แม้ว่าจะได้รับข่าวกรองที่ตนเองต้องการมาแล้ว อย่างไรก็ตามหลัวซิวก็มิได้เริ่มปฏิบัติการโดยทันที
เข้าได้ปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของตนเองแล้ว ด้วยแดนการฝึกตนในตอนนี้ของเขา เขาเชื่อว่านอกเสียจากเขาจะเป็นคนปรากฏตัวต่อหน้าผู้แกร่งเลิศคนหนึ่งเอง มิเช่นนั้นต่อให้เป็นประมุขเต๋าก็อย่าหวังว่าจะมองกลิ่นอายและรูปร่างหน้าตาที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของเขาออกได้ง่าย ๆ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกพักที่โรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักหลักเมืองเป็นการชั่วคราว ข่าวกรองทั้งสามเรื่องนี้ของเทียนหวางโหลวมีมูลค่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะข่าวกรองสองเรื่องสุดท้าย ได้แลกมาด้วยหินบรรพไท่ชูทั้งหมดที่มีอยู่ในแหวนเก็บของของหลัวซิว สำหรับทรัพยากรฝึกตนอย่างไข่มุกเต๋า เขาได้ใช้มันหมดไปตั้งแต่ตอนทะลวงแดนผู้สูงส่งแล้ว
อย่างไรก็ตามเขาก็เคยกำจัดผู้สูงส่งมาก่อนหลายคน ดังนั้นในแหวนของเขาจึงมีวัสดุกับยาเซียนขั้นสูงอยู่จำนวนมาก รวมทั้งอาวุธเทพของขลังต่าง ๆ นานา แค่เลือกขายชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็สามารถแลกหินบรรพไท่ชูมาได้มากมายแล้ว
ดังนั้นสิ่งแรกที่หลัวซิวทำก็คือนำวัสดุระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรบางจำนวนไปขาย แม้ว่าระดับของวัสดุพวกนี้จะไม่นับว่าต่ำนัก แต่มันก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจและปัญหาอะไรมาให้เป็นพิเศษ และเขาได้ใช้หินบรรพไท่ชูที่แลกมาได้ เอามาเช่าห้องของโรงเตี๊ยมระยะยาวห้องหนึ่ง
ช่วงเวลาต่อจากนั้น หลัวซิวได้เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของตนเองในทุก ๆ สองสามวัน วนเวียนอยู่ใกล้กับตำหนักหลักเมือง
ตามที่เขาได้สังเกตการณ์ ตำหนักหลักเมืองแห่งนี้กินพื้นที่ไม่ค่อยกว้างนัก ส่วนคุกใหญ่ของเมืองเตาเซียนนั้นตั้งอยู่ในส่วนลึกของตำหนักหลักเมือง
เพียงชั่วพริบตาเวลาหนึ่งเดือนกว่า ๆ ก็ได้ผ่านไป หลัวซิวไม่พบเห็นความผิดปกติใด ๆ ดังนั้นเขาจึงได้เตรียมปฏิบัติการ
หลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง หลัวซิวก็สามารถสร้างค่ายกลระดับผู้สูงส่งได้แล้ว อานุภาพของค่ายกลชั้นยอดเช่นนี้ ได้บรรลุถึงระดับผู้แกร่งเลิศเป็นที่เรียบร้อย
สถานที่อย่างตำหนักหลักเมืองย่อมจะขาดค่ายกลต้องห้ามต่าง ๆ นานาไปไม่ได้ ในเมื่อคนตระกูงหงชำนาญการกลั่นยาและหลอมอาวุธ เช่นนั้นความรู้ความเข้าใจด้านค่ายกลก็ย่อมจะไม่ต่ำอย่างแน่นอน ตามที่หลัวซิวได้สังเกตการณ์ ค่ายกลที่อยู่รอบ ๆ ตำหนักหลักเมืองก็คือค่ายกลระดับผู้สูงส่งชั้นยอด
หลัวซิวเคยประมือกับผู้สูงส่งอัมพรเทวมาก่อน ดังนั้นเขาจึงทราบดีว่ายอดฝีมือระดับผู้แกร่งเลิศนั้นร้ายกาจเพียงใด แม้ว่าความสามารถของเขาในตอนนี้จะรับมือกับผู้แกร่งเลิศได้แล้วแต่เขากลับไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถสิ้นสุดการต่อสู้ภายในเวลาอันสั้นได้
เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะบุกเข้าไปในตำหนักหลักเมืองอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้ แม้เขาจะนับว่าเป็นมหาราชันย์วิถีค่ายผู้หนึ่ง แต่ถ้าหากเขาถูกค่ายกลระดับเดียวกันนี้ผูกมัดเอาไว้ เขาก็อย่าหวังว่าจะหลุดพ้นในระยะเวลาอันสั้นได้เลย
และทันทีที่เขาถูกผูกมัดเอาไว้ ไม่แน่ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งของตระกูลหงอาจจะรีบมาในทันที เช่นนั้นแล้วเขาก็อย่าคิดว่าจะหนีรอดได้เลย
