มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2964

“ถึงแม้เจ้าจะยโสโอหัง แต่ก็ควรมีขอบเขตบ้าง”

หงเทียนหมิงทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา เห็นเพียงเขายกมือขึ้นโบก ผังค่ายม้วนหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมากลางท้องฟ้า ครอบคลุมทั่วทั้งตำหนักหลักเมืองเอาไว้

เห็นได้ชัดว่าค่ายกลที่อยู่รอบ ๆ ตำหนักหลักเมืองเป็นหนึ่งเดียวกับผังค่ายม้วนนี้ เมื่อผังค่ายคลี่ออกก็มีกระแสพลังอันเหน็บหนาวอย่างไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกมา

ธรรมเวชกาลล้นเหมือนกัน คุณสมบัติพิเศษที่สามารถกลั่นปีทุกสรรพสิ่งธรรมเวช คนส่วนมากล้วนฝึกฝนพลังอมตะเพลิงอัคคีกลั่นแปรทุกสรรพสิ่ง ทว่าหงเทียนหมิงกลับได้ฝึกฝนพลังอมตะธาตุน้ำแข็ง ที่สามารถกลั่นแปรทุกสรรพสิ่งทำให้ทุกอย่างกลายเป็นน้ำแข็ง

“อาณาจักรไร้ลักษณ์ ไฟ!”

หลัวซิวก้าวเหยียบอากาศ เพลิงอัคคีสีม่วงวงแล้ววงเล่าแผ่ซ่านออกไปจากร่างกายของเขา กลายเป็นอาณาจักรที่มีอาณาบริเวณร้อยเมตร

ขอบเขตอาณาจักรธรรมเวชของผู้แข็งแกร่งมากมายต่างกว้างขวาง ครอบคลุมหลายหมื่นลี้หรือแม้กระทั่งหลายแสนลี้ล้วนเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ทว่าหลัวซิวกลับบุกเบิกวิถีทางของตน ทำให้อาณาจักรของตนหดเล็กลงอยู่ในระยะร้อยเมตร อาณาเขตยิ่งเล็ก พลังของอาณาจักรก็จะยิ่งแข็งแกร่ง พูดได้ว่าเป็นอาณาจักรสมบูรณ์!

เขาใช้อาณาจักรไร้ลักษณ์แปรAttrไฟออกมา หลอมรวมเข้ากับพลังอมตะหลอมจิตและอัคคีชาตะไร้ลักษณ์ ทันทีที่กระแสพลังอันเหน็บหนาวได้โหมซัดเข้ามาสู่บริเวณอาณาจักร ก็จะส่งเสียงซู่ ๆ ขึ้นมา แล้วสลายหายไปภายในพริบตา

“ครืนนน!”

ร่างของหลัวซิวได้กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าไปหาหงเทียนหมิง เห็นเพียงเขาขยับมือทั้งสองข้างพร้อมกัน มือซ้ายตราสรรพสิทธิ์ มือขวาตรามหาหัตถ์ราชาเซียน พลังอมตะทั้งสองสายแยกซัดเข้าหาหงเทียนหมิงกับชายชราชุดคลุมดำ

“นี่เจ้าบรรลุถึงแดนผู้สูงส่งแล้วหรือ?”

เมื่อเห็นอานุภาพของพลังที่หลัวซิวใช้ออกมา ชายชราชุดคลุมดำกับหงเทียนหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างพร้อมเพรียง ความตกตะลึงปรากฏขึ้นมาในดวงตา

เพราะตามข่าวกรองที่ได้รับมา ตอนที่หลัวซิวอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าก็ได้แสดงพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับผู้สูงส่งออกมาเสียแล้ว บัดนี้เขาได้บรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังการต่อสู้ของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นมาอีกเช่นเดียวกัน

“หึ ต่อให้ผลการฝึกตนของเจ้าบรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิ หรือเจ้าคิดว่าอาศัยพลังของเจ้าเพียงคนเดียว จะสามารถเอาชนะผู้แกร่งเลิศอย่างพวกเราสองคนได้?”

ชายชราชุดคลุมดำทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา แม้ว่าตรามหาหัตถ์ราชาเซียนของหลัวซิวจะมีอานุภาพเต็มเปี่ยม แต่เมื่อเขาได้โบกมือซัดหัตถ์ปีศาจมรณาออกมา ก็ได้ทำให้ตรามหาหัตถ์ราชาเซียนสลายหายไปกลางอากาศ

เป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของมกุฎเต๋าสังสารวัฏ แม้ว่าจะเป็นผู้แกร่งเลิศเหมือนกัน หากแบ่งออกเป็นธรรมดา ขั้นหนึ่ง ชั้นสุดยอดทั้งสามระดับละก็ ชายชราชุดดำแซ่ฉวี่ผู้นี้ รับรองได้ว่าต้องเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับดีในบรรดาผู้แกร่งเลิศอย่างแน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้แกร่งเลิศธรรมดาอย่างผู้สูงส่งอัมพรเทวจะสามารถเทียบได้

ในขณะเดียวกัน หงเทียนหมิงก็ได้ทำลายหมื่นพันพลังอมตะที่ถูกกระตุ้นออกมาโดยตราสรรพสิทธิ์ไป เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนผู้แกร่งเลิศระดับหนึ่ง ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ผู้แข็งแกร่งที่จะถูกพลังอมตะเพียงสองสามสายจัดการได้

ทว่าในตอนนี้เอง ชายชราชุดคลุมดำกับหงเทียนหมิงพลันพบว่าหลัวซิวที่พุ่งเข้ามานั้นได้หายตัวไปเสียแล้ว

“ช่างเป็นเจ้าหนุ่มที่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก! ที่ลงมือในเมื่อสักครู่เป็นเพียงกลอุบายเท่านั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันคือไปช่วยคนในคุก”

ไม่นานชายชราชุดคลุมดำค้นพบร่องรอยของหลัวซิว โดยการอาศัยค่ายกลสอดแนมในตำหนักหลักเมือง

“ถ้าการช่วยคนมันง่ายขนาดนั้น แล้วการวางหมากของเข้ากับข้าจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องตลกขบขันหรอกหรือ?” หงเทียนหมิงยิ้มอย่างเยือกเย็น ไม่มีท่าทางร้อนใจเลยสักนิด

“หึหึ นั่นสิ การวางหมากของเจ้ากับข้ามันจะง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร? ค่ายกลที่คุกใหญ่เป็นค่ายกลที่เจ้ากลับข้าร่วมมือกันสร้างขึ้นมาเชียวนะ ต่อให้เจ้ากับข้าร่วมมือกัน ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยามถึงจะสามารถทำลายมันได้”

ทว่าชายชราชุดคลุมดำพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงดังระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวได้ดังลอยมาในอากาศ

“ตูมมม!”

ลำแสงขนาดใหญ่ที่แฝงไปด้วยอานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็ได้กระแทกค่ายกลผู้สูงส่งที่อยู่รอบ ๆ ตำหนักหลักเมืองขาดออกเป็นรู

“อะไรกัน? หรือว่าเขาจะมีคนอื่นคอยช่วยอยู่อีก?”

เมื่อเป็นภาพเช่นนี้ ผู้แกร่งเลิศทั้งสองคนต่างตะลึงตาค้าง จากนั้นพวกเขาก็เห็นลำแสงขนาดใหญ่นั้นเป็นเหมือนดั่งมังกรลอยผงาด ร้องคำรามมุ่งหน้าไปยังคุกใหญ่

“แย่แล้ว!”

“บ้าเอ้ย พวกเราคิดพลาดแล้ว!”

