มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2942

ความสนใจของหลัวซิวล้วนเพ่งเล็งไปที่ตัวหยั่งรู้ของตัวเอง กำลังพิจารณาความเกี่ยวข้องระหว่างหอคอยฮวงที่สั่นเทิ้มเล็กน้อยและมกุฎเต๋าบรรพฮวง

ต่อให้เขาจะไม่ได้สังเกตลาดเลารอบกาย แต่เมื่อสตรีงามเพริศพริ้งคนหนึ่งปรากฏในละแวกใกล้เคียง ตัวสำนึกที่พเนจรอยู่ด้านนอกของหลัวซิวก็สัมผัสออร่าของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างว่องไวและเฉียบแหลมอยู่ดี

“เยว่เอ๋อร์ ระวัง!”

ทันใดนั้นเอง สีหน้าของหลัวซิวก็เปลี่ยนไป เนื่องจากมีมือใหญ่เพลิงอัคคีข้างหนึ่งปรากฏกะทันหัน แล้วขยำมาทางเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเขาโดยตรง

“โครม!”

พลังออร่าที่บ้าระห่ำพรั่งพรูออกมาจากตัวหลัวซิว ภายใต้ผลกระทบจากพลังออร่าที่บ้าระห่ำนี้ ทำให้อนัตตาที่อยู่รอบ ๆ แตกร้าวและพังทลายลงไป

แสงเซียงดวงหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เหมือนดั่งดาบกระบี่ เฉือนสับมือใหญ่เพลิงอัคคีที่ขยำมาทางเหยียนเยว่เอ๋อร์จนแตกสลาย

หลัวซิวสัมผัสได้ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์กำลังกุมมือตัวเองเอาไว้แน่น ๆ มีความประหม่าปรากฏบนใบหน้านางเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าหากไม่ใช่เพราะหลัวซิวสังเกตได้ทันท่วงที นางคงถูกฝ่ายตรงข้ามจับกุมไปตั้งนานแล้ว

เฟิ่งจิ่นมองหลัวซิวด้วยความตะลึงงันเล็กน้อย เดิมทีตัวนางก็เป็นผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่งอยู่แล้วนะ แม้นจะเป็นพลังโจมตีที่ปลดปล่อยออกไปอย่างสบายมือ ก็ไม่ใช่สิ่งที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อคนหนึ่งสามารถต้านทานได้

“ตาย!”

หลัวซิวกัดฟันแน่นพลางพูดอย่างเยือกเย็น ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่รวดเร็วและดุดัน

หากฝ่ายตรงข้ามจู่โจมตน บางทีจิตสังหารของหลัวซิวอาจไม่รุนแรงเช่นนี้ แต่ฝ่ายตรงข้ามถึงกับลงมือต่อเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเขา ซึ่งเท่ากับได้แตะต้องขีดจำกัดของเขาแล้ว

ทันทีที่มีความตะลึงปรากฏบนใบหน้าเฟิ่งจิ่น เงาร่างของหลัวซิวก็เทเลพอร์ตปรากฏตรงหน้านางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นกำปั้นของหลัวซิวก็ม้วนซัดลงมา ภายใต้การกดอัดอัดของกำปั้นนี้ ทำให้มีเสียงแตกร้าวดังมาจากปริภูมิที่อยู่รอบ ๆ เศษปริภูมิที่นับไม่ถ้วนลอยขึ้น ประกอบเป็นลักษณะของระลอกคลื่นลูกหนึ่ง แล้วพันธนาการอยู่บนกำปั้นของหลัวซิว

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง เฟิ่งจิ่นตอบสนองกลับมาได้ภายในพริบตา เห็นเพียงนางยกมือโบกครั้งหนึ่ง แสงไฟสองดวงจึงบินออกไป พุ่งชนเข้ากับกำปั้นของหลัวซิว

ตู้มม!

พลังควันหลงที่บ้าระห่ำม้วนซัดออกไป มีพลังที่เกะกะระรานระเบิดออกมาจากแสงไฟสองดวงที่เฟิ่งจิ่นปล่อยออกไป พลังนี้แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ต้านทานได้ยากมาก ก่อนที่ร่างกายจะกระเด็นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้

ส่วนเฟิ่งจิ่นกลับถอยหลังเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็ทลายพลังโจมตีในกำปั้นของหลัวซิวได้แล้ว

“ผู้สูงส่งช่วงปลาย!”

