“คุณชาย”
ตอนที่หลัวซิวมาถึงตำหนักหลักเมืองในร่างของหงซ่วย องครักษ์สองคนที่เฝ้าประตูได้ประสานมือทักทาย แต่เขากลับมองไปเห็นความเคารพอยู่ในสายตาขององครักษ์ทั้งสองคนนี้เลย
ในโลกของการฝึกยุทธ์ แนวคิดผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ได้ฝังลึกลงไปในหัวใจของผู้คนแล้ว ไม่ว่าชาติกำเนิดของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด หากเจ้าไม่มีฝีมือที่แข็งแกร่งพอ คนอื่นจะปฏิบัติกับเจ้าอย่างเกรงใจเพราะฐานะของเจ้า แต่จะไม่เคารพเจ้าเนื่องจากฐานะของเจ้าอย่างแน่นอน
แต่หลัวซิวกลับมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ เขาเพียงแค่พยักหน้าอย่างเรียบ ๆ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักหลักเมือง
สาเหตุที่เขาไม่สังหารหงซ่วย นั่นย่อมเป็นเพราะเขากลัวว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้วัวตื่น เพราะไม่ว่าอย่างไรหงซ่วยก็เป็นบุตรของหงเทียนหมิง แม้ว่าพรสวรรค์สติปัญญาจะแย่ไปหน่อย แต่ถ้าหากตายไป หงเทียนหมิงจะต้องรับรู้ได้ในทันทีอย่างแน่นอน
ไม่เพียงเท่านี้ หลัวซิวยังได้เอาแหวนเก็บของและเสื้อผ้าอาภรณ์ของหงซ่วยนำมาด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีช่องโหว่เนื่องจากของประจำกายใด ๆ ที่อาจทำให้ตนเองถูกเปิดโปง
ที่ทำให้หลัวซิวคิดไม่ถึงก็คือ เขาเพิ่งจะเข้ามาในตำหนักหลักเมือง เงาร่างของคนที่คุ้นเคยผู้หนึ่งก็ได้ปรากฏตัวในสายตาของเขา
บุรุษที่ยังดูเป็นหนุ่ม รูปร่างแข็งแรงกำยำคนหนึ่งได้เดินตรงเข้ามาหา เป็นหงบูผู้ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในรุ่นคนหนุ่มสาวของตระกูลหงนั่นเอง
ตามลำดับความอาวุโส หงบูควรที่จะเรียกเขาว่าท่านอา ทว่าหงบูกลับเพียงชายตามองเขาอย่างเฉยเมย แล้วเดินผ่านร่างของหลัวซิวไป
“ไร้สัมมาคารวะยิ่งนัก ดูท่าแล้วแนวคิดที่ว่าผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ในโลกล้นเหมือนจะสำคัญไม่เบา” หลัวซิวกล่าวพึมพำอยู่ในใจ ภายในใจก็รู้สึกเห็นใจหงซ่วยคนนี้ขึ้นมาเล็กน้อย
ด้านหลังของหงบูยังมีคนเดินตามมาด้วยสองคน ดูจากชุดที่สวมแล้ว ก็คงเป็นอัจฉริยะอายุน้อยของตระกูลหงเช่นเดียวกัน ต่างมีผลการฝึกตนในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด
แม้ว่าจะเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดเหมือนกัน แต่ทั้งสองคนนี้กลับอายุน้อยกว่าหงซ่วยมากนัก เพราะฉะนั้นตอนที่เดินผ่านเขาไป ในสายตาจึงแฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เพื่อไม่ให้เผยพิรุธ หลัวซิวจึงทำเป็นไม่เห็นสามคนนี้ แล้วเดินหน้าต่อไป
“พี่บู พี่เพิ่งจะออกจากการปิดขังฝึกตนคงจะยังไม่รู้สินะ? ในคุกของตำหนักหลักเมืองของเรา ได้ยินมาว่าขังผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งคนหนึ่งเอาไว้ ท่านไม่ไปดูหน่อยหรือ?”