ผู้แกร่งเลิศทั้งสองคนร้อนใจขึ้นมาทันที พวกเขาใช้วิชาล่องหนออกมาแล้วมุ่งหน้าไปยังคุกใหญ่อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่พวกเขามาถึงคุกใหญ่ สถานที่ที่เคยเป็นคุกใหญ่ก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปเสียแล้ว ค่ายกลที่พวกเขาภาคภูมิใจ ถูกลำแสงที่มีอานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั่นกระแทกจนไม่เหลือชิ้นดี

ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็มองเห็นหลัวซิว เห็นเพียงตอนนี้เขากำลังยืนอยู่บนแผ่นวงกลมขนาดใหญ่ที่วาดสลักไว้ด้วยค่ายกลดาวหกแฉก ที่ข้างกายหลัวซิว ยังมีคนอีกสามคนที่หายใจอย่างรวยรินนอนอยู่ เป็นตี้ขุย เย่ห้าวหราน และหลี่ยู่ทั้งสามคนนั่นเอง

“เหมือนว่าการเคลื่อนไหวของทั้งสองท่านจะช้าไปหน่อย พวกเราไว้พบกันใหม่แล้วกันนะ”

หลัวซิวไม่คิดจะประมือกับชายชราชุดคลุมดำและหงเทียนหมิงอีกต่อไป ขณะที่พูดนั้น เขาก็ได้ขับเคลื่อนเข็มทิศสาสน์เต๋าเป็นที่เรียบร้อย ได้ฉีกอนัตตาออกในทันทีทันใด แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เข็มทิศสาสน์เต๋าถูกเขากลั่นแปรต้องห้ามขั้นสอง แฝงไว้ด้วยพลังแห่งห้วงเวลา ภายใต้การขับเคลื่อนของหลัวซิว อย่าว่าแต่ผู้แกร่งเลิศสองคนเลย ต่อผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าเป็นคนลงมือเอง ก็อย่าคิดว่าจะตามเขาได้ทัน

เย่ห้าวหรานกับหลี่ยู่ได้เล่าในสิ่งที่ตนเองทราบให้ฟังทันที จากที่พวกเขาทั้งสองได้กล่าวมา หลังจากสถานปรักเซียนพังทลายลง บริเวณรอบนอกแดนบรรพกาลต่างได้ถูกพลังทำลายล้างห้วงเวลาที่น่ากลัวปิดผนึกเอาไว้ ดังนั้นผู้คนที่เดิมทีอาศัยอยู่บริเวณโดยรอบแดนบรรพกาลจึงได้อพยพออกมา และมีผู้คนจำนวนหนึ่งได้เสียชีวิตลองภายใต้พลังการพังทลายของปริภูมิ

เรื่องที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลังจากนั้น หลัวซิวก็ได้ทราบแล้ว ในสงครามที่ธรณีสำนักอาณากระบี่หวูจี๋ถูกทำลาย ตู๋กูเจ้าแดนอาณากระบี่ได้เป็นคนรั้งท้าย ส่วนต้วนคงกับผู้บัญชาการคนอื่น ๆ ได้พาคนของหุบเขาสยบปีศาจหลบหนีไป

แต่ดูเหมือนว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงกับเผ่ามังกรไท่ชูจะใส่ใจคนของหุบเขาสยบปีศาจพวกนั้นเป็นพิเศษ ได้ส่งผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมาไล่ล่าสังหารโดยเฉพาะ ดังนั้นพวกต้วนคงจึงจำเป็นต้องแบ่งกันออกเป็นกลุ่มเพื่อหลบหนีไปคนละทาง

“สมาชิกและลูกศิษย์ที่มีผลการฝึกตนค่อนข้างต่ำของภูเขาว่านเริ่น ชนเผ่าจี้ และยังมีตระกูลเทพสงครามต่างถูกเก็บเข้าไปในไข่มุกโลกา แบ่งอยู่ในมือของประมุขเขาลวี่โหลว แม่นางเสี่ยวจื่อ และยังมีหัวหน้าเผ่าซิงเฉิน” เย่ห้าวหรานกล่าว

หลังจากหลัวซิวได้ฟังก็พยักหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ต้วนคงได้จัดการเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องยิ่งนัก ในตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าบรรดาผู้บัญชาการของเขาล้วนหลบหนีไปได้กันหมด

ในบรรดาห้าผู้บัญชาการใหญ่ ไจ๋เฉิงเสียชีวิต ตี้ขุยหาตัวพบแล้ว ยังเหลือต้วนคง ฉื้อหลงและยังมีเฟยเสว่ที่ยังไร้ซึ่งวี่แวว

