ในตอนที่เวินเซิ่งได้กล่าวคำพูดเหล่านี้จบ อันที่จริงก็ได้เตรียมการที่จะลงมือแล้ว
เหมือนกับที่หลัวซิวคิดเอาไว้ไม่ผิด ที่เขาจงใจกล่าวถึงเรื่องผลเต๋าดั้งเดิม ก็เพราะต้องการให้หลัวซิวติดเบ็ด จากนั่นค่อยเชิญหลัวซิวไปยังแดนภูตศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน
และตามเวลาที่เขาได้นัดกันกับอีกสองคนเอาไว้ สองคนนั้นก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เพียงแค่เจ้าคนที่มีนามว่าจอมมกุฎไร้ลักษณ์คนนี้คิดจะลงมือหรือว่าหลบหนีไป เวินเซิ่งเชื่อว่าอาศัยความสามารถของตนเองจักต้องรั้งเอาไว้ได้ชั่วคราวอย่างแน่นอน
เช่นนั้นขอเพียงรอจนอีกสองคนที่เหลือมาถึง สามคนร่วมมือกันจัดการกับอีกฝ่ายย่อมไม่เป็นปัญหาอะไรอยู่แล้ว
แผนการที่เวินเซิ่งได้วางเอาไว้พวกนี้ เพียงแค่หลัวซิวใช้สมองคิดนิดหน่อยก็เข้าใจแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่กลัวทั้งสามคนร่วมมือกันต่อกรกับตนเอง ทว่าตอนนี้เขายังไม่คิดที่จะแตกคอกับเจ้าอ้วนคนนี้
“เหอะ ๆ เพื่อนผู้ยุทธ์เวินคิดรอบคอบจริง ๆ เพื่อนผู้ยุทธ์อีกสองท่านจะมาถึงเมื่อไหร่หรือ?” หลัวซิวยิ้มกล่าว
ปฏิกิริยาของหลัวซิว ทำให้เวินเซิ่งชะงักเล็กน้อย เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าจอมมกุฎไร้ลักษณ์ผู้นี้ไม่รู้สึกตัวจริง ๆ หรือว่ากำลังเสแสร้งแกล้งเป็นไม่รู้อยู่กันแน่?
“เจ้าอ้วนเวิน? ตกลงกันไว้ว่าสามคนมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมีเพิ่มมาอีกคนล่ะ? เจ้าหมอนี่เป็นใคร?”
จู่ ๆ เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังลอยมา แล้วเอ่ยถามขึ้นมาเป็นชุด
ความจริงแล้วก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขึ้น ตัวสำนึกของหลัวซิวก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายแล้ว นอกเหนือจากคนที่กำลังพูดอยู่นี้ ยังมีอีกคนหนึ่ง มากันทั้งหมดสองคน ต่างมีผลการฝึกตนในแดนผู้สูงส่ง
สองคนนี้ แบ่งเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ที่เอ่ยปากในเมื่อสักครู่นั้นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมในชุดเรียบง่ายกะทัดรัดแขนสั้น คาบหญ้าไว้ในปาก ให้ความรู้สึกเหมือนอันธพาลแก่ผู้คน
ส่วนสตรีอีกคนนั้น สวมในชุดรัดรูปสีดำ แส้ยาวเส้นหนึ่งผูกไว้ที่สะเอว สองมือกอดอก รูปร่างทรวดทรงนูนเว้าชัดเจน รูปหน้างดงามกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความยิ่งยโส ให้ความรู้สึกยากที่จะเข้าหาแก่ผู้คน
เมื่อหลัวซิวได้เห็นภาพลักษณ์ของทั้งสองคนนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนกัน นับรวมเจ้าแซ่เวินคนนั้นด้วย ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็รู้สึกว่าทั้งสามคนนี้ไม่ปกติเลยสักคน
“สหายไช่ นี่คือเพื่อนผู้ยุทธ์ที่ข้าได้เชิญมาด้วยในระหว่างทาง จอมมกุฎไร้ลักษณ์”
เวินเซิ่งยิ้มเล็กน้อย กล่าวแนะนำ: “จอมมกุฎไร้ลักษณ์ สองท่านนี้คือสหายของข้า”
“อ๋อ?”
เมื่อได้ยินว่าเวินเป็นคนเชิญมา ชายวัยกลางคนนามไช่เม่าผู้นั้นจึงได้มองหลัวซิวอีก “ข้ามองผลการฝึกตนของเจ้าไม่ออกเลย? หรือเจ้าจะเป็นผู้สูงส่งช่วงกลาง?”
