มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2943



ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง ทั้งยังเป็นผู้สูงส่งช่วงปลายด้วย เฟิ่งจิ่นมีความหยิ่งผยองในแบบของนางเอง

และเป็นเพราะความหยิ่งผยองนี้นี่แหละ นางจึงไม่อยากอธิบายอะไร ฉะนั้นถึงได้ลงมือใช้อำนาจอยากจับกุมตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์ไป

แต่เมื่อนางค้นพบว่าตนไม่สามารถใช้พละกำลังนำตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปได้ เฟิ่งจิ่นจึงทำได้เพียงเก็บความหยิ่งผยองนั่นกลับไป

เพราะเฟิ่งจิ่นเข้าใจดีมาก ๆ ว่าชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน อนาคตหากคนประเภทนี้ย่างกรายสู่แดนผู้สูงส่ง ไม่แน่เพียงกระบวนท่าเดียวเขาก็สามารถสังหารผู้สูงส่งช่วงปลายอย่างนางได้แล้ว

“เผ่าญาติวิหดเพลิง?”

หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยได้ยินกองกำลังดังกล่าวมาก่อนเลย อย่างน้อยจากระดับความเข้าใจในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของเขา ไม่มีการคงอยู่ของกองกำลังดังกล่าวแต่อย่างใด

“ใช่ เจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินเผ่าของเรามาก่อน แต่เผ่าญาติวิหดเพลิงของเรากลับสามารถเรียกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในจักรวาลนี้”

เฟิ่งจิ่นพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ขอแนะนำตัวก่อน ข้าชื่อเฟิ่งจิ่น เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งเผ่าญาติวิหดเพลิง หวังว่าเจ้าจักไม่ห้ามปรามให้ข้าพาสาวน้อยคนนั้นไปนะ”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เฟิ่งจิ่นก็ใช้นิ้วชี้ไปทางเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายหลัวซิว

เฟิ่งจิ่นต้องมองเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดทางสายเลือดที่ปรากฏด้านหลังเหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่แล้ว นี่จึงทำให้นางตื่นเต้นดีใจมาก เพราะดูจากปรากฏการณ์แปลกประหลาดนั่น ระดับสายเลือดของสาวน้อยที่ปลุกตื่นสายเลือดเซียนหงสาคนนี้สูงมาก!

ตั้งแต่โบราณกาลมา เผ่าญาติวิหดเพลิงจะพาผู้คนบางส่วนที่ปลุกตื่นสายเลือดกลับเผ่าญาติวิหดเพลิงอยู่เป็นระยะ แต่ผู้คนส่วนมากในเผ่าที่ปลุกตื่นสายเลือดแค่ได้รับสายเลือดระดับต่ำที่ค่อนข้างเบาบาง สายเลือดระดับสูงตลอดจนสายเลือดชั้นยอด ไม่เคยอุบัติขึ้นมาหลายยุคตรีภพแล้ว

“นางคือภรรยาของข้า ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางให้เจ้านำตัวนางไป”หลัวซิวตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง

หลัวซิวไม่มีวันลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกแสงดาวเลย เมื่อปีนั้นเผ่าหงส์คิดหาทุกวิถีทางเพื่อต้องการตัวเยว่เอ๋อร์ แท้จริงแล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาก็เพื่อได้รับสายเลือดที่อยู่ในร่างกายนางนี่แหละ

ส่วนคนในเผ่าญาติวิหดเพลิงกลับปรากฏที่นี่ จึงยากที่จะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่มีแผนการเดียวกับเผ่าหงส์ อย่างไรเสียหากเป็นผู้ที่มีพลังสายเลือดเหมือนกัน สามารถใช้วรยุทธ์และเคล็ดวิชาพิเศษมายึดครองสายเลือดของคนในเผ่า แล้วยกระดับสายเลือดของตัวเองได้

“เจ้าอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธข้า หากเจ้าฟังคำพูดถัดจากนี้ของข้าจนจบ หากเจ้ายังยืนยันไม่ให้นางไปพร้อมข้าละก็ เช่นนั้นข้าก็จักไม่ตื้อพวกเจ้าอีกแน่นอน”

ดูเหมือนการปฏิเสธของหลัวซิวจะอยู่ในการคาดหมายของเฟิ่งจิ่นยังไงอย่างนั้น อย่างไรเสียนางก็เป็นคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวกะทันหัน แล้วจักนำตัวภรรยาผู้อื่นไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นผู้ใด ก็ล้วนแต่จะปฏิเสธโดยสัญชาตญาณกันทั้งนั้นแหละ

ทว่าเฟิ่งจิ่นกลับยังคงมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เห็นเพียงสายตานางร่วงลงบนตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์ หากพูดให้แม่นยำหน่อยคือสายตานางเพ่งเล็งไปบนโลกาเพลิงอัคคีที่อยู่ด้านหลังเหยียนเยว่เอ๋อร์

“เจ้าก็น่าจะมองเห็นแล้วเหมือนกัน นางปลุกตื่นสายเลือดเซียนหงสา ฉะนั้นสายเลือดของนางจึงเริ่มแปรเปลี่ยนแล้ว จึงผนึกรวมตัวอ่อนเซียนหงสาออกมาหนึ่งใบ”

“แต่ทว่าหากไม่มีวรยุทธ์พิเศษมาหล่อเลี้ยงตัวอ่อนเซียนหงสาละก็ ตัวอ่อนเซียนหงสาก็จะไม่มีทางฟักออกมา มีแต่จะได้ตายอยู่ในใข่!”

