มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2966

ในตอนที่เวินเซิ่งได้กล่าวคำพูดเหล่านี้จบ อันที่จริงก็ได้เตรียมการที่จะลงมือแล้ว

เหมือนกับที่หลัวซิวคิดเอาไว้ไม่ผิด ที่เขาจงใจกล่าวถึงเรื่องผลเต๋าดั้งเดิม ก็เพราะต้องการให้หลัวซิวติดเบ็ด จากนั่นค่อยเชิญหลัวซิวไปยังแดนภูตศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน

และตามเวลาที่เขาได้นัดกันกับอีกสองคนเอาไว้ สองคนนั้นก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เพียงแค่เจ้าคนที่มีนามว่าจอมมกุฎไร้ลักษณ์คนนี้คิดจะลงมือหรือว่าหลบหนีไป เวินเซิ่งเชื่อว่าอาศัยความสามารถของตนเองจักต้องรั้งเอาไว้ได้ชั่วคราวอย่างแน่นอน

เช่นนั้นขอเพียงรอจนอีกสองคนที่เหลือมาถึง สามคนร่วมมือกันจัดการกับอีกฝ่ายย่อมไม่เป็นปัญหาอะไรอยู่แล้ว

แผนการที่เวินเซิ่งได้วางเอาไว้พวกนี้ เพียงแค่หลัวซิวใช้สมองคิดนิดหน่อยก็เข้าใจแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่กลัวทั้งสามคนร่วมมือกันต่อกรกับตนเอง ทว่าตอนนี้เขายังไม่คิดที่จะแตกคอกับเจ้าอ้วนคนนี้

“เหอะ ๆ เพื่อนผู้ยุทธ์เวินคิดรอบคอบจริง ๆ เพื่อนผู้ยุทธ์อีกสองท่านจะมาถึงเมื่อไหร่หรือ?” หลัวซิวยิ้มกล่าว

ปฏิกิริยาของหลัวซิว ทำให้เวินเซิ่งชะงักเล็กน้อย เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าจอมมกุฎไร้ลักษณ์ผู้นี้ไม่รู้สึกตัวจริง ๆ หรือว่ากำลังเสแสร้งแกล้งเป็นไม่รู้อยู่กันแน่?

“เจ้าอ้วนเวิน? ตกลงกันไว้ว่าสามคนมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมีเพิ่มมาอีกคนล่ะ? เจ้าหมอนี่เป็นใคร?”

จู่ ๆ เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังลอยมา แล้วเอ่ยถามขึ้นมาเป็นชุด

ความจริงแล้วก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขึ้น ตัวสำนึกของหลัวซิวก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายแล้ว นอกเหนือจากคนที่กำลังพูดอยู่นี้ ยังมีอีกคนหนึ่ง มากันทั้งหมดสองคน ต่างมีผลการฝึกตนในแดนผู้สูงส่ง

สองคนนี้ แบ่งเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ที่เอ่ยปากในเมื่อสักครู่นั้นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมในชุดเรียบง่ายกะทัดรัดแขนสั้น คาบหญ้าไว้ในปาก ให้ความรู้สึกเหมือนอันธพาลแก่ผู้คน

ส่วนสตรีอีกคนนั้น สวมในชุดรัดรูปสีดำ แส้ยาวเส้นหนึ่งผูกไว้ที่สะเอว สองมือกอดอก รูปร่างทรวดทรงนูนเว้าชัดเจน รูปหน้างดงามกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความยิ่งยโส ให้ความรู้สึกยากที่จะเข้าหาแก่ผู้คน

เมื่อหลัวซิวได้เห็นภาพลักษณ์ของทั้งสองคนนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนกัน นับรวมเจ้าแซ่เวินคนนั้นด้วย ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็รู้สึกว่าทั้งสามคนนี้ไม่ปกติเลยสักคน

“สหายไช่ นี่คือเพื่อนผู้ยุทธ์ที่ข้าได้เชิญมาด้วยในระหว่างทาง จอมมกุฎไร้ลักษณ์”

เวินเซิ่งยิ้มเล็กน้อย กล่าวแนะนำ: “จอมมกุฎไร้ลักษณ์ สองท่านนี้คือสหายของข้า”

“อ๋อ?”

เมื่อได้ยินว่าเวินเป็นคนเชิญมา ชายวัยกลางคนนามไช่เม่าผู้นั้นจึงได้มองหลัวซิวอีก “ข้ามองผลการฝึกตนของเจ้าไม่ออกเลย? หรือเจ้าจะเป็นผู้สูงส่งช่วงกลาง?”