พอได้กล่าวเช่นนี้ออกมา สตรีชุดดำนามหวางหงคนนั้นก็ได้กวาดตัวสำนึกเข้ามาทันที สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ความจริงแล้วตอนที่เวินเซิ่งกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมาในเมื่อสักครู่ ไช่เม่ากับหวางหงก็รู้แล้วว่าเวินเซิ่งคิดจะทำอะไร หากเป็นผู้สูงส่งช่วงกลางคนหนึ่ง ในมือต้องมีของดี ๆ อยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน
“เพียงแค่วรยุทธ์ที่ข้าน้อยฝึกฝนนั้นค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นจึงทำให้พวกท่านมองผลการฝึกตนของข้าไม่ทะลุ อันที่จริงข้าเองก็เหมือนกับทุกท่าน ต่างมีผลการฝึกตนแดนผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิ”
หลัวซิวกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ได้ปลดปล่อยรัศมีพลังผลการฝึกตนของตัวเอง
เมื่อคำกล่าวนี้ถูกพูดออกมา อย่าว่าแต่เวินเซิ่งเลย แม้แต่ไช่เม่ากับหวางหงก็ยังหมดคำจะพูด บนโลกนี้มีคนใสซื่ออย่างเจ้าหมอนี่อยู่อย่างนั้นหรือนี่? เจ้าหมอนี้ใสซื่อจริง หรือแสร้งทำเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือกันแน่? สาวไส้ตัวเองออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้มันดีจริงหรือ?
ทั้งสามคนแอบสื่อสารกันทางสายตาอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ใช้ตัวสำนึกสื่อสารกัน แต่ต่างก็เข้าใจความหมายของกันและกัน นั่นก็คือยังไม่ลงมือในตอนนี้ คอยดูความตื้นลึกหนาบางของเจ้าหมอนี่ก่อนค่อยว่ากัน
“วรยุทธ์พิเศษที่สามารถฝึกฝนจนบรรลุแดนผู้สูงส่งได้นั้นพบเห็นยากยิ่งนัก”
ไช่เม่ายิ้มกล่าวหนึ่งประโยค “ในเมื่อมากันครบแล้ว เช่นนั้นก็เข้าไปพร้อมกันเถอะ”
สตรีที่ชื่อหวางหงนางนั้นขมวดคิ้วเรียวงามมองหลัวซิว แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสี่คนขี่อยู่บนลำแสงของคนเองแล้วเหาะมุ่งหน้าไปยังแสงดาว ที่อยู่ข้างหน้า เวินเซิ่งกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “จอมมกุฎไร้ลักษณ์ท่านไม่เคยมาที่นี่ ดังนั้นข้าจึงขอเตือนท่านเอาไว้ก่อน อีกสักครู่พอเข้าไปในแสงดาวแล้วตัวสำนึกวิญญาณจะถูกควบคุมไม่อาจเรียกใช้ได้ รัศมีดาราที่อยู่ในแสงดาวยังจะสยบผลการฝึกตนของท่านเอาไว้ ท่านจักต้องเตรียมใจเอาไว้ก่อน”
“อืม ขอบคุณเพื่อนผู้ยุทธ์เวินที่เตือน” หลัวซิวประสานมือด้วยท่าทางได้รับการชี้แนะ
แสงดาวดูเหมือนจะอยู่ใกล้ ทว่าผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่งทั้งสี่คนกลับใช้เวลาสี่ชั่วยาม ถึงได้เข้ามาในเขตบริเวณแสงดาว
เพิ่งจะเข้ามาในแสงดาว รัศมีดาราที่อยู่โดยรอบก็ถาโถมเข้ามาทันที รัศมีดาราที่ดูสงบเหมือนดั่งเกิดลมพายุกรรโชก รัศมีดาราสายแล้วสายเล่าพัดเป่าเข้ามาเหมือนดาบดั่งกระบี่ กระแสเสียงน่าเกรงกลัว
พวกเวินเซิ่งทั้งสามคนไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว บ้างก็เรียกใช้แรงเต๋าคุ้มครองกาย บ้างก็อัญเชิญของขลังคุ้มครองกาย ต้านทานการโจมตีเหล่านี้เอาไว้ด้านนอก
ส่วนหลัวซิวไม่รู้เรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงถูกรัศมีดาราเฉกเช่นดาบกระบี่พวกนั้นกระแทกร่างอย่างไม่ทันทั้งตัว แม้ว่าร่างเนื้อของเขาจะทัดเทียมได้กับอาวุธเทพมหาศักดิ์ แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดเป็นระยะ
นี่ทำให้หลัวซิวมีสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย เขารู้โดยไม่ต้องคิดว่าพวกเวินเซิ่งจงใจ พวกเขาจงใจไม่บอกเรื่องพวกนี้กับตนเอง เพราะต้องการดูว่าตนเองจะรับมือเช่นไร เพื่อใช้คาดคะเนฝีมือของเขา
“เพื่อนผู้ยุทธ์ตอบโต้ช้าไปหน่อยนะ ข้าได้บอกก่อนหน้านี้แล้วมิใช่หรือว่า ทันทีที่เข้ามาในขอบเขตของแสงดาว ก็จะเกิดอันตรายรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมาในรัศมีดารา”
