มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2962

แม้ว่าจะได้รับข่าวกรองที่ตนเองต้องการมาแล้ว อย่างไรก็ตามหลัวซิวก็มิได้เริ่มปฏิบัติการโดยทันที

เข้าได้ปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของตนเองแล้ว ด้วยแดนการฝึกตนในตอนนี้ของเขา เขาเชื่อว่านอกเสียจากเขาจะเป็นคนปรากฏตัวต่อหน้าผู้แกร่งเลิศคนหนึ่งเอง มิเช่นนั้นต่อให้เป็นประมุขเต๋าก็อย่าหวังว่าจะมองกลิ่นอายและรูปร่างหน้าตาที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของเขาออกได้ง่าย ๆ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกพักที่โรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักหลักเมืองเป็นการชั่วคราว ข่าวกรองทั้งสามเรื่องนี้ของเทียนหวางโหลวมีมูลค่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะข่าวกรองสองเรื่องสุดท้าย ได้แลกมาด้วยหินบรรพไท่ชูทั้งหมดที่มีอยู่ในแหวนเก็บของของหลัวซิว สำหรับทรัพยากรฝึกตนอย่างไข่มุกเต๋า เขาได้ใช้มันหมดไปตั้งแต่ตอนทะลวงแดนผู้สูงส่งแล้ว

อย่างไรก็ตามเขาก็เคยกำจัดผู้สูงส่งมาก่อนหลายคน ดังนั้นในแหวนของเขาจึงมีวัสดุกับยาเซียนขั้นสูงอยู่จำนวนมาก รวมทั้งอาวุธเทพของขลังต่าง ๆ นานา แค่เลือกขายชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็สามารถแลกหินบรรพไท่ชูมาได้มากมายแล้ว

ดังนั้นสิ่งแรกที่หลัวซิวทำก็คือนำวัสดุระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรบางจำนวนไปขาย แม้ว่าระดับของวัสดุพวกนี้จะไม่นับว่าต่ำนัก แต่มันก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจและปัญหาอะไรมาให้เป็นพิเศษ และเขาได้ใช้หินบรรพไท่ชูที่แลกมาได้ เอามาเช่าห้องของโรงเตี๊ยมระยะยาวห้องหนึ่ง

ช่วงเวลาต่อจากนั้น หลัวซิวได้เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของตนเองในทุก ๆ สองสามวัน วนเวียนอยู่ใกล้กับตำหนักหลักเมือง

ตามที่เขาได้สังเกตการณ์ ตำหนักหลักเมืองแห่งนี้กินพื้นที่ไม่ค่อยกว้างนัก ส่วนคุกใหญ่ของเมืองเตาเซียนนั้นตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนักหลักเมือง

เพียงชั่วพริบตาเวลาหนึ่งเดือนกว่า ๆ ก็ได้ผ่านไป หลัวซิวไม่พบเห็นความผิดปกติใด ๆ ดังนั้นเขาจึงได้เตรียมปฏิบัติการ

หลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง หลัวซิวก็สามารถสร้างค่ายกลระดับผู้สูงส่งได้แล้ว อานุภาพของค่ายกลชั้นยอดเช่นนี้ ได้บรรลุถึงระดับผู้แกร่งเลิศเป็นที่เรียบร้อย

สถานที่อย่างตำหนักหลักเมืองย่อมจะขาดค่ายกลต้องห้ามต่าง ๆ นานาไปไม่ได้ ในเมื่อคนตระกูงหงชำนาญการกลั่นยาและหลอมอาวุธ เช่นนั้นความรู้ความเข้าใจด้านค่ายกลก็ย่อมจะไม่ต่ำอย่างแน่นอน ตามที่หลัวซิวได้สังเกตการณ์ ค่ายกลที่อยู่รอบ ๆ ตำหนักหลักเมืองก็คือค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นยอด

หลัวซิวเคยประมือกับผู้สูงส่งอัมพรเทวมาก่อน ดังนั้นเขาจึงทราบดีว่ายอดฝีมือระดับผู้แกร่งเลิศนั้นร้ายกาจเพียงใด แม้ว่าความสามารถของเขาในตอนนี้จะรับมือกับผู้แกร่งเลิศได้แล้วแต่เขากลับไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถสิ้นสุดการต่อสู้ภายในเวลาอันสั้นได้

เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะบุกเข้าไปในตำหนักหลักเมืองอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้ แม้เขาจะนับว่าเป็นมหาราชันย์วิถีค่ายผู้หนึ่ง แต่ถ้าหากเขาถูกค่ายกลระดับเดียวกันนี้ผูกมัดเอาไว้ เขาก็อย่าหวังว่าจะหลุดพ้นในระยะเวลาอันสั้นได้เลย

และทันทีที่เขาถูกผูกมัดเอาไว้ ไม่แน่ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งของตระกูลหงอาจจะรีบมาในทันที เช่นนั้นแล้วเขาก็อย่าคิดว่าจะหนีรอดได้เลย