“และทันทีที่วิญญาณหงสาที่ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ในตัวอ่อนเซียนหงสาตายไป เช่นนั้นนางที่มีสายเลือดเซียนหงสาก็จะตายเช่นกัน!”

เมื่อเฟิ่งจิ่นพูดคำพูดดังกล่าวออกมา แม้นความสนใจส่วนมากของหลัวซิวจะล้วนเพ่งเล็งไปบนตัวเฟิ่งจิ่นก็ตาม แต่ตัวสำนึกที่ล่องลอยอยู่บริเวณรอบ ๆ ของเขากลับสัมผัสได้อย่างว่องไวและเฉียบแหลมว่า สีหน้าของเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเปลี่ยนไปเล็กน้อย

นี่จึงทำให้หลัวซิวที่ยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อยในตอนแรกรู้สึกว่าคำพูดทั้งหมดที่เฟิ่งจิ่นกล่าวมา มีโอกาสเป็นจริงจริง ๆ

“หากเจ้าไม่เชื่อละก็ เจ้าสามารถถามภรรยาเจ้าได้เลย ในฐานะที่เป็นผู้มีสายเลือดเซียนหงสา นางเข้าใจดีกว่าทุกคนเลยว่าหากตัวอ่อนเซียนหงสาหล่อเลี้ยงไม่สำเร็จ ตัวนางต้องได้ตายอย่างแน่นอน!”เฟิ่งจิ่นเอ่ยปากพูด

หลัวซิวไม่ได้สนใจเฟิ่งจิ่น เขามองไปทางภรรยาที่อยู่ข้างกายด้วยแววตาเชิงสอบถาม

“ท่านสวามี ข้า……ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านกังวลใจ ข้าคิดหาวิธีมาโดยตลอด……”เหยียนเยว่เอ๋อร์ก้มหน้าลง นางก็ทราบเช่นกันว่าบัดนี้นางไม่สามารถปิดบังต่อไปได้อีกแล้ว

“ยัยบื้อเอ๊ย”

หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่นทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เขายื่นมือไปลูบเส้นผมที่ยาวสลวยของภรรยา “ต่อไปหากมีเรื่องอะไรก็อย่าปิดบังข้าอีกล่ะ”

หลัวซิวทราบความคิดในใจของเหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่ และเป็นเพราะเขาทราบนี่แหละ ถึงได้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น เพราะเขาเข้าใจดีอยู่ว่าสาเหตุที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่บอกตัวเองนั้น ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะกังวล นางอยากให้ตนเป็นสตรีที่คอยสนับสนุนสามีอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วงของเขา

นึกย้อนกลับไป ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการออกไปขัดเกลายกระดับผลการฝึกตนศักยภาพของตัวเองมาโดยตลอด ซึ่งใส่ใจต่อผู้คนที่อยู่ข้างกายน้อยไปจริง ๆ ดังนั้นเขาถึงไม่เคยสังเกตเลยว่าตัวเยว่เอ๋อร์เองกำลังแบกรับกับแรงกดดันบางอย่างที่เขาไม่ทราบ

ตั้งแต่พวกเขาสามีภรรยาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมา มีเรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูด ทว่าต่างก็เข้าใจกันดี

และแท้จริงแล้วความรู้สึกเช่นนี้มันก็เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อต่างตกอยู่ในความอันตราย ต่างก็จะกอดคอช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะเอ่ยปากพูดอยู่นั้น กลับถูกมือเล็กที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ปิดปากไว้ “ข้าทราบว่าท่านเป็นห่วงข้า ทว่าข้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงของท่านตลอดไป บางทีการไปเผ่าญาติวิหดเพลิงในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสหนึ่งของข้า หากสายเลือดของข้าสามารถแปรเปลี่ยนยกระดับ อนาคตก็จะสามารถช่วยเหลือท่านได้แล้ว แต่ไม่ใช่ทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ด้านหลังท่านตลอดไป มองดูท่านไปเผชิญหน้ากับอุปสรรคขวากหนามคนเดียว”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของภรรยา หัวใจหลัวซิวก็สั่นไหวเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้

การที่มีภรรยาเช่นนี้ ตนที่เป็นสามียังมีอะไรที่ไม่พอเพียงเล่า?