เวินเซิ่งกลับไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ แสดงออกมาให้เห็นเลยสักนิด ราวกับว่าเขาได้เตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตัวหลัวซิวไม่ใส่ใจเองถึงทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้
“นั่นสิ จอมมกุฎไร้ลักษณ์ระวังหน่อยจะดีกว่า โชคดีที่ท่านเป็นผู้แข็งแกร่งกลั่นร่าง มิเช่นนั้นเมื่อสักครู่คงอันตรายมากแน่” ไช่เม่าเองก็คอยกล่าวเสริมอยู่ด้านข้าง
“ข้าเข้าไปก่อน”
ในเวลานี้จู่ ๆ หวางหงที่เงียบมาโดยตลอดก็ได้เดินเข้าไปเป็นคนแรก เงาร่างพลันขยับ เข้าไปในวังวนรัศมีดารา หายไปไร้ร่องรอย
จากนั้นเวินเซิ่งก็มุดตามเข้าไป เหลือเพียงไช่เม่ากับหลัวซิว
“จอมมกุฎไร้ลักษณ์เข้าไปก่อนเถอะ ข้าจะรั้งท้ายเอง” ไช่เม่ากล่าวกับหลัวซิวด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าอีกฝ่ายจะกำลังยิ้มอยู่ แต่กลัวซิวกลับทราบเป็นอย่างดีว่าไช่เม่าเลือกเป็นคนรั้งท้ายก็เพื่อต้องการคอยเฝ้าจับตาตนเอง หากเขาไม่เข้าไปก่อน เกรงว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ทั้งสองคนจะลงมือ
แม้ว่าหลัวซิวจะไม่กลัวการลงมือ แต่เห็นได้ชัดว่าการลงมือในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไรนัก ดังนั้นเลยไม่พูดมากอะไร กระโดดตัวขึ้น แล้วเข้าไปในวังวนรัศมีดาราแห่งนั้น
ความรู้สึกของการวิ่งผ่านห้วงเวลาลอยเข้ามา จากนั้นหลัวซิวก็พบว่ารัศมีดาราที่มีเต็มไปในทุกที่รอบกายได้หายไปแล้ว
เขาพบว่าตนเองยืนอยู่ในสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง บนศีรษะคือท้องฟ้าสีคราม ใต้เท้าเป็นพื้นดินสีน้ำตาลอมเหลือง ด้านหน้าเต็มไปด้วยรูปปั้น รูปปั้นแต่ละองค์นั้นสูงนับหมื่นจั้ง มีสีทองทั้งร่าง เหมือนดั่งภูเขาที่หล่อหลอมขึ้นด้วยทองคำ สูงตระหง่านท่ามกลางทุ่งกว้าง
รูปปั้นแต่ละองค์มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป แต่หลัวซิวกลับไม่สามารถมองออกได้เลย แสงสีทองแผ่ซ่านออกมาจากร่างของรูปปั้น ส่องสว่างพื้นที่แห่งนี้ บนร่างของรูปปั้นทุกองค์มีลำแสงสายหนึ่งส่องขึ้นไปในอากาศ ลำแสงทุกสายได้รวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นพระอาทิตย์สีทองดวงหนึ่ง
“รูปปั้นทั้งสิบแปดองค์นี้เป็นใครกัน? แล้วใครกันเป็นคนสร้างไว้ที่ตรงนี้” ในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความสงสัย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ แล้วได้มองเห็นเวินเซิ่งกับหวางหงที่ซึ่งเข้ามาก่อน
“ผู้เพื่อนยุทธ์ยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้?”
ในตอนนี้เอง ลำแสงสายหนึ่งได้กะพริบขึ้นข้างกายหลัวซิว ไช่เม่าตามหลังเขาเข้ามาติด ๆ และได้ถูกส่งมาที่นี่เหมือนกัน
ไช่เม่าชี้ไปยังเวินเซิ่งกับหวางหงที่เดินอยู่ด้านหน้า ความหมายก็คือให้หลัวซิวเดินตามไป
หลัวซิวไม่ได้เอ่ยถามใด ๆ แล้วเดินไปข้างหน้าตามความหมายของไช่เม่า เมื่อเขาเดินมาถึงตรงกลางของรูปปั้นทั้งสิบแปดองค์ เขาก็มองเห็นประตูขนาดใหญ่บานหนึ่ง
ประตูบานนี้สูงตระหง่านใหญ่ยักษ์ มีความสูงนับหมื่นจั้ง ถูกรูปปั้นที่มีขนาดใหญ่สุดใช้มือทั้งสองประคองไว้บริเวณหน้าอก
“จอมมกุฎไร้ลักษณ์ ท่านมองเห็นตัวอักษรที่อยู่ด้านบนประตูนั่นหรือไม่?” เวินเซิ่งกับหวางหงเองก็ได้หยุดลง เงยหน้ามองประตูบานยักษ์ที่ส่องแสงสีทองเหลืองอร่ามบานนั้น
หลัวซิวเพ่งมองไป พบว่าบานประตูนั่นมีประตูใหญ่สีทองอยู่สองประตู ประตูด้านขวาเขียนเอาไว้ว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ส่วนประตูด้านซ้ายเขียนไว้ว่า ‘ภูต’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...