มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2969

แม้ว่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์ในแดนภูตศักดิ์สิทธิ์สักเท่าไรนัก แต่หลังจากแยกทางกับพวกเจ้าอ้วนเวิน หลัวซิวก็ได้สมุนไพรเทพระดับผู้สูงส่งมาอีกมากมาย

ในขณะเดียวกัน เขาก็ค้นพบกฎเกณฑ์บางอย่างในป่าเขาผืนนี้ของแดนภูตศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งเป็นสมุนไพรเทพที่มีระดับสูงยิ่งขึ้น ค่อยกลต้องห้ามที่อยู่โดยรอบก็จะแข็งแกร่งขึ้นตาม

สมุนไพรเทพระดับผู้สูงส่งชั้นสูงจักต้องมีพลังของระดับผู้แกร่งเลิศถึงจะสามารถเอามันมาได้ และถ้าหากเป็นสมุนไพรเทพระดับผู้สูงส่งชั้นยอด เช่นนั้นก็จะต้องมีพลังของผู้แกร่งเลิศขั้นสุดยอดถึงจะเอามาได้

ธรรมดา ชั้นหนึ่ง ชั้นสุดยอด แม้จะเป็นความสามารถในแดนเดียวกันแต่ก็แตกต่างกันมาก ผู้แกร่งเลิศชั้นสุดยอดคนหนึ่งสามารถกำจัดผู้แกร่งเลิศธรรมดาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นคิดจะเอาสมุนไพรเทพระดับผู้สูงส่งชั้นยอดในที่นี้มาครอง แม้แต่หลัวซิวเองก็ยังทำไม่ได้

ความสามารถของเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้แกร่งเลิศธรรมดาทั่วไปอีกเล็กน้อย แต่มันก็มีขีดจำกัด

แม้ว่าจะเอวสมุนไพรเทพระดับผู้สูงส่งชั้นยอดมาครองไม่ได้ แต่ยาเซียนผู้สูงส่งระดับชั้นสูงกับชั้นกลางไม่รู้เขาเก็บมาได้แล้วเท่าไหร่ ส่วนระดับล่างพวกนั้น เขาได้เก็บจนเมื่อยมือไปหมด แทบไม่อยากเก็บมันอีกแล้ว

ป่าเขาแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางมาก เพราะไม่รู้ว่าจะมีอันตรายซ่อนอยู่บนท้องฟ้าหรือไม่ ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้ลอยเหาะขึ้นไปอย่างสุ่มสี่สุ่มหน้า เนื่องจากตอนที่พวกหวางหงกับเจ้าอ้วนเวินทั้งสามคนจากไปก็ไม่ได้ใช้วิธีเหาะเหิน แต่ได้เดินจากไปแทน

พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าวันเสียแล้ว หลัวซิวได้พบเห็นชายขอบของป่าเขาแห่งนี้ และในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา เขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของผลเต๋าดั้งเดิมเลยสักนิด

ตอนที่หลัวซิวเดินออกจากป่าเขาแห่งนี้ การมองเห็นของเขาก็ขยายกว้างขึ้นมาทันที และที่ด้านหน้าของเขา เขาได้พบกับประตูใหญ่สีทองสองบานอีกครั้ง

ประตูใหญ่สองบานนี้ คล้ายกับประตูภูตศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่เขาเข้าในแดนภูตศักดิ์สิทธิ์ แต่มันมีขนาดเล็กกว่ามาก แถมเขายังได้มองเห็นตำหนักตั้งสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง แผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายโบราณเก่าแก่

มีป้ายแผ่นหนึ่งแขวนอยู่บนประตูใหญ่สีทองสองบาน ด้านบนเขียนเอาไว้ว่า ‘ตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์ ’

หลัวซิวเดินเข้าไป จากนั้นก็พบว่าบนประตูใหญ่สีทอง มีลายค่ายสลับตัดกันอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ลายค่ายสายแล้วสายเล่าพันทับอยู่ด้วยกัน กลายเป็นสัญลักษณ์มากมาย

ไม่ว่าจะเป็นในระบบการฝึกตน หรือในระบบวิถีค่ายก็ตาม ลำดับขั้นของสัญลักษณ์ล้วนอยู่เหนือลายค่าย

สัญลักษณ์พวกนี้มีแสงเซียนเปล่งประกายแวววาว แฝงไปด้วยความลึกลับมหัศจรรย์มากมาย หลัวซิวมองเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สัมผัสรู้ได้ถึงวิชากลั่นร่างหรือแม้กระทั่งวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ

“หรือว่าจะเป็นเคล็ดสืบทอด?”

หลัวซิวตะลึงสุดขีด เพียงแค่ลายเส้นที่ทิ้งไว้ที่นี่ก็ทำให้คนสัมผัสรู้ได้ถึงวรยุทธ์ มันชักจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว

เนื่องจากถึงแม้จะเป็นวรยุทธ์ที่สัมผัสรู้ได้จากการมองแค่ไม่กี่ครั้ง อย่างน้อยก็เป็นวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า และที่เขาสัมผัสรู้ได้ เป็นเพียงสิ่งที่ผิวเผินที่สุดเท่านั้น

หากสามารถสัมผัสรู้ในสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าได้ เช่นนั้นจะไม่สัมผัสได้ถึงวรยุทธ์ระดับผู้สูงส่ง วรยุทธ์ระดับประมุขเต๋า หรือแม้กระทั่งวรยุทธ์ระดับเซียนเลยหรอกหรือ?