จู่ ๆ บุรุษที่เดินตามหลังหงบูคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา
“ก็แค่นักโทษที่ถูกจับขังคนหนึ่งมีอะไรน่าดู?” หงบูส่ายศีรษะ ด้วยท่าทางขาดความสนใจ
“แหะ ๆ หาพี่บูรู้ว่าคนที่ถูกจับขังเป็นใครมาจากไหนละก็ ข้าคิดว่าท่านต้องมีความสนใจอย่างแน่นอน” บุรุษหนุ่มอีกคนกล่าวอย่างมีเลศนัย
“เป็นใครมาจากไหนหรือ?” หงบูถูกกระตุ้นความสนใจขึ้นมาจริง ๆ
“พี่บูยังจำเจ้าหลัวซิวที่พี่แพ้ให้กับมันตอนฝึกหาประสบการณ์ในหอคอยฮวงได้หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าผู้สูงส่งที่ถูกขังอยู่ในคุก มีความสัมพันธ์กับเจ้าหลัวซิวคนนั้น”
“จริงหรือ?”
เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ เมื่อหงบูได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลัวซิวเขาล้วนใส่ใจทั้งนั้น เพราะเขารู้ว่าหลัวซิวไม่ใช่แค่ได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง แถมอัญมณีดั้งเดิมอย่างหอคอยฮวงยังอยู่ในมือของหลัวซิวอีกด้วย!
ตอนนั้นเนื่องจากเจ้าเมืองเตาเซียนกับวังสิงเทียนแห่งโลกสวรรค์ได้ทำการตกลงเงื่อนไขบางอย่างก่อน เขาจึงได้อาศัยโอกาศนี้ขายข่าวที่ว่าหลัวซิวได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวงให้กับวังสิงเทียน ทว่าผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายของทุกคน คิดไม่ถึงว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่แล้วของวังสิงเทียนจะได้เสียชีวิตลง
“ไป พวกเราไปดูกัน”
ทั้งสามคนเดินไปสนทนากันไป ไม่นานก็เดินมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งคุกใหญ่
หลังจากเงาร่างของพวกหงบูทั้งสามคนได้หายไปในระยะไกล บุรุษที่สวมในชุดแพรผู้หนึ่งได้เดินออกมาจากภูเขาเทียมลูกหนึ่ง ซึ่งมีรอยยิ้มอ่อน ๆ อยู่บนใบหน้า
ชายชุดแพรผู้นี้ ก็คือหลัวซิวที่แปลงโฉมเป็นหงซ่วยนั่นเอง
“คิดไม่ถึงว่าแผนแฝงตัวเข้ามาจะราบรื่นเช่นนี้”
หลัวซิวพึงพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้เป็นพิเศษ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อแฝงตัวเข้ามาจะได้รู้ที่ตั้งของคุกในทันที
ด้วยฝีมือในการปิดบังกลิ่นอายของเขา สามคนที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่อาจสังเกตเห็นถึงความผิดปกติใด ๆ เลยสักนิด เพียงแค่สะกดรอยตามพวกเขาไป จักต้องไปถึงที่ตั้งของคุกใหญ่ได้อย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน ในห้องลับชั้นใต้ดินที่อยู่ลึกเข้าไปในตำหนักหลักเมือง ชายชราที่สวมในชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าลูกแก้วที่มีขนาดเท่าบาสเกตบอลลูกหนึ่ง ลูกแก้วลอยอยู่ในอากาศ ปรากฏภาพเหตุการณ์ฉากหนึ่งขึ้นมา
“หงซ่วยกำลังทำอะไรของเขาอยู่?”
ด้านหลังของชายชราชุดคลุมสีดำ บุรุษหน้าตาน่าเกรงขามผู้หนึ่งขมวดคิ้วกล่าวด้วยเสียงใหญ่หยาบกร้าน
เวลานี้ในลูกแก้วได้แสดงภาพที่หงซ่วยกำลังสะกดรอยตามพวกหงบูทั้งสามคนอยู่
“เจ้าเมืองหงไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรอกหรือ?”
จู่ ๆ เสียงแหบแห้งของชายชราชุดคลุมดำก็ได้ดังขึ้น “ในระยะเวลาที่ผ่านมา ข้าได้อาศัยพลังของค่ายกลคอยจับตามองทุกการเคลื่อนไหวในตำหนักหลักเมืองอยู่ที่นี่มาตลอด ตามที่ข้าได้เข้าใจและทำความรู้จักบุตรชายของท่าน การกระทำของเขาในตอนนี้มันน่าสงสัยยิ่งนัก”
คนที่ชายชราชุดคลุมดำกล่าวถึง ย่อมต้องเป็นหงซ่วยอยู่แล้ว
“ผู้เพื่อนยุทธ์ฉวี่ กล่าวไม่ผิด ข้าเองก็คิดว่าน่าสงสัย ด้วยความสามารถของซ่วยเอ๋อร์หากคิดสะกดรอยตามหงบู เป็นไปไม่ได้ที่หงบูจะไม่รู้สึกตัว” เจ้าเมืองหงพยักหน้ากล่าวเสียงเข้ม
สถานะของเจ้าเมืองหงผู้นี้ไม่ต้องบอกก็รู้ ก็คือเจ้าเมืองเตาเซียน หงเทียนหมิงนั่นเอง!
