณสมบัติเก็บรักษาจิตสำนึกความรู้สึกเอาไว้ได้ แล้วกลายเป็นนักสาสน์เต๋า”

นักสาสน์เต๋าพูดอย่างเรียบนิ่งประโยคหนึ่ง “ยกตัวอย่างเช่นอดีต ในบรรดาราชาเทพห้ากงล้อทั้งหมดที่เคยเข้ามาในสถานสาสน์เต๋าแห่งนี้ ศักยภาพของข้าแข็งแกร่งที่สุด ฉะนั้นข้าจึงมีคุณสมบัติเก็บรักษาจิตสำนึกความรู้สึกเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วกลายเป็นนักสาสน์เต๋าของด่านแรก”

“แม้นข้าจักมองผลการฝึกตนของเจ้าไม่ทะลุ แต่กลับสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก บางทีเจ้าอาจมีความหวังได้รับการถ่ายทอดสืบสานของที่นี่ก็เป็นได้”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น นักสาสน์เต๋าก็ยกนิ้วขึ้นมาจิ้มลงกลางอากาศที่ว่างเปล่าทีหนึ่ง ก่อนที่ม้วนหยกชิ้นหนึ่งจะปรากฏแล้วร่วงลงตรงหน้าหลัวซิว

“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ดังนั้นเจ้าผ่านด่านนี้แล้ว ในฐานะที่เป็นนักสาสน์เต๋า นี่คือของรางวัลที่เจ้าควรได้รับหลังจากผ่านด่านแรก”

หลัวซิวแผ่ตัวสำนึกเข้าไปในม้วนหยก หลังจากข้อมูลที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกถูกตัวหยั่งรู้ของเขารับไปแล้ว ม้วนหยกชิ้นนี้ก็แตกสลายหายไปเองโดยธรรมชาติ

และสิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกก็คือพลังอมตะวิชาหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าหลอมจิต!

หลอมจิตที่กล่าวถึงนั้น ก็คือทำการกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นความว่างเปล่า ซึ่งมีวิธีขั้นตอนการที่แตกต่างจากธรรมเวชกาลล้น แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นแสงกระบี่ที่นักสาสน์เต๋าปลดปล่อยออกมาในเมื่อครู่นี้ อันที่จริงภายในก็มีความล้ำลึกของพลังอมตะหลอมจิตแฝงซ่อนอยู่เช่นกัน แต่ทว่าเนื่องจากผลการฝึกตนของหลัวซิวและเขาแตกต่างมากเกินไป ดังนั้นพลังอมตะหลอมจิตจึงสร้างประสิทธิผลใด ๆ ให้แก่หลัวซิวไม่ได้เท่านั้นเอง

ทว่าพลังอมตะหลอมจิตนี้ไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด ความประณีตสวยวิจิตรในหลาย ๆ จุดหายไปเยอะมาก แค่สามารถฝึกฝนตระหนักถึงระดับราชาเทพห้ากงล้อ

“จะว่าไปการบรรยายถึงธรรมเวชกาลล้นของพลังอมตะวิชานี้ก็แปลกใหม่ดีเหมือนกัน”

หลัวซิวมองโดยคร่าว ๆ รอบหนึ่ง แล้วรู้สึกเพลิดเพลินกับมันไม่น้อยเลย แม้การยึดกุมธรรมเวชกาลล้นของเขาจะบรรลุถึงแดนที่อยู่เหนือขอบข่ายที่พลังอมตะหลอมจิตบรรยาย แต่กลับไม่เป็นปัญหาต่อการเรียนรู้และเข้าใจถึงแขนงวิชาที่ใกล้เคียง จนได้รับการตระหนักรู้ที่ตนในอดีตไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เขามองนักสาสน์เต๋าที่อยู่ข้างกายรอบหนึ่ง แล้วถามอย่างรู้สึกสงสัย: “ฟังจากคำพูดของเจ้า เหมือนต้องการให้ข้าได้รับการถ่ายทอดสืบสานของที่นี่มากเลยนะ?”

“ไม่เพียงแค่เจ้าเท่านั้น ขอแค่มีคนสามารถได้รับการถ่ายทอดสืบสาน ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ข้าแค่รู้สึกว่าโอกาสที่เจ้าจะได้รับนั้นมีมากกว่าเท่านั้นเอง”นักสาสน์เต๋ากล่าวเช่นนี้

“เพราะเหตุใดหรือ?”