พอได้กล่าวเช่นนี้ออกมา สตรีชุดดำนามหวางหงคนนั้นก็ได้กวาดตัวสำนึกเข้ามาทันที สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ความจริงแล้วตอนที่เวินเซิ่งกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมาในเมื่อสักครู่ ไช่เม่ากับหวางหงก็รู้แล้วว่าเวินเซิ่งคิดจะทำอะไร หากเป็นผู้สูงส่งช่วงกลางคนหนึ่ง ในมือต้องมีของดี ๆ อยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน

“เพียงแค่วรยุทธ์ที่ข้าน้อยฝึกฝนนั้นค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นจึงทำให้พวกท่านมองผลการฝึกตนของข้าไม่ทะลุ อันที่จริงข้าเองก็เหมือนกับทุกท่าน ต่างมีผลการฝึกตนแดนผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิ”

หลัวซิวกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ได้ปลดปล่อยรัศมีพลังผลการฝึกตนของตัวเอง

เมื่อคำกล่าวนี้ถูกพูดออกมา อย่าว่าแต่เวินเซิ่งเลย แม้แต่ไช่เม่ากับหวางหงก็ยังหมดคำจะพูด บนโลกนี้มีคนใสซื่ออย่างเจ้าหมอนี่อยู่อย่างนั้นหรือนี่? เจ้าหมอนี้ใสซื่อจริง หรือแสร้งทำเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือกันแน่? สาวไส้ตัวเองออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้มันดีจริงหรือ?

ทั้งสามคนแอบสื่อสารกันทางสายตาอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ใช้ตัวสำนึกสื่อสารกัน แต่ต่างก็เข้าใจความหมายของกันและกัน นั่นก็คือยังไม่ลงมือในตอนนี้ คอยดูความตื้นลึกหนาบางของเจ้าหมอนี่ก่อนค่อยว่ากัน

“วรยุทธ์พิเศษที่สามารถฝึกฝนจนบรรลุแดนผู้สูงส่งได้นั้นพบเห็นยากยิ่งนัก”

ไช่เม่ายิ้มกล่าวหนึ่งประโยค “ในเมื่อมากันครบแล้ว เช่นนั้นก็เข้าไปพร้อมกันเถอะ”

สตรีที่ชื่อหวางหงนางนั้นขมวดคิ้วเรียวงามมองหลัวซิว แต่กลับไม่ได้พูดอะไร

ทั้งสี่คนขี่อยู่บนลำแสงของคนเองแล้วเหาะมุ่งหน้าไปยังแสงดาว ที่อยู่ข้างหน้า เวินเซิ่งกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “จอมมกุฎไร้ลักษณ์ท่านไม่เคยมาที่นี่ ดังนั้นข้าจึงขอเตือนท่านเอาไว้ก่อน อีกสักครู่พอเข้าไปในแสงดาวแล้วตัวสำนึกวิญญาณจะถูกควบคุมไม่อาจเรียกใช้ได้ รัศมีดาราที่อยู่ในแสงดาวยังจะสยบผลการฝึกตนของท่านเอาไว้ ท่านจักต้องเตรียมใจเอาไว้ก่อน”

“อืม ขอบคุณเพื่อนผู้ยุทธ์เวินที่เตือน” หลัวซิวประสานมือด้วยท่าทางได้รับการชี้แนะ

แสงดาวดูเหมือนจะอยู่ใกล้ ทว่าผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่งทั้งสี่คนกลับใช้เวลาสี่ชั่วยาม ถึงได้เข้ามาในเขตบริเวณแสงดาว

เพิ่งจะเข้ามาในแสงดาว รัศมีดาราที่อยู่โดยรอบก็ถาโถมเข้ามาทันที รัศมีดาราที่ดูสงบเหมือนดั่งเกิดลมพายุกรรโชก รัศมีดาราสายแล้วสายเล่าพัดเป่าเข้ามาเหมือนดาบดั่งกระบี่ กระแสเสียงน่าเกรงกลัว

พวกเวินเซิ่งทั้งสามคนไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว บ้างก็เรียกใช้แรงเต๋าคุ้มครองกาย บ้างก็อัญเชิญของขลังคุ้มครองกาย ต้านทานการโจมตีเหล่านี้เอาไว้ด้านนอก

ส่วนหลัวซิวไม่รู้เรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงถูกรัศมีดาราเฉกเช่นดาบกระบี่พวกนั้นกระแทกร่างอย่างไม่ทันทั้งตัว แม้ว่าร่างเนื้อของเขาจะทัดเทียมได้กับอาวุธเทพมหาศักดิ์ แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดเป็นระยะ

นี่ทำให้หลัวซิวมีสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย เขารู้โดยไม่ต้องคิดว่าพวกเวินเซิ่งจงใจ พวกเขาจงใจไม่บอกเรื่องพวกนี้กับตนเอง เพราะต้องการดูว่าตนเองจะรับมือเช่นไร เพื่อใช้คาดคะเนฝีมือของเขา

“เพื่อนผู้ยุทธ์ตอบโต้ช้าไปหน่อยนะ ข้าได้บอกก่อนหน้านี้แล้วมิใช่หรือว่า ทันทีที่เข้ามาในขอบเขตของแสงดาว ก็จะเกิดอันตรายรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมาในรัศมีดารา”

เวินเซิ่งกลับไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ แสดงออกมาให้เห็นเลยสักนิด ราวกับว่าเขาได้เตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตัวหลัวซิวไม่ใส่ใจเองถึงทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้

“นั่นสิ จอมมกุฎไร้ลักษณ์ระวังหน่อยจะดีกว่า โชคดีที่ท่านเป็นผู้แข็งแกร่งกลั่นร่าง มิเช่นนั้นเมื่อสักครู่คงอันตรายมากแน่” ไช่เม่าเองก็คอยกล่าวเสริมอยู่ด้านข้าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