“หึหึ ดูท่าปลาจะติดเบ็ดเสียแล้วสินะ” ดวงตาขุ่นมัวของชายชราชุดคลุมดำหรี่ลงเล็กน้อย เพียงแต่เสียงหัวเราของเขานั้นมันไม่น่าฟังเอาเสียเลย ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพอง
......
“หือ? ความรู้สึกถูกจับตามองเช่นนี้......”
หลังจากหลัวซิวได้บรรลุแดนผู้สูงส่ง ตัวสำนึกที่แต่เดิมทัดเทียมได้กับผู้สูงส่งช่วงปลายขงหลัวซิวเองก็ได้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย จนบรรลุถึงขั้นผู้แกร่งเลิศ หรือแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้แกร่งเลิศธรรมดาทั่วไปอีกด้วยซ้ำ
ดังนั้นตอนที่เงาร่างของเขาได้ปรากฏขึ้นในลูกแก้วผ่านทางค่ายกลสอดแนม จิตญินของหลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการสอดแนมอย่างว่องไว
“ครืน!” “ครืน!”
ในตอนนี้เอง รัศมีพลังอันแรงกล้าสองสายก็ได้ประทับลงมา ชายชราชุดคลุมดำผู้หนึ่ง และบุรุษที่มีบุคลิกน่าเกรงขามคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ รัศมีพลังและไอสังหารอันมหาศาล ได้เล็งเป้าหมายไปที่หลัวซิว
“สมกับที่เป็นอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติวิถีเซียนจริง ๆ มิน่าแม้แต่ท่านมกุฎยังชื่นชมเจ้าไม่หยุด ปฏิกิริยาตอบโต้ของเจ้าเร็วมาก ในตอนที่ข้าค้นพบเจ้า เจ้าก็รู้ตัวแล้วใช่หรือไม่?”
ผู้ที่เอ่ยขึ้นมาก่อนนั้น เป็นชายชราชุดคลุมดำที่มีน้ำเสียงแหบแห้ง
การบังคับค้นวิญญาณได้สร้างความเสียหายให้กับตัวอย่างรู้อย่างไม่อาจหวนคืน นอกจากนี้ความแตกต่างของพลังแห่งตัวสำนึกของทั้งสองนั้นห่างกันมาก ดังนั้นหลังจากถูกหลัวซิวการบังคับค้นวิญญาณ หงบูจึงได้สลบไป
“วิถีแห่งความตายหนึ่งในสี่วิถีเป็นตายเวลาปริภูมิแห่งวัฏสงสาร ดูท่าท่านจะเป็นคนของมกุฎเต๋าสังสารวัฏสินะ”
สายตาของหลัวซิวมองไปยังชายชราชุดคลุมดำ บนร่างของอีกฝ่ายกระจายไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอันเย็นยะเยือก และในกลิ่นอายนี้ยังแฝงไปด้วยพลังเต๋าแห่งวัฏสงสาร ดังนั้นเขาถึงได้แน่ใจตัวตนของอีกฝ่าย
ไม่ว่าชายชราชุดคลุมดำจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม สายตาของหลัวซิวก็ได้หันไปมองอีกคน “ท่านคงเป็นเจ้าเมืองเตาเซียนหงเทียนหมิงสินะ นี่ตระกูลหงได้แปรพักตร์ ไปสมคบคิดกันกับมกุฎเต๋าสังสารวัฏเสียแล้วหรือ?”