นี้ด้วยเหตุ แผนการของหลัวซิวก็คือสร้างค่ายกลที่ใหญ่กว่าขึ้นมาบริเวณรอบ ๆ ตำหนักหลักเมือง ค่ายกลที่ว่านี้ จะครอบคลุมค่ายกลต้องห้ามของทั่วทั้งตำหนักหลักเมือง รวมค่ายกลต้องห้ามที่อยู่บริเวณใกล้เคียงตำหนักหลังเมืองเอาไว้ด้านใน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสร้างค่ายกลชนิดนี้นั้นมันยากมาก และประเด็นสำคัญก็คือ ยิ่งเป็นค่ายกลชั้นยอด ก็ยิ่งจำเป็นต้องมีวัสดุชั้นยอดมาเป็นตัวสนับสนุน
นับเป็นความโชคดี หลัวซิวไม่ขาดวัสดุ ดังนั้นตราบใดที่เขามีเวลาที่เพียงพอ เขาก็จะสามารถสร้างค่ายกลเช่นนี้ขึ้นมาได้
เขาเคยสังหารประมุขเต๋ามาสองคน สังหารผู้สูงส่งมาหลายคน ดังนั้นสิ่งที่ไม่ขาดเลยในแหวนของหลัวซิวก็คือวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุระดับผู้สูงส่งหรือจะจะเป็นวัสดุระดับประมุขเต๋าก็ตาม
ภายในห้องของโรงเตี๊ยม ก่อนอื่นเขาได้สร้างค่ายกลต้องห้ามปิดกั้นบริเวณ จากนั้นก็ล้วงเอาวัสดุต่าง ๆ ออกมา ขณะเดียวกันก็เสกเรียกขวดเซียนอัคคีหลอมจิตออกมาอยากระมัดระวัง
ขวดเซียนอัคคีหลอมจิตเป็นภัณฑ์เซียนระดับมนุษย์อมตะ มีเพลิงอัคคีระดับเซียนแฝงอยู่ด้านใน แม้ว่าจะได้กลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นหนึ่งแล้ว แต่การขับเคลื่อนภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ด้วยผลการฝึกตนของหลัวซิว แม้ว่าจะสามารถกระตุ้นเพลิงอัคคีที่ร้ายกาจออกมาได้ แต่นอกเสียจากอีกฝ่ายยื่นอย่างไม่ขยับ มิเช่นนั้นเขาก็อย่างหวังว่าจะใช้เพลิงอัคคีทำร้ายอีกฝ่ายได้
ประโยชน์ที่แท้จริงของภัณฑ์เซียนชิ้นนี้คือดูดศัตรูเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ขับเคลื่อนเพลิงอัคคีที่อยู่ด้านในกลั่นแปรอีกฝ่ายจนตาย ทว่าด้วยผลการฝึกตนของหลัวซิว ยังไม่อาจขับเคลื่อนคุณสมบัตินี้ของขวดเซียนอัคคีหลอมจิตได้
สาเหตุที่เขานำภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ออกมา จุดประสงค์คือเพื่อกลั่นแปรวัสดุระดับประมุขเต๋า
แม้ว่าอัคคีแห่งชีวีที่เขาเพิ่งผนึกรวมได้ไม่นานจะอาศัยไฟอมฤตชูหยวนเลื่อนขั้นถึงผู้สูงส่งชั้นยอด แต่ก็ยังห่างจากการลอกคราบกลายเป็นอัคคีแห่งประมุขเต๋าอยู่อีกไกลนัก ย่อมไม่อาจกลั่นแปรวัสดุระดับนี้ได้เป็นธรรมดา
ดังนั้นเขาจะต้องสร้างค่ายกลที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงระดับค่ายกล ก็ได้แต่มุ่งใส่ใจไปที่วัสดุแล้ว
กลั่นแปรวัสดุระดับประมุขเต๋าโดยใช้เพลิงอัคคีที่อยู่ในขวดเซียนอัคคีหลอมจิต จากนั้นก็ใช้วัสดุระดับประมุขเต๋าหลอมเป็นธงค่าย ผังค่าย เช่นนั้นแม้ว่าค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นมาจะยังคงเป็นค่ายกลผู้สูงส่งชั้นยอดอยู่เหมือนเดิม แต่รับประกันได้ว่าอานุภาพไม่อาจนำมาเทียบกันได้อย่างแน่นอน
สองชั่วยามหลังจากนั้น หลัวซิวก็ได้หยุดลง จากนั้นก็ล้วงเอายาออกมาแล้วทาน เพื่อฟื้นฟูพลังผลการฝึกตนที่สูญเสียไป
อย่างไรเสียก็เป็นของขลังระดับภัณฑ์เซียน หากไม่ใช้เพราะหลัวซิวได้ผนึกรวมกำลังเซียนเป็นที่เรียบร้อย เขาคงไม่มีทางขับเคลื่อนได้เลย แต่อาศัยผลการฝึกตนในตอนนี้ของเขา เพียงแค่ขับเคลื่อนเป็นเวลาสองชั่วยาม ก็ได้ใช้พลังผลการฝึกตนของเขาไปจนเกือบหมด
และเวลาสองชั่วยาม เขาได้กลั่นแปรวัสดุไปเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเอง ยึดตามความคืบหน้าเช่นนี้ เพียงแค่กลั่นแปรวัสดุเขาก็ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปีเป็นอย่างน้อย จากนั้นค่อยหลอมธงค่ายผังค่าย เช่นนั้นรวมกันแล้วจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่า ๆ
......
