มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2967

“ภูตศักดิ์สิทธิ์?” หลัวซิวอ่านคำที่เขียนเอาไว้บนประตูออกมา เขามั่นใจว่าพวกเวินเซิ่งทั้งสามคนต่างก็มองเห็นแล้ว เป็นที่ประจักษ์ว่าประตูทั้งสองบานนี้ เป็นทางเข้าแดนภูตศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

“ถูกต้อง ที่นี่ก็คือประตูภูตศักดิ์สิทธิ์ ทว่าหากต้องการเข้าไป ก็จะต้องผลักเปิดประตูภูตศักดิ์สิทธิ์ออก” ในตอนนี้เองหวางหงที่เงียบขรึมพูดน้อยก็ได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“แต่หากต้องการผลักเปิดประตูภูตศักดิ์สิทธิ์ จักต้องอาศัยพลังของผู้สูงส่งช่วงปลายถึงจะได้ ดังนั้นพวกเราสี่คนจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันไปผลักเปิดประตู ถึงเป็นไปได้ที่จะเปิดมัน” เวินเซิ่งกล่าวเสริมอยู่ด้านข้าง

“ผู้แข็งแกร่งขั้นปฐมภูมิร่วมมือกันก็จะสามารถแสดงพลังที่เทียบเท่ากับผู้สูงส่งช่วงปลายออกมาได้อย่างนั้นหรือ? ล้อข้าเล่นหรืออย่างไร?”

คำพูดเช่นนี้แน่นอนว่าหลัวซิวจะไม่พูดมันออกมาอยู่แล้ว แต่ปกติแล้วขอเพียงเป็นคนที่มีความรู้ทั่วไปย่อมจักต้องรู้ ผลการฝึกตนแห่งยุทธ์บรรลุถึงแดนผู้สูงส่ง ความแตกต่างในแต่ละหนึ่งแดนเล็ก ล้วนมีความสามารถที่ห่างไกลกันยิ่งนัก

อย่าว่าแต่ผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิสี่คนเลย ต่อให้เป็นผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิสิบคน ก็อย่าคิดว่าจะแสดงพลังที่ทัดเทียมได้กับผู้สูงส่งช่วงปลายออกมาได้เลย เพราะผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิกับช่วงปลาย มีความแตกต่างโดยพื้นฐาน ความแตกต่างชนิดนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแรงเต๋า!

หากเปรียบแรงเต๋าของผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิมีสถานะเป็นแก๊ส เช่นนั้นแรงเต๋าของผู้สูงส่งช่วงปลายก็เป็นเหมือนดั่งหมอก ส่วนผู้สูงส่งช่วงปลายนั้น ได้มีสถานะเป็นของเหลวแล้ว ความแตกต่างระหว่างแก๊สกับของเหลว แค่จินตนาการก็เห็นภาพแล้ว

ภายในใจของหลัวซิวรู้สึกหมดคำจะพูดยิ่งนัก แม้แต่คำถามปัญญาอ่อนเช่นนี้คนพวกนี้ก็ยังพูดออกมาได้ ละครบทนี้ยังจำเป็นต้องแสดงต่ออีกหรือ?

แต่หลัวซิวเองก็ทราบดี ที่พวกเขาสามคนกล้าพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของพวกเขาไม่ได้ง่ายอย่างที่แสดงออกมาอย่างแน่นอน พวกเขามั่นใจว่าจะสามารถผลักเปิดประตูภูตศักดิ์สิทธิ์ได้

และถ้าหากพวกเขามีความสามารถเช่นนั้นอยู่จริง เช่นนั้นก็ไม่สำคัญแล้วว่าเขาจะมองเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาออกหรือไม่ เพราะถ้าหากแตกคอกัน ทั้งสามคนนี้มีความมั่นใจมากว่าจะจัดการกับเขาได้

“จอมมกุฎไร้ลักษณ์เห็นว่าอย่างไร?” เวินเซิ่งยิ้มมองไปยังหลัวซิว หรี่ตาลงจนเป็นเส้นขีด

“ข้าเห็นว่าความคิดของทั้งสามท่านดีมาก แต่ข้าน้อยมีความรู้แค่งู ๆ ปลา ๆ ต้องการเปิดประตูภูตศักดิ์สิทธิ์ ยังต้องอาศัยท่านทั้งสามเป็นหลัก” หลัวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ความหมายในสิ่งที่เขากล่าวมานั้นชัดเจนมากแล้ว เท่ากับเป็นการบอกพวกเวินเซิ่งทั้งสามคนว่า ข้าดูออกแล้วว่าพวกเจ้าสามคนไม่ใช่ผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิธรรมดาทั่วไป

“แหะ ๆ จอมมกุฎไร้ลักษณ์ช่างตาคมเสียจริง อาศัยความสามารถของพวกเราสามคนผลักเปิดประตูภูตศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเหลือเฟืออยู่แล้ว แต่เพื่อนผู้ยุทธ์จะเข้าไปในแดนภูตศักดิ์สิทธิ์กับพวกเรา ไม่ควรแสดงออกอะไรหน่อยหรือ?”

