มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2963

“คุณชาย”

ตอนที่หลัวซิวมาถึงตำหนักหลักเมืองในร่างของหงซ่วย องครักษ์สองคนที่เฝ้าประตูได้ประสานมือทักทาย แต่เขากลับมองไปเห็นความเคารพอยู่ในสายตาขององครักษ์ทั้งสองคนนี้เลย

ในโลกของการฝึกยุทธ์ แนวคิดผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ได้ฝังลึกลงไปในหัวใจของผู้คนแล้ว ไม่ว่าชาติกำเนิดของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด หากเจ้าไม่มีฝีมือที่แข็งแกร่งพอ คนอื่นจะปฏิบัติกับเจ้าอย่างเกรงใจเพราะฐานะของเจ้า แต่จะไม่เคารพเจ้าเนื่องจากฐานะของเจ้าอย่างแน่นอน

แต่หลัวซิวกลับมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ เขาเพียงแค่พยักหน้าอย่างเรียบ ๆ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักหลักเมือง

สาเหตุที่เขาไม่สังหารหงซ่วย นั่นย่อมเป็นเพราะเขากลัวว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้วัวตื่น เพราะไม่ว่าอย่างไรหงซ่วยก็เป็นบุตรของหงเทียนหมิง แม้ว่าพรสวรรค์สติปัญญาจะแย่ไปหน่อย แต่ถ้าหากตายไป หงเทียนหมิงจะต้องรับรู้ได้ในทันทีอย่างแน่นอน

ไม่เพียงเท่านี้ หลัวซิวยังได้เอาแหวนเก็บของและเสื้อผ้าอาภรณ์ของหงซ่วยนำมาด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีช่องโหว่เนื่องจากของประจำกายใด ๆ ที่อาจทำให้ตนเองถูกเปิดโปง

ที่ทำให้หลัวซิวคิดไม่ถึงก็คือ เขาเพิ่งจะเข้ามาในตำหนักหลักเมือง เงาร่างของคนที่คุ้นเคยผู้หนึ่งก็ได้ปรากฏตัวในสายตาของเขา

บุรุษที่ยังดูเป็นหนุ่ม รูปร่างแข็งแรงกำยำคนหนึ่งได้เดินตรงเข้ามาหา เป็นหงบูผู้ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในรุ่นคนหนุ่มสาวของตระกูลหงนั่นเอง

ตามลำดับความอาวุโส หงบูควรที่จะเรียกเขาว่าท่านอา ทว่าหงบูกลับเพียงชายตามองเขาอย่างเฉยเมย แล้วเดินผ่านร่างของหลัวซิวไป

“ไร้สัมมาคารวะยิ่งนัก ดูท่าแล้วแนวคิดที่ว่าผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ในโลกล้นเหมือนจะสำคัญไม่เบา” หลัวซิวกล่าวพึมพำอยู่ในใจ ภายในใจก็รู้สึกเห็นใจหงซ่วยคนนี้ขึ้นมาเล็กน้อย

ด้านหลังของหงบูยังมีคนเดินตามมาด้วยสองคน ดูจากชุดที่สวมแล้ว ก็คงเป็นอัจฉริยะอายุน้อยของตระกูลหงเช่นเดียวกัน ต่างมีผลการฝึกตนในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด

แม้ว่าจะเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดเหมือนกัน แต่ทั้งสองคนนี้กลับอายุน้อยกว่าหงซ่วยมากนัก เพราะฉะนั้นตอนที่เดินผ่านเขาไป ในสายตาจึงแฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

เพื่อไม่ให้เผยพิรุธ หลัวซิวจึงทำเป็นไม่เห็นสามคนนี้ แล้วเดินหน้าต่อไป

“พี่บู พี่เพิ่งจะออกจากการปิดขังฝึกตนคงจะยังไม่รู้สินะ? ในคุกของตำหนักหลักเมืองของเรา ได้ยินมาว่าขังผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งคนหนึ่งเอาไว้ ท่านไม่ไปดูหน่อยหรือ?”

จู่ ๆ บุรุษที่เดินตามหลังหงบูคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

“ก็แค่นักโทษที่ถูกจับขังคนหนึ่งมีอะไรน่าดู?” หงบูส่ายศีรษะ ด้วยท่าทางขาดความสนใจ

“แหะ ๆ หาพี่บูรู้ว่าคนที่ถูกจับขังเป็นใครมาจากไหนละก็ ข้าคิดว่าท่านต้องมีความสนใจอย่างแน่นอน” บุรุษหนุ่มอีกคนกล่าวอย่างมีเลศนัย

“เป็นใครมาจากไหนหรือ?” หงบูถูกกระตุ้นความสนใจขึ้นมาจริง ๆ

“พี่บูยังจำเจ้าหลัวซิวที่พี่แพ้ให้กับมันตอนฝึกหาประสบการณ์ในหอคอยฮวงได้หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าผู้สูงส่งที่ถูกขังอยู่ในคุก มีความสัมพันธ์กับเจ้าหลัวซิวคนนั้น”

“จริงหรือ?”

เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ เมื่อหงบูได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลัวซิวเขาล้วนใส่ใจทั้งนั้น เพราะเขารู้ว่าหลัวซิวไม่ใช่แค่ได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง แถมอัญมณีดั้งเดิมอย่างหอคอยฮวงยังอยู่ในมือของหลัวซิวอีกด้วย!

ตอนนั้นเนื่องจากเจ้าเมืองเตาเซียนกับวังสิงเทียนแห่งโลกสวรรค์ได้ทำการตกลงเงื่อนไขบางอย่างก่อน เขาจึงได้อาศัยโอกาศนี้ขายข่าวที่ว่าหลัวซิวได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวงให้กับวังสิงเทียน ทว่าผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายของทุกคน คิดไม่ถึงว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่แล้วของวังสิงเทียนจะได้เสียชีวิตลง

“ไป พวกเราไปดูกัน”

ทั้งสามคนเดินไปสนทนากันไป ไม่นานก็เดินมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งคุกใหญ่

หลังจากเงาร่างของพวกหงบูทั้งสามคนได้หายไปในระยะไกล บุรุษที่สวมในชุดแพรผู้หนึ่งได้เดินออกมาจากภูเขาเทียมลูกหนึ่ง ซึ่งมีรอยยิ้มอ่อน ๆ อยู่บนใบหน้า

ชายชุดแพรผู้นี้ ก็คือหลัวซิวที่แปลงโฉมเป็นหงซ่วยนั่นเอง

“คิดไม่ถึงว่าแผนแฝงตัวเข้ามาจะราบรื่นเช่นนี้”

หลัวซิวพึงพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้เป็นพิเศษ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อแฝงตัวเข้ามาจะได้รู้ที่ตั้งของคุกในทันที

ด้วยฝีมือในการปิดบังกลิ่นอายของเขา สามคนที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่อาจสังเกตเห็นถึงความผิดปกติใด ๆ เลยสักนิด เพียงแค่สะกดรอยตามพวกเขาไป จักต้องไปถึงที่ตั้งของคุกใหญ่ได้อย่างแน่นอน

ในเวลาเดียวกัน ในห้องลับชั้นใต้ดินที่อยู่ลึกเข้าไปในตำหนักหลักเมือง ชายชราที่สวมในชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าลูกแก้วที่มีขนาดเท่าบาสเกตบอลลูกหนึ่ง ลูกแก้วลอยอยู่ในอากาศ ปรากฏภาพเหตุการณ์ฉากหนึ่งขึ้นมา

“หงซ่วยกำลังทำอะไรของเขาอยู่?”

ด้านหลังของชายชราชุดคลุมสีดำ บุรุษหน้าตาน่าเกรงขามผู้หนึ่งขมวดคิ้วกล่าวด้วยเสียงใหญ่หยาบกร้าน

เวลานี้ในลูกแก้วได้แสดงภาพที่หงซ่วยกำลังสะกดรอยตามพวกหงบูทั้งสามคนอยู่

“เจ้าเมืองหงไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรอกหรือ?”

จู่ ๆ เสียงแหบแห้งของชายชราชุดคลุมดำก็ได้ดังขึ้น “ในระยะเวลาที่ผ่านมา ข้าได้อาศัยพลังของค่ายกลคอยจับตามองทุกการเคลื่อนไหวในตำหนักหลักเมืองอยู่ที่นี่มาตลอด ตามที่ข้าได้เข้าใจและทำความรู้จักบุตรชายของท่าน การกระทำของเขาในตอนนี้มันน่าสงสัยยิ่งนัก”

คนที่ชายชราชุดคลุมดำกล่าวถึง ย่อมต้องเป็นหงซ่วยอยู่แล้ว

“ผู้เพื่อนยุทธ์ฉวี่ กล่าวไม่ผิด ข้าเองก็คิดว่าน่าสงสัย ด้วยความสามารถของซ่วยเอ๋อร์หากคิดสะกดรอยตามหงบู เป็นไปไม่ได้ที่หงบูจะไม่รู้สึกตัว” เจ้าเมืองหงพยักหน้ากล่าวเสียงเข้ม

สถานะของเจ้าเมืองหงผู้นี้ไม่ต้องบอกก็รู้ ก็คือเจ้าเมืองเตาเซียน หงเทียนหมิงนั่นเอง!

“หึหึ ดูท่าปลาจะติดเบ็ดเสียแล้วสินะ” ดวงตาขุ่นมัวของชายชราชุดคลุมดำหรี่ลงเล็กน้อย เพียงแต่เสียงหัวเราของเขานั้นมันไม่น่าฟังเอาเสียเลย ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพอง

......

“หือ? ความรู้สึกถูกจับตามองเช่นนี้......”

หลังจากหลัวซิวได้บรรลุแดนผู้สูงส่ง ตัวสำนึกที่แต่เดิมทัดเทียมได้กับผู้สูงส่งช่วงปลายขงหลัวซิวเองก็ได้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย จนบรรลุถึงขั้นผู้แกร่งเลิศ หรือแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้แกร่งเลิศธรรมดาทั่วไปอีกด้วยซ้ำ

ดังนั้นตอนที่เงาร่างของเขาได้ปรากฏขึ้นในลูกแก้วผ่านทางค่ายกลสอดแนม จิตญินของหลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการสอดแนมอย่างว่องไว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