หากเทียบกัน หงบูเพิ่งฝึกตนเป็นเวลาประมาณหนึ่งหมื่นปีเท่านั้น สามารถมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ว่าหงบูคือรุ่นหลานของหงเทียนหมิง ส่วนหงซ่วยกลับเป็นบุตรชายของหงเทียนหมิง ในแง่ของความอาวุโส แม้ว่าหงบูจะมีผลการฝึกตนที่สูงกว่า เมื่อพบกับหงซ่วยก็ยังต้องเรียกท่านอา
หงซ่วยเองก็รู้ว่าชาตินี้ผลการฝึกตนของตัวเองหากสามารถบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าได้ก็นับว่าสุดยอดแล้ว ดังนั้นเขาเลยไม่พยายามที่จะฝึกตนอีกต่อไป วัน ๆ เอาแต่สำมะเลเทเมา พูดได้ว่าเป็นลูกผู้ดีที่ไม่เอาไหนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองเตาเซียน
หงเทียนหมิงรู้สึกผิดหวังมากสำหรับบุตรชายคนนี้ ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าอีกไม่กี่ปี จะส่งเขาออกไป ด้วยผลการฝึกตนแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดของเขาอยู่ในตระกูลหงไม่นับอะไร แต่ถ้าอยู่ในโลกล้น ก็พูดได้ว่าแข็งแกร่งพอสมควร บวกกับที่เขาเป็นบุตรของเจ้าเมืองเตาเซียนอย่างตนเอง คาดว่าต่อให้ส่งเขาออกไป ก็คงไม่มีใครกล้ามาล่วงเกินเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ในเมืองเตาเซียนเป็นหลักทรัพย์ของตระกูลหงเกือบทั้งหมด เป็นธรรมดาที่หงซ่วยจะมีตำหนักมากมายอยู่ในเมือง ตำหนักแต่ละแห่งล้วนเป็นเรือนหรูซ่อนหญิงงาม เสียงดนตรีดังระงมในทุกคน มึนเมาเพ้อฝันไปวัน ๆ
ทว่าหงซ่วยกลับคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองได้ตกเป็นเป้าหมายของใครบางคนเสียแล้ว ภายในเมืองเตาเซียน มีคนกล้าลงมือกับบุตรชายของเจ้าเมืองเตาเซียนอย่างนั้นหรือ?
เพียงแต่หงซ่วยไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนว่าคนที่ลงมือกับตนคนนั้นเป็นผู้ใดกัน บนเตียงวงกลมขนาดใหญ่ เขากำลังดื่มด่ำเพลิดเพลินไปกับโฉมงามประดุจหยกดั่งมาลีหลายคนที่ห้อเหยียดอยู่บนร่าง จากนั้นก็รู้สึกว่ามีเสียงดังอื้ออยู่ในหัว แล้วสิ้นสติไปในวินาทีต่อมา
หลัวซิวที่สวมอยู่ในชุดคลุมดำขมวดคิ้ว เนื่องจากในห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเปื่อย มีภาพวาดหญิงชายเปลือยกายแขนอยู่บนผนังทั่วห้อง บรรดาสตรีที่งดงามดั่งบุปผาซึ่งอยู่บนเตียงวงกลมบ้างถูกจับมัดบ้าง บ้างได้ทานยาที่ทำให้เกิดภาพหลอนบางชนิด บ้างก็อยู่ในท่าทางที่ผู้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงหัวใจเต้นแรง
นักยุทธ์ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีความปรารถนาเช่นเดียวกัน เที่ยวนารีเป็นเรื่องที่ว่ากันไม่ได้ แต่คนที่หมกมุ่นจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างหงซ่วย เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ในชาตินี้ นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว
เมื่อเห็นหงซ่วยถูกคนตีจนสลบไป มีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏขึ้นมาในห้อง บรรดาสตรีที่อยู่บนเตียงวงกลมต่างพากันกรีดร้องขึ้นมา
แต่หลัวซิวได้สร้างลายค่ายปิดกั้นกลิ่นอายและเสียงตั้งแต่ตอนเข้ามายังที่นี่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าพวกนางจะร้องเรียกเช่นไร ก็ไม่มีทางที่คนภายนอกจะได้ยินเสียงจากข้างในนี้
ยกมือขึ้นโบก สตรีพวกนั้นต่างก็สลบไป หลัวซิวยกมือขึ้นวาดลายค่ายบางอย่างอีกครั้ง จากนั้นก็ขังสตรีพวกนั้นกับหงซ่วยเอาไว้ในค่ายกลนี้
และหลังจากนั้น หลัวซิวก็พลันเปลี่ยนไป ใช้พลังเซียนไร้ลักษณ์แปลงกาย กลายเป็นหงซ่วย แล้วเดินออกไปจากห้องอย่างวางมาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...