เวินเซิ่งยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้วแล้วถูไถกัน เป็นสัญลักษณ์มือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บวกกับดวงตาเล็ก ๆ ที่เหลือบมองแหวนเก็บของของหลัวซิว ความหมายเป็นที่ประจักษ์แจ้งยิ่งนัก

“เพื่อนผู้ยุทธ์เวินหมายความเช่นไร? หรือว่าท่านคิดจะฉวยโอกาสชิงทรัพย์? ต้องรู้นะว่าท่านเป็นคนชวนข้ามาด้วยเอง อย่างมากข้าหันหลังกลับไปตอนนี้จะเป็นไร” หลัวซิวทำเสียงฮึดฮัดครั้งหนึ่ง ดูท่าราวกับโกรธมาก

“เจ้าอ้วน รู้จักบันยะบันยังบ้าง เข้าไปในแดนภูตศักดิ์สิทธิ์ก่อนค่อยว่า” ไช่เม่าขมวดคิ้วกล่าวอยู่ด้านข้าง

“แหะ ๆ ข้าแค่ล้อเล่นกับจอมมกุฎไร้ลักษณ์เท่านั้นเอง” เวินเซิ่งเกาศีรษะกล่าวพลางหัวเราะ

หลัวซิวแอบเย้ยหยันอยู่ภายในใจ เขาไม่คิดว่าเจ้าอ้วนแซ่เวินคนนี้กำลังล้อเล่นอยู่หรอกนะ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอ้วนคนนี้คิดจะกำจัดเขาหลังจากเข้าไปในแดนภูตศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็แย่งเอาแหวนเก็บของของตนเองไปครอง

แต่เหมือนว่าไช่เม่าจะไม่อยากลงมือที่นี่ ซึ่งน่าจะมีเหตุผลอยู่สองประการ อย่างแรกคือไม่อยากลงมือสิ้นเปลืองพลังการฝึกตนของตนเอง อย่างที่สองเขาสัมผัสได้ว่าหลัวซิวไม่ธรรมดา

วิถีไร้ลักษณ์ไร้ซึ่งร่องรอยให้สืบเสาะ หลัวซิวคิดว่าข้อที่สองนั้นมีความเป็นไปได้น้อยมาก เช่นนั้นสาเหตุที่ไช่เม่าไม่อยากลงมือเป็นไปได้มากว่าจะเป็นข้อที่หนึ่ง

แน่นอน อาจจะมีเหตุผลข้อที่สามอยู่ด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือไช่เม่าคิดว่าเขายังมีประโยชน์อยู่

“เร็ว ๆ หน่อยสิ”

หวางหงกล่าวอย่างเรียบ ๆ หนึ่งประโยค จากนั้นก็กระโดดลอยตัวขึ้น กลายร่างเป็นเงาดำสายหนึ่ง ร่วงลงไปบนมือสองข้างที่ประคองอยู่บริเวณหน้าอกของรูปปั้นที่สูงที่สุด

รูปปั้นองค์นี้สูงนับหมื่นจั้ง สองมือขนาดใหญ่ที่ประคองอยู่ข้างหน้าหน้าอกมีบริเวณกว้างขวาง ประตูภูตศักดิ์สิทธิ์สีทอง อยู่ใกล้แค่เอื้อม

หลังจากได้ผ่านวังวนรัศมีดาราเข้ามาถึงที่นี่ หลัวซิวก็พบว่าเขาสามารถใช้ตัวสำนึกได้แล้ว ภายใต้การสำรวจอย่างใกล้ชิด บนประตูภูตศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองบาน เขาไม่ได้พบเห็นร่องรอยของค่ายกลใด ๆ

“เจ้าอ้วน ถึงทีเจ้าลงมือแล้ว” ไช่เม่ากล่าวขึ้นมา

“แหะ ๆ เรื่องเล็กน่า”

เจ้าอ้วนเวินยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นเขายกมือตบหน้าอกของตนเอง ลำแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากศีรษะของเขา ลอยวนอยู่เหนือศีรษะ กลายเป็นกรรไกรยักษ์สีดำสลับเขียว

“ไป!”

จากนั้นเจ้าอ้วนเวินก็ยกมือขึ้น กรรไกรยักษ์เขียวดำกลายเป็นลำแสงไปภายในพริบตา เสียงดังกระหึ่มหนึ่งครั้ง กระแทกเข้าใส่ประตูภูตศักดิ์สิทธิ์สีทองทั้งสองบาน

หลัวซิวมองเห็นอย่างชัดเจน การโจมตีครั้งนี้ของเจ้าอ้วนเวินจะดูไม่ได้อย่างเด็ดขาด อานุภาพสูงถึงขั้นผู้สูงส่งช่วงปลายอย่างแน่นอน ประตูทั้งสองบานสั่นสะเทือนอยู่สองสามครั้ง ประตูที่ปิดสนิท ได้แง้มออกเล็กน้อย

เพียงแต่ช่องที่แง้มเปิดออกนั้นมันแคบจนเกินไป ไม่นานก็ได้ปิดลงอีกครั้ง

“เจ้าอ้วน เจ้าไม่ได้กินข้างหรือไง? ข้าว่าเนื้อบนร่างของเจ้ามีไว้เสียเปล่ากระมัง?” ไช่เม่าคอยกล่าวเยอะเย้ยอยู่ด้านข้าง

“ร่างอันอวบอั๋นของข้าเต็มไปด้วยพลัง!” เจ้าอ้วนเวินทำท่าต่อยหมัดอ้วน ๆ ของเขา ดวงตาเล็ก ๆ เหลือบมองหวางหงด้วยหางตา กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ไม่แม้แต่จะชายตามองตนเลยสักนิด

นี่ทำให้เจ้าอ้วนเวินผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นความโหดเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นมาในดวงตาตีบเล็กคู่นั้น กรรไกรยักษ์สีเขียวดำพลันสั่นไหว กลายเป็นมังกรเทพสีเขียวตัวหนึ่ง และหงส์สีดำอีกหนึ่งตัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