ไม่นานนัก ตี้ขุยก็ฟื้นตัวขึ้นมา เช่นนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าข้างกายของหลัวซิวมีผู้ช่วยระดับผลการฝึกตนผู้แกร่งเลิศเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน

สำหรับผลการฝึกตนของเย่ห้าวหรากับหลี่ยู่ หลัวซิววางแผนว่าฝึกฝนบ่มเพาะอย่างดี เมื่อก่อนเขามีเพียงชิ้นส่วนของใจแห่งศุภร ดังนั้นค่ายกลสีมาเพลาที่เขาสามารถสร้างได้มีผลแค่กับผู้แข็งแกร่งระดับต่ำเท่านั้น

ทว่าตอนนี้เข็มทิศสาสน์เต๋าของเขาก็มีพลังแห่งเวลาเช่นกัน มีเข็มทิศสาสน์เต๋าเป็นฐานค่าย ใช้ร่วมกับชิ้นส่วนของใจแห่งศุภร หลัวซิวจึงมีความมั่นใจมากว่าจะสามารถสร้างสีมาเพลาในระดับที่สูงยิ่งขึ้นได้ อย่างน้อยสามารถช่วยให้เย่ห้าวหรานกับหลี่ยู่ฝึกตนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าได้อย่างรวดเร็ว

ความร่วมมือระหว่างมกุฎเต๋าบรรพล้นกับมกุฎเต๋าสังสารวัฏ ทำให้หลัวซิวรู้สึกถึงอันตราย และสถานการณ์ที่เดิมทีนับว่าชัดเจน กลับกลายเป็นไม่อาจคาดเดาได้อย่างฉับพลัน เหมือนว่านอกเหนือจากมกุฎเต๋าหวูจี๋ผู้เป็นอาจารย์ของตนแล้ว มกุฎเต๋าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในจักรวาล ต่างทำให้หลัวซิวไม่กล้าที่จะเชื่อใจอย่างง่าย ๆ ได้อีก

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเข้าไปยังห้วงดาราที่มกุฎเต๋าคนอื่น ๆ บุกเบิกขึ้นมา แต่ได้เลือกท่องไปในห้วงดาราอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่นอกเหนือโลกมหาศักดิ์แปดด้านแทน

ห้วงดารากว้างไกลไร้ขอบเขต มีชะตาโอกาสอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันนั้นก็มีสถานที่อันตรายที่ลึกลับไม่อาจคาดเดาอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

นับว่าหลัวซิวโชคดีไม่น้อย เขาได้หาสถานที่ที่เป็นบ่อเกิดของหินบรรพไท่ชูแห่งหนึ่งพบ แม้ว่าหินบรรพไท่ชูจะมีจำนวนไม่มากนัก แถมยังไม่มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มระดับผลการฝึกตนของเขาอีกแล้ว แต่กลับสามารถนำมาเพิ่มระดับผลการฝึกตนให้กับเย่ห้าวหรานกับหลี่ยู่

เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาสองปีกว่าได้ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าในสีมาเพลาของเข็มทิศสาสน์เต๋า กลับได้ผ่านไปเกือบสองพันปีแล้ว

เย่ห้าวหรานกับหลี่ยู่ต่างพากันฝึกฝนจนบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าหลัวซิวจะอาศัยรากเซียนน้ำไฟมาฝึกตนได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขากลับไม่อาจเข้าไปในสีมาเพลาได้ ดังนั้นจึงเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย

“ดาราจักรวาลกว้างใหญ่ยิ่งนัก การค้นหาทรัพยากรได้แต่อาศัยโชคชะตาเท่านั้น แทนที่จะท่องไปในห้วงดาราให้เสียเวลาเปล่า คงได้แต่เลือกเสี่ยงอันตรายแล้ว หวังว่าบรรดามกุฎเต๋าเหล่านั้นจะไม่ถูกมกุฎเต๋าสังสารวัฏดึงไปเป็นพวกจนหมด”

แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ แต่หลัวซิวกลับคิดว่าความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก เขาคิดว่ามกุฎเต๋าบรรพโบราณที่สมคบคิดกับมกุฎเต๋าสังสารวัฏ อย่างมากมีไม่เกินสามคน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