ระหว่างที่กล่าวนั้น เปลวเพลิงสีม่วงได้ลุกโชนขึ้นมาบนฝ่ามือของหลัวซิว หงบูที่สลบไสลอยู่ไม่แม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้อง ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านไปทันที
อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกหลานถูกสังหาร หงเทียนหมิงกลับเฉยเมยเป็นพิเศษ เหมือนดั่งว่าที่ตายไปนั้นเป็นเพียงมดที่ไม่มีความสำคัญตัวหนึ่ง
“เหอะ ๆ หลัวซิวเจ้าเป็นคนฉลาด แต่ไม่ว่าอย่างไรเสียเจ้าก็เป็นเพียงคนรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องบางเรื่องอยู่เหนือกว่าที่เจ้าจะสามารถสัมผัสได้ หากเจ้าคิดว่ามหาทัณฑ์ในครั้งนี้เป็นเพียงการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นก็นับว่าผิดยิ่งนัก
“ท่านไม่พูด ข้าก็รู้แล้ว” หลัวซิวกล่าวขึ้นมาช้า ๆ “เมื่อก่อนข้าคิดว่าบรรพโบราณกับมกุฎเต๋านอกนภา และมกุฎเต๋าหวูจี๋เป็นพวกเดียวกัน มกุฎเต๋าหวูซินกับมกุฎมังกรไท่ชูรวมทั้งมกุฎเต๋าสังสารวัฏเป็นพวกเดียวกันจริง ๆ"
“แต่ตอนนี้ดูแล้ว ความทะเยอทะยานของมกุฎเต๋าสังสารวัฏนั้นสูงนัก เขาได้ลอบวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และมกุฎเต๋าบรรพล้นก็ได้กลายเป็นผู้ร่วมมือกลับเขาไปตั้งนานแล้ว”
“หึ ๆ เจ้าฉลาดจริงด้วย! ท่านมกุฎชื่นชมเจ้ามาก ถ้าหากเจ้า......”
ชายชราชุดคลุมดำกำลังจะกล่าวขึ้น แต่กลับถูกหลัวซิวโบกมือตัดไป “เล่ห์กลที่ว่าจะดึงข้าไปเป็นพวกอะไรนั่นอย่าเลยดีกว่า มกุฎเต๋าสังสารวัฏสร้างกับดักอยู่ที่นี่เพื่อต่อกรกับข้า อย่างน้อยก็ควรส่งคนระดับประมุขเต๋ามาสักคน อาศัยพวกท่านสองคนรั้งข้าเอาไว้ไม่ได้หรอก”
ในตอนที่ชายชราชุดคลุมดำกับหงเทียนหมิงปรากฏตัวขึ้นนั้น หลัวซิวก็สัมผัสได้แล้วว่าผลการฝึกตนของทั้งสองคนล้วนอยู่ในแดนผู้แกร่งเลิศ
เรื่องที่ว่าทำไมไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าปรากฏตัว หลัวซิวเพียงคิดเล็กน้อยก็สามารถเข้าใจได้แล้ว อีกฝ่ายคงหวั่นเกรงในพละมนุษย์อมตะที่เขาเคยได้แสดงออกมา
ในเมื่อมกุฎเต๋าสังสารวัฏได้ร่วมมือกับมกุฎเต๋าบรรพล้น เช่นนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับพละมนุษย์อมตะ มกุฎเต๋าบรรพล้นก็ย่อมจะต้องรู้แน่ มกุฎเต๋าทั้งสองคนไม่อยากมาทดสอบหยั่งเชิงเอง ถ้าส่งลูกน้องระดับประมุขเต๋ามา หากถูกกำจัดไปก็นับว่าเป็นการสูญเสียที่ไม่น้อยเลย เพราะอย่างไรเสียการบ่มเพาะประมุขเต๋าคนหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ตามความสามารถที่เขาเคยได้แสดงออกมา มกุฎเต๋าทั้งสองจึงได้ส่งผู้แกร่งเลิศสองคนมา เพราะพวกเขาคิดว่าอาศัยผู้แกร่งเลิศสองคนก็เพียงพอที่จะบีบให้หลัวซิวใช้ไม้ตายทั้งหมดออกมาแล้ว
หากเขายังสามารถใช้พละมนุษย์อมตะออกมาได้อีก เช่นนั้นอย่างมากก็สูญเสียเพียงผู้แกร่งเลิศสองคนไป หากเขาไม่มีพละมนุษย์อมตะแล้ว เช่นนั้นก็เหลือเฟือที่ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนจะควบคุมตัวเขาเอาไว้ได้
ไม่พูดไม่ได้ว่า มกุฎเต๋าสังสารวัฏวางแผนเอาไว้ดีจริง ๆ เขาคิดใคร่ครวญวางแผนอย่างแยบยลดิบดีแต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ความสามารถของหลัวซิวจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายภายในช่วงเวลาสั้น ๆ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...