ไม่นานหลัวซิวก็ได้ถลำลึกเข้าไป ตอนนี้เขาใช้วิถีไร้ลักษณ์ไปอนุมานนั่นเอง เขาก็ได้เกิดการค้นพบใหม่อีกครั้ง

เขาพบว่าบนประตูของตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์สลักไว้ด้วยลายเส้นธรรมเวชที่ใกล้เคียงกับดั้งเดิมมาก ก็เหมือนกับแหล่งต้นกำเนิดของธรรมเวช แต่ละคนที่มาสัมผัสรู้ วรยุทธ์ที่สัมผัสรู้ได้ก็จะแตกต่างกันออกไป

เขาเหมือนจะเข้าใจความหมายของคำว่าภูตศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาคร่าว ๆ แล้ว คำว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ หมายถึงวิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ของร่างเนื้อกลายศักดิ์สิทธิ์ ส่วนคำว่า ‘ภูต’ นั้นย่อมเป็นวิถีภูตเซียนของการเปลี่ยนแปลงภูตเซียน

ร่างเนื้อกลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ ช่องจิตกลายเป็นภูตเซียน เช่นนั้นต่อให้เป็นในบรรดาชาวเซียนที่อยู่ในแดนเดียวกัน ก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาชาวเซียน

ลายเส้นที่อยู่บนประตูใหญ่ตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ ส่วนมากเป็นสิ่งชี้นำทาง หากสามารถสัมผัสรู้จากผิวเผินจนถึงขั้นลึกที่สุดได้ เช่นนั้นจากลายเส้นและสัญลักษณ์พวกนี้ ก็จะสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงเส้นทางกลายเซียน แถมยังเป็นวิถีเซียนที่ร้ายกาจอย่างการฝึกฝนร่างศักดิ์สิทธิ์กับภูตเซียนไปพร้อมกันอีกด้วย!

ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้ไปตระหนักรู้ตามแนวทางที่ด้านบน เนื่องจากสิ่งที่วิถีไร้ลักษณ์ของเขาใส่ใจคือการไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ หากวิถีของเขาทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างลายเส้นและสัญลักษณ์ที่อยู่บนประตู เช่นนั้นวิถีของเขาก็จะไม่ใช่ไร้ลักษณ์อีกต่อไป แต่เป็นกลายเป็นมีรูปลักษณ์แทน

ดังนั้นจู่ ๆ หลัวซิวก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมา ลองปรับเปลี่ยนการจัดเรียงของลายเส้นและสัญลักษณ์ที่อยู่บนประตู ตามความคิดและความต้องการของตนเอง

สาเหตุที่ทำเช่นนี้ เพราะเขาคิดว่าเปลี่ยนแปลงตามความคิดของตนเอง ความลึกลับมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ด้านใน ถึงจะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

เดิมทีหลัวซิวคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะทำสำเร็จ เขาเพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น แต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ เขาสามารถปรับเปลี่ยนการจัดเรียงของลายเส้นและสัญลักษณ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

ในตอนที่หลัวซิวค้นพบตรงจุดนี้นั้น เขาถึงกับชะงักไป จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่ามีความอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างครอบงำเจ้ามาหาเขา

“พรึบ!”

ลำแสงที่เจิดจรัสได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากลายเส้นและสัญลักษณ์ที่อยู่บนประตูใหญ่ของตำหนักภูตศักดิ์สิทธิ์พวกนั้น จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นเงามายาของคนผู้หนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงขาวเจิดจรัส

เงามายานี้ค่อนข้างจะเลือนราง ทว่าแสงบนร่างของเขากลับเจิดจ้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทำให้คนไม่อาจมองด้วยตาเปล่า กระแสพลังบนร่างของเขายังมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คนอยากจะเข้าไปก้มลงกราบไหว้ ถึงแม้จะแข็งแกร่งอย่างผู้สูงส่งหรือประมุขเต๋า เมื่ออยู่ตรงหน้าของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากมด

ไม่มีลางบอกกล่าวใด ๆ ร่างมายาซึ่งเป็นดั่งเทพพระเจ้าที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันนี้ได้ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น เฉกเช่นเทพเจ้าผู้สูงส่งกำลังจะขยี้มดตัวหนึ่ง ส่วนหลัวซิว ก็คือมดตัวนั้น!

วินาทีต่อมา หลัวซิวรู้สึกว่าตนเองได้ถูกกระแสพลังอันน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุดล็อกเป้าเอาไว้ อย่าว่าแต่ให้เขาลงมือเลย แม้แต่ร่างกายของเขาก็ยังขยับเขยื้อนไม่ได้ ผลการฝึกตนทั้งหมดล้วนถูกระงับเอาไว้ ได้แต่มองมือของอีกฝ่ายฟาดเข้ามายังศีรษะของตนเอง

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