นี้ด้วยเหตุ แผนการของหลัวซิวก็คือสร้างค่ายกลที่ใหญ่กว่าขึ้นมาบริเวณรอบ ๆ ตำหนักหลักเมือง ค่ายกลที่ว่านี้ จะครอบคลุมค่ายกลต้องห้ามของทั่วทั้งตำหนักหลักเมือง รวมค่ายกลต้องห้ามที่อยู่บริเวณใกล้เคียงตำหนักหลังเมืองเอาไว้ด้านใน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสร้างค่ายกลชนิดนี้นั้นมันยากมาก และประเด็นสำคัญก็คือ ยิ่งเป็นค่ายกลชั้นยอด ก็ยิ่งจำเป็นต้องมีวัสดุชั้นยอดมาเป็นตัวสนับสนุน

นับเป็นความโชคดี หลัวซิวไม่ขาดวัสดุ ดังนั้นตราบใดที่เขามีเวลาที่เพียงพอ เขาก็จะสามารถสร้างค่ายกลเช่นนี้ขึ้นมาได้

เขาเคยสังหารประมุขเต๋ามาสองคน สังหารผู้สูงส่งมาหลายคน ดังนั้นสิ่งที่ไม่ขาดเลยในแหวนของหลัวซิวก็คือวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุระดับผู้สูงส่งหรือจะจะเป็นวัสดุระดับประมุขเต๋าก็ตาม

ภายในห้องของโรงเตี๊ยม ก่อนอื่นเขาได้สร้างค่ายกลต้องห้ามปิดกั้นบริเวณ จากนั้นก็ล้วงเอาวัสดุต่าง ๆ ออกมา ขณะเดียวกันก็เสกเรียกขวดเซียนอัคคีหลอมจิตออกมาอยากระมัดระวัง

ขวดเซียนอัคคีหลอมจิตเป็นภัณฑ์เซียนระดับมนุษย์อมตะ มีเพลิงอัคคีระดับเซียนแฝงอยู่ด้านใน แม้ว่าจะได้กลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นหนึ่งแล้ว แต่การขับเคลื่อนภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ด้วยผลการฝึกตนของหลัวซิว แม้ว่าจะสามารถกระตุ้นเพลิงอัคคีที่ร้ายกาจออกมาได้ แต่นอกเสียจากอีกฝ่ายยื่นอย่างไม่ขยับ มิเช่นนั้นเขาก็อย่างหวังว่าจะใช้เพลิงอัคคีทำร้ายอีกฝ่ายได้

ประโยชน์ที่แท้จริงของภัณฑ์เซียนชิ้นนี้คือดูดศัตรูเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ขับเคลื่อนเพลิงอัคคีที่อยู่ด้านในกลั่นแปรอีกฝ่ายจนตาย ทว่าด้วยผลการฝึกตนของหลัวซิว ยังไม่อาจขับเคลื่อนคุณสมบัตินี้ของขวดเซียนอัคคีหลอมจิตได้

สาเหตุที่เขานำภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ออกมา จุดประสงค์คือเพื่อกลั่นแปรวัสดุระดับประมุขเต๋า

แม้ว่าอัคคีแห่งชีวีที่เขาเพิ่งผนึกรวมได้ไม่นานจะอาศัยไฟอมฤตชูหยวนเลื่อนขั้นถึงผู้สูงส่งชั้นยอด แต่ก็ยังห่างจากการลอกคราบกลายเป็นอัคคีแห่งประมุขเต๋าอยู่อีกไกลนัก ย่อมไม่อาจกลั่นแปรวัสดุระดับนี้ได้เป็นธรรมดา

ดังนั้นเขาจะต้องสร้างค่ายกลที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงระดับค่ายกล ก็ได้แต่มุ่งใส่ใจไปที่วัสดุแล้ว

กลั่นแปรวัสดุระดับประมุขเต๋าโดยใช้เพลิงอัคคีที่อยู่ในขวดเซียนอัคคีหลอมจิต จากนั้นก็ใช้วัสดุระดับประมุขเต๋าหลอมเป็นธงค่าย ผังค่าย เช่นนั้นแม้ว่าค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นมาจะยังคงเป็นค่ายกลผู้สูงส่งชั้นยอดอยู่เหมือนเดิม แต่รับประกันได้ว่าอานุภาพไม่อาจนำมาเทียบกันได้อย่างแน่นอน

สองชั่วยามหลังจากนั้น หลัวซิวก็ได้หยุดลง จากนั้นก็ล้วงเอายาออกมาแล้วทาน เพื่อฟื้นฟูพลังผลการฝึกตนที่สูญเสียไป

อย่างไรเสียก็เป็นของขลังระดับภัณฑ์เซียน หากไม่ใช้เพราะหลัวซิวได้ผนึกรวมกำลังเซียนเป็นที่เรียบร้อย เขาคงไม่มีทางขับเคลื่อนได้เลย แต่อาศัยผลการฝึกตนในตอนนี้ของเขา เพียงแค่ขับเคลื่อนเป็นเวลาสองชั่วยาม ก็ได้ใช้พลังผลการฝึกตนของเขาไปจนเกือบหมด

และเวลาสองชั่วยาม เขาได้กลั่นแปรวัสดุไปเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเอง ยึดตามความคืบหน้าเช่นนี้ เพียงแค่กลั่นแปรวัสดุเขาก็ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปีเป็นอย่างน้อย จากนั้นค่อยหลอมธงค่ายผังค่าย เช่นนั้นรวมกันแล้วจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่า ๆ

......

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