“เพราะถ้าเกิดมีคนได้รับการถ่ายทอดสืบสานของที่นี่ เช่นนั้นข้าก็จะได้รับอิสระ อีกทั้งไม่เพียงข้าเท่านั้น เหล่านักสาสน์เต๋าที่รับผิดชอบตั้งมั่นรักษาอยู่ในด่านต่อ ๆ ไปก็จะได้รับอิสระเช่นกัน”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีคนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง นักสาสน์เต๋าไม่ได้พูดมากกับหลัวซิวต่อ พลิกฝ่ามือครั้งหนึ่งปราณกระบี่ก็ถูกฟาดฟันออกไป ซึ่งมีความล้ำลึกของพลังอมตะหลอมจิตแฝงเร้นอยู่ด้วย

“ฟึ่บ!”

จักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนหนึ่งลงมืออย่างไร้ความปราณี พลังอมตะวิชาหนึ่งได้ทำการทำลายเงาร่างของนักสาสน์เต๋าไป ก่อนจะมุ่งหน้าตรงมาทางประตูแสงเซียนทางหลัวซิว

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนนี้ก็ดูออกแล้วว่า ประตูแสงเซียนบานนี้ก็คือกุญแจสำคัญที่มุ่งไปสู่ด่านที่สอง

แต่ว่าเมื่อจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อคนนี้มองเห็นหลัวซิวที่อยู่หน้าประตูแสงเซียน เขาก็ผงะไปอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน จู่ ๆ ก็หยุดการเคลื่อนที่

ในขณะเดียวกัน เงาร่างของนักสาสน์เต๋าที่ถูกทำลายไปก็ผนึกรวมกันในแสงเซียนอีกครั้ง ลงมือโจมตีทุกคนที่คิดจะพุ่งมายังประตูแสงเซียน ขอแค่สามารถต้านทานปราณกระบี่หลอมจิตก็จะผ่านด่าน ต้านทานไม่ได้ก็จะถูกสังหาร

อย่างไรเสียผู้ที่เข้ามาที่นี่ล้วนมีผลการฝึกตนมกุฎเทพหกกงล้อเป็นต้นไป นอกจากมกุฎเทพหกกงล้อส่วนน้อยที่ศักยภาพค่อนข้างอ่อนถูกสังหารแล้ว คนส่วนมากล้วนผ่านด่านแรกไปได้อย่างง่ายดาย ต่างมารวมตัวกันอยู่ในละแวกใกล้เคียงของประตูแสงเซียน

สภาพแวดล้อมฟ้าดินในด่านที่สองของสถานสาสน์เต๋าแตกต่างจากด่านแรก หลังจากหลัวซิวปรากฏตัวที่นี่ ก็มีแสงเซียนปรากฏกลางท้องฟ้า นักสาสน์เต๋าของด่านที่สองปรากฏ

ในขณะเดียวกันก็มีเงาร่างที่ผนึกรวมมาจากแสงเซียนพุ่งสังหารลงมาเช่นกัน พุ่งตรงมาทางหลัวซิว ผลการฝึกตนของเงาร่างแสงเซียนเหล่านี้อยู่สูงกว่าด่านแรกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบรรลุถึงระดับมกุฎเทพหกกงล้อ

สำหรับหลัวซิวแล้ว ด่านสองก็ยังไม่มีความท้าทายอะไรอีกเช่นเคย เพียงพลังโจมตีเดียวเขาก็โค่นล้มนักสาสน์เต๋าไปได้อย่างง่ายดาย แล้วได้รับภาคต่อส่วนหนึ่งของพลังงานอมตะหลอมจิต

“ผู้เพื่อนยุทธ์ เชิญไปด่านที่สามเถิด นักสาสน์เต๋าของด่านที่สามอยู่ในแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ ซึ่งอยู่ระดับเดียวกันกับเจ้า ทว่าศักยภาพกลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แทบจะเทียบทัดมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อ”นักสาสน์เต๋าของด่านที่สองพูดกับหลัวซิว

“ต้องผ่านด่านทั้งหมด ถึงจะได้รับพลังอมตะหลอมจิตที่สมบูรณ์ครบถ้วนหรือ?”หลัวซิวมองไปทางนักสาสน์เต๋าของด่านที่สองพลางถาม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