มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2908

“เวิ่ง!”

หอคอยฮวงลอยขึ้นฟ้า ทำการต้านทานกรงขังที่วิวัฒนาการออกมาจากผังค่าย

เมื่อเห็นว่ากระบี่เทพสีทองเล่มนั้นเฉือนสังหารเข้ามาแล้ว แววตาทั้งสองข้างของหลัวซิวเรียบนิ่งดั่งผิวน้ำ

“เข้าล็อกเดิม!”

เขาใช้มือทั้งสองข้างประสานอิน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาจะปลดปล่อยพลังอมตะที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมา

มีแสงเซียนตลบฟุ้งลอยวนอยู่รอบกายเขา ภายใต้การลดทอนจากสรรพวิถีล้วนว้าง พลานุภาพของกระบี่เทพสีทองจึงถูกลดทอนลงไปทีละระดับ

“โครม!”

พลังอมตะเข้าล็อกเดิมพุ่งชนเข้ากับกระบี่เทพสีทอง พลังอันน่ากลัวม้วนซัดระเบิด นักสาสน์เต๋าด่านสี่ที่มองดูการต่อสู้อยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกลยิ่งได้รับผลกระทบไปด้วย ร่างกายแตกสลายเป็นฝุ่นผง

“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”

ท่ามกลางแสงเซียน ร่างกายของนักสาสน์เต๋าผนึกรวมกลับมาใหม่อีกครั้ง ในฐานะที่เป็นนักสาสน์เต๋าของสถานที่ดังกล่าว การคงอยู่ของเขาเป็นอมตะ

เงยหน้าเพ่งมองออกไป แสงกลดวงหนึ่งกระพริบหายไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วอย่างยิ่ง บินเข้าไปในประตูแสงเซียนที่มุ่งไปสู่ด่านที่ห้า

“หลัวซิว เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”

เสียงหัวเราะที่เยือกเย็นดังขึ้น มือมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอถือกระบี่เทพที่มีเลือดติด เก็บผังค่ายกลับมาก่อนจะก้าวเท้ายาวเดินเข้าไปในประตู

พื้นที่ภายในด่านที่สี่จึงสงบนิ่งลงไปในทันที มีเพียงพลังควันหลงที่น่าสยดสยองนั่นม้วนซัดฟ้าดินอนัตตา นานมากก็ไม่อาจกลับไปสงบได้เหมือนเก่า

แผลกระบี่หนึ่งที่น่าสยดสยองแทบจะทะลวงทั้งร่างกายหลัวซิว แม้นเขาจะใช้พลังอมตะเข้าล็อกเดิมและสรรพวิถีล้วนว้างแล้ว แต่ก็ยังถูกพลังโจมตีที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี

หากมีหอคอยฮวงป้องกัน ต้องไม่เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ต่อให้มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอจะเก่งกาจมากเพียงใดก็ไม่มีทางทำลายเกราะป้องกันของหอคอยฮวงได้

ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับเรียกผังค่ายออกมาพันธนาการหอคอยฮวง แล้วใช้อาวุธเทพชีวีโจมตีร่างแท้เขาโดยตรง

มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าหลัวซิวจะสามารถต้านทานพลังโจมตีที่ทรงพลังนี้ได้ ทว่าเขากลับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าหลัวซิวบาดเจ็บสาหัสแล้ว ขอแค่ไม่ให้เขามีเวลาได้ฟื้นฟูพักหายใจ เขาก็ต้องได้ตายอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน

เมื่อทะลุผ่านประตูแสงเซียน หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองย่างกรายสู่ด่านที่ห้าแล้ว เมื่อเขามาถึงพื้นที่ปริภูมิดังกล่าว สีหน้าอารมณ์ก็ดูผงะไปเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้

เพราะมันแตกต่างจากสภาพแวดล้อมที่รกร้างว่างเปล่าในด่านที่สี่ พื้นที่ปริภูมิในด่านที่ห้านี้มีชีวิตชีวา ราวกับโลกาเล็ก ๆ หนึ่งใบ มีภูเขาใหญ่แม่น้ำลำธาร มีภูเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกันอย่างไม่ขาดสาย มีท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งกว้างใหญ่ มีพระจันทร์พระอาทิตย์

“แดนบรรพกาลเปิดอีกแล้วหรือ?”

จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงที่ไพเราะสะท้อนเข้ามาในหูหลัวซิว ถัดจากนั้นเขาก็เห็นว่ามีแสงเซียนดวงหนึ่งบินออกมาจากตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไป แล้วมาถึงตรงหน้าเขาภายในชั่วลมหายใจเดียว

คนดังกล่าวคือสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังเป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่งด้วย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกลักษณะหรือรูปโฉม ล้วนสวยล้ำเลิศที่สุดเลย

แต่น่าเสียดายที่นางดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว ร่างกายผนึกรวมมาจากแสงเซียน ซึ่งมีหน้าที่เฝ้ารักษาด่านที่ห้าของสถานสาสน์เต๋า

อ้างอิงจากระเบียบปฏิบัติในสี่ด่านแรก ทันทีที่มีคนบุกเข้ามาในสถานสาสน์เต๋า นักสาสน์เต๋าก็ล้วนแต่จะลงมืออย่างไม่ลังเลใจ มีเพียงโค่นล้มนักสาสน์เต๋าในทุก ๆ ด่านแล้ว ถึงจะได้รับการยอมรับ นักสาสน์เต๋าถึงจะไม่ลงมือโจมตีตัวเองต่อ

ณ เสี้ยววินาทีที่สตรีที่สวยเพลิศพริ้งนี่ปรากฏ หลัวซิวก็มีการระมัดระวังแล้ว เดิมทีคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมือต่อตนเอง แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือสตรีกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัย ทั้งยังไม่มีท่าทีที่จะลงมือด้วย

“ผลการฝึกตนของเจ้าเป็นเพียงจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้ออย่างนั้นหรือ?”สตรีสวยเพลิศพริ้งยิ่งอยู่ยิ่งตะลึง ในขณะเดียวกันภายในความรู้สึกตะลึงยังมีความหวังปนอยู่ด้วยเล็กน้อย

หลัวซิวยังไม่ทันได้ตอบกลับคำถามของฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากพลังออร่าที่แข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอได้ส่งตรงมาจากด้านหลังเขาแล้ว อีกทั้งมีจิตสังหารที่รวดเร็วและเฉียบคมอย่างยิ่งผนึกร่างเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

“มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลาย?”

สตรีสวยเพลิศพริ้งจับเงาร่างของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอได้อย่างรวดเร็ว แม้นนางจักไม่ได้ลงมือต่อหลัวซิว แต่กลับง้างฝ่ามือโจมตีสังหารไปทางมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอที่มีอนัตตานับแสนลี้คอยขวางกั้นอยู่

ฝ่ามือของนางขาวผ่องดุจหยก มีระลอกคลื่นหนึ่งลูกปรากฏกลางฝ่ามือ ดูดกลืนกลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางได้ฝึกพลังอมตะหลอมจิตขึ้นไปถึงแดนที่สูงส่งอย่างยิ่งแล้ว

สีหน้าของมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอเปลี่ยนไป เขาเข้าใจขึ้นมาได้ภายในพริบตาว่าผู้ที่ลงมือโจมตีตนน่าจะเป็นนักสาสน์เต๋าด่านห้า จึงรีบโบกสะบัดกระบี่เทพที่อยู่ในมือ ฟาดฟันแสงกระบี่ที่แวววาวจับตาออกไปหนึ่งดวง

เขาก็ตระหนักความล้ำลึกของพลังอมตะหลอมจิตได้เสี้ยวหนึ่งเช่นกัน แต่ทว่าแสงกระบี่ที่เขาฟาดฟันออกไปกลับถูกระลอกคลื่นที่อยู่กลางฝ่ามือที่ขาวผ่องนั่นดูดกลืน เหมือนดั่งโยนก้อนหินก้อนหนึ่งเข้าไปในมหาสมุทร ไม่เกิดเป็นคลื่นใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

“นี่มันจะมีทางเป็นไปได้อย่างไร?”

มหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ผลการฝึกตนของเขาคือมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลาย ทั้งยังยึดกุมธรรมดั้งเดิมสองประเภทด้วย มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูง ก็ไม่มีทางทลายพลังโจมตีของตัวเองได้ง่ายดายเช่นนี้แน่นอน

“เวิ่ง!”

ของขลังชิ้นหนึ่งบินออกมาจากร่างกายมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาทอ แต่ภายใต้การกลั่นแปรของพลังอมตะหลอมจิต พลานุภาพของของขลังคุ้มกันชิ้นนี้จึงถูกลดทอนลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นฝุ่นผงแล้วสลายหายไปกลางท้องฟ้า

สตรีงามเพลิศพริ้งนางนี้เฝ้าดูแลรักษาอยู่ในด่านที่ห้ามาไม่รู้ตั้งกี่ปีแล้ว การตระหนักรู้ในพลังอมตะหลอมจิตของนางบรรลุถึงแดนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

มากไปกว่านั้นคือหลัวซิวสามารถสัมผัสได้อยู่ว่า การยึดกุมธรรมเวชกาลล้นของสตรีงามเพลิศพริ้งนางนี้บรรลุถึงธรรมดั้งเดิมสำเร็จน้อยขั้นสูงตลอดจนแดนบริบูรณ์!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