เขารู้อยู่ว่าแม้นเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ต่อหน้าเขาจะดูอ่อนแอ แท้จริงแล้วนางเป็นสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก นางมีความคิดของตัวเอง และมีเรื่องที่ตัวนางเองอยากทำเช่นกัน ในขณะเดียวกันนางก็มีสิ่งที่นางยืนหยัดด้วย

เมื่อถึงวินาทีนี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองจำเป็นต้องตัดสินใจ แม้เขาจะไม่อยากให้เยว่เอ๋อร์จากไปจากตัวเองมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็รู้อยู่ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้ก็คือให้เยว่เอ๋อร์เป็นคนไปจัดการเอง

……

สุดท้ายเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็จากไปพร้อมกับเฟิ่งจิ่น และสิ่งที่หลัวซิวทำได้ก็มีเพียงร่ายตราประทับหนึ่งลงไปในร่างกายเหยียนเยว่เอ๋อร์ ขณะที่พวกนางทั้งสองต่างไม่ทันได้สังเกต

วิถีไร้ลักษณ์เปลี่ยนแปลงได้เป็นร้อยแปดพันเก้า ไร้ร่องรอยซึ่งสามารถสืบเสาะ หลัวซิวเชื่อว่าต่อให้ในเผ่าญาติวิหดเพลิงจะมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า ก็ไม่มีทางค้นพบตราประทับที่เขาทิ้งไว้บนตัวเยว่เอ๋อร์แน่นอน

เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าเมื่อเยว่เอ๋อร์จากไปแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่นางถึงจะสามารถกลับมาข้างกายตน ยิ่งกว่านั้นคือมีความเป็นไปได้สูงมากว่าเผ่าญาติวิหดเพลิงอาจไม่ยอมปล่อยให้นางจากมาง่าย ๆ เช่นนั้นอนาคตคอยเขามีเวลาว่างเมื่อไหร่ เขาก็สามารถสะกดรอยตามออร่าตราประทับ เดินทางไปเผ่าญาติวิหดเพลิงด้วยตนเองหนึ่งรอบ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะนำภรรยาตัวเองกลับมาให้ได้

โคจรพลังเซียนไร้ลักษณ์ หลัวซิวเปลี่ยนแปลงออร่าและโฉมหน้าของตัวเอง กลายเป็นชายหนุ่มผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่อยู่ในชุดขาว แล้วเข้าสู่ห้วงดาราของโลกร้าง อีกทั้งมาถึงแผ่นดินหลักของโลกร้าง

เพียงพริบตาเดียว เวลาเกือบครึ่งปีก็ล่วงเลยไป ในระหว่างนี้หลัวซิวก็สืบเสาะเบาะแสของต้วนคงรวมไปถึงพวกเหยียนซีโรว่มาโดยตลอด

นอกเหนือจากนี้แล้ว ตั้งแต่มาถึงห้วงดาราโลกร้างเป็นต้นมา หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้ลาง ๆ ว่ามีพลังออร่าที่เบาบางถูกหอคอยฮวงที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ดูดซับ ซึ่งพลังออร่าเหล่านั้นเบาบางมาก ๆ หากไม่ใช่เพราะตัวสำนึกของเขาแข็งแกร่ง ก็อาจจะสัมผัสไม่ได้เลย

พลังออร่าเหล่านี้มาจากฟ้าดินในโลกร้าง ราวกับมีอยู่ทุกแห่งหน ราวกับถูกหอคอยฮวงที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาเรียกให้มารวมตัวกัน

การค้นพบนี้ทำให้หลัวซิวมีการคาดคะเนโดยคร่าว ๆ ถ้าเกิดบอกว่าโลกาดาราของโลกร้างบุกเบิกวิวัฒนาการออกมาโดยบรรพจารย์ฮวงหลอมรวมเข้ากับหอคอยฮวง เช่นนั้นก็เท่ากับว่ามกุฎเต๋าบรรพฮวงเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงดาราแห่งนี้ รวมไปถึงหอคอยฮวง

อย่างนั้นก็แสดงว่าหลังจากมกุฎเต๋าบรรพฮวงถูกสังหาร อันที่จริงเขาอาจจะไม่ได้ตายไปอย่างแท้จริง ทว่าเนื่องจากดั้งเดิมของเขาหลอมรวมเข้ากับห้วงดาราโลกร้างและหอคอยฮวงตั้งนานแล้ว ภายใต้การเรียกหาของหอคอยฮวง ออร่าดั้งเดิมของเขาที่หลอมรวมเข้ากับห้วงดาราโลกร้างก็จะผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง และมกุฎเต๋าบรรพฮวงก็มีโอกาสอาศัยหอคอยฮวง รวมไปถึงโลกาดาราอย่างโลกร้าง กลับมากำเนิดใหม่!

แน่นอนอยู่แล้วว่านี่จะเป็นขั้นตอนการที่ค่อนข้างยาวนานมาก อย่างไรเสียการที่จะให้ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งคนหนึ่งฟื้นคืนชีพกลับมาได้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