หลัวซิวทรงตัวให้นิ่ง รูม่านตาหดลงกะทันหัน เขานึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองยังไม่ได้เข้าสู่ห้วงดาราโลกร้าง ก็ได้ประสบพบเจอกับการจู่โจมของผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งช่วงปลายคนหนึ่งแล้ว

ส่วนผู้ที่ตะลึงมากกว่ากลับเป็นเฟิ่งจิ่น นางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าชายหนุ่มชุดดำที่ประมือกับตัวเอง ผลการฝึกตนของเขาไม่มีทางบรรลุถึงแดนผู้สูงส่งอย่างแน่นอน และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เองถึงทำให้นางรู้สึกตะลึงงันมากกว่าเดิม

ต้องท้าวความก่อนว่าผลการฝึกตนของนางคือผู้สูงส่งช่วงปลาย อย่าว่าแต่มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อเลย ต่อให้เป็นผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิและช่วงกลาง ก็ไม่กล้าต่อกรกับตัวเองโดยตรง ส่วนชายหนุ่มที่แม้แต่ผู้สูงส่งยังบรรลุไม่ถึงกลับทำเช่นนั้นได้ คนประเภทนี้ต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอย่างแน่นอน อนาคตหากคนประเภทนี้สามารถย่างกรายสู่แดนผู้สูงส่ง แล้วคู่ต่อสู้ทั้งปวงที่อยู่ต่ำกว่าประมุขเต๋า จักยังมีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีก?

ถึงแม้เมื่อครู่เฟิ่งจิ่นจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองก็ตาม แต่นางก็สามารถสัมผัสได้อยู่ว่าชายหนุ่มชุดดำคนนี้ก็มีการออมแรงเช่นกัน นางคาดการณ์ว่าแม้นตนจักเป็นผู้สูงส่งช่วงปลาย มากสุดก็แค่สามารถสยบฝ่ายตรงข้าม หากต้องการสังหารคนดังกล่าวนั้น คาดว่าน่าจะไม่มีทางเป็นไปได้

และสำหรับอัจฉริยะที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตเช่นนี้นั้น ทันทีที่ผูกอาฆาตแล้วไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ละก็ อนาคตเกรงว่าตนคงจะอยู่ไม่สุขแล้วล่ะ

“โปรดฟังข้าพูดอะไรก่อนได้หรือไม่?”เฟิ่งจิ่นไม่ได้ลงมือต่อ แต่เป็นการตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม

“ทำไม? เจ้าจะกำชับคำสั่งเสียอะไรหรือ?”หลัวซิวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง จิตสังหารที่อยู่บนตัวไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย

“หรือเจ้าคิดว่าตัวเองสามารถสังหารข้าได้จริง ๆ?”ใบหน้าของเฟิ่งจิ่นก็หม่นหมองลงไปเช่นกัน นางยอมรับว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นจอมยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่หากบอกว่าสามารถสังหารตัวเองได้นั้น นางกลับไม่เชื่อ

“จู่ ๆ เจ้าก็ลงมือต่อข้าอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ว่าจะสามารถสังหารเจ้าได้หรือไม่ได้ ข้าก็จะพยายามลองดูอย่างสุดกำลังสามารถ”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางตอบกลับ

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ร่างกายของหลัวซิวก็หายวับไปกับที่อีกครั้ง สำหรับหลัวซิวแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ฝ่ายตรงข้ามลงมือต่อเหยียนเยว่เอ๋อร์อย่างไร้เหตุผล ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีพื้นที่ที่สามารถปรับความเข้าใจกันได้อีกแล้ว

แต่ทว่าในขณะเดียวกันหลัวซิวก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน เหตุใดสตรีนางนี้จึงต้องจับกุมตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์?

แม้จะสงสัยมากก็ตาม แต่หลัวซิวกลับไม่มีความคิดที่จะสอบถาม ต่อให้จะถามก็ต้องรอเขาอบรมสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามก่อน ค่อยว่ากันอีกที

“ตราสรรพสิทธิ์!”

ด้วยAttrปริภูมิที่เปลี่ยนแปลงโดยอาศัยพลังเซียน หลัวซิวเทเลพอร์ตมาถึงด้านหลังเฟิ่งจิ่นภายในพริบตา วิชาตราประทับหนึ่งถูกปลดปล่อยออกไปจากฝ่ามือเขา เพียงพริบตาเดียวก็มีแสงเซียนที่ไร้ขอบเขตปะทุ วิวัฒนาการพลังอมตะหมื่นแสนออกมา

จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของหลัวซิว พลังอมตะวิชาหนึ่งที่ปลดปล่อยออกไปอย่างสบายมือล้วนสามารถเทียบเท่าพลานุภาพของผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งช่วงกลาง แต่ตราสรรพสิทธิ์กลับวิวัฒนาการพลังอมตะนับหมื่นแสนออกไปในทีเดียว อำนาจบารมีเช่นนี้ถือว่าน่าสยดสยองอย่างยิ่ง

พลังอมตะวิชานี้เป็นพลังที่เขาอนุมานริเริ่มด้วยวิถีไร้ลักษณ์ จากการที่แดนผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้น พลานุภาพของตราสรรพสิทธิ์ก็ยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งเช่นกัน

ภายใต้การโจมตีของพลังอมตะจำนวนมาก เกราะป้องกันและอุปสรรคทั้งปวงล้วนจะถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นฝุ่นผง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