มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2981

มกุฎเต๋าเทียนชูได้ส่งประมุขเต๋าแห่งเผ่าฟ้าเข้าไปในโลกคุกเซียนทั้งหมดหกคน วินาทีนี้หลัวซิวก็พบเจอสามคนแล้ว ซึ่งไม่ได้หมายความว่าประมุขเต๋าทั้งหกแยกกันออกปฏิบัติการ แต่เป็นเพราะอีกสามคนที่เหลือถูกเหล่าเซียนโบราณที่กักขังอยู่ในคุกเซียนกำจัดทิ้งไปแล้ว

หากไม่ใช่เพราะอาศัยความเร็วของภัณฑ์เซียนหกเหิน คาดว่าพวกเขาประมุขเต๋าทั้งหกอาจได้ตายอยู่ในนี้หมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไล่ล่าพวกหลัวซิวเลย

แสงกลสองดวงกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอยู่ในอนัตตา แต่เดิมทีทั้งโลกคุกเซียนก็ไม่ถือว่ากว้างใหญ่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากที่ผ่านไปไม่นานนัก เมื่อหลัวซิวเป็นฝ่ายบินเข้าไปในเหนือนภาของสถานที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่งก่อน จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากมายมหาศาล

“ดูท่าเราน่าจะเข้าสู่สถานที่แห่งนั้นแล้ว”หญิงชุดเขียวที่อยู่ข้างกายหลัวซิวก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันเช่นกัน

สำหรับสถานที่ที่นางกล่าวถึงนั้น หลัวซิวไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสถานที่ที่ราชาเซียนชางหลานกดอัดราชาเซียนอีกคนหนึ่งแน่นอน

จักรวาลสามโลกาในปัจจุบัน ขอแค่มีเซียนอุบัติขึ้นมาคนหนึ่ง เช่นนั้นเซียนดังกล่าวก็ต้องเป็นผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้าอย่างแน่นอน และเมื่ออยู่ต่อหน้าราชาเซียนในตำนาน เซียนก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยต่ำต้อยที่ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเท่านั้นแหละ เมื่ออยู่ในสถานที่ที่ปิดผนึกผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

“ที่นี่แห้งแล้งไม่มีหญ้าขึ้นเลย รถรางว่างเปล่า ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนสถานที่ที่จักมีโอสถเซียนถูกหล่อเลี้ยงขึ้นมา”หลัวซิวขมวดคิ้วพลางพูด

“นั่นเป็นเพราะเรายังไม่ได้เข้าสู่สถานผนึกตราที่แท้จริง ต่อให้เป็นตราผนึกที่แข็งแกร่งมากเพียงใด เวลาล่วงเลยมายาวนานเช่นนี้ พลานุภาพก็ต้องลดลงอย่างมาก พลังของราชาเซียนที่ถูกผนึกก็ต้องรั่วไหลออกมาบ้างไม่มากก็น้อย ถึงจะไม่มีดอกเทพหลัวเทียนหยวนกำเนิด ก็ต้องมีสมบัติชนิดอื่น ๆ กำเนิดแน่นอน”

หญิงชุดเขียวมองหลัวซิวรอบหนึ่ง นางต้องรู้อยู่แล้วว่าหลัวซิวไม่อยากเสี่ยงอันตราย ดังนั้นจึงพูดว่า “ข้าแค่ต้องการดอกเทพหลัวเทียนหยวน หากมีสมบัติอื่น ล้วนแต่จะเป็นของเจ้า”

“โครม!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีความรู้สึกหน้ามืดหัวหมุนเกิดขึ้นในตัวหยั่งรู้ ราวกับภาพเหตุการณ์ที่อยู่รอบ ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนตนอยู่ในห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป จากนั้นพลังตัวสำนึกวิญญาณของเขาก็ปะทุ ภาพฉากบริเวณรอบ ๆ แตกสลายกะทันหัน ก่อนที่ความรู้สึกเขาจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

เมื่อหลัวซิวฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ พบว่ามีเกราะป้องกันทรงกลมสีฟ้าชั้นหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากตัวหญิงชุดเขียว ซึ่งเกราะป้องกันดังกล่าวนี่แหละที่ทำการคุ้มกันนางและลู่เมิ่งเหยาเอาไว้

“เมื่อครู่นั่นคืออะไร?”อารมณ์ความรู้สึกของหลัวซิวเข้มงวดขึ้นมา ตัวสำนึกก็แผ่กระจายออกไปเช่นกัน สังเกตลาดเลาบริเวณรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่นี้ เกิดขึ้นเพราะวิญญาณหยั่งรู้ของเขาถูกโจมตี ด้วยเหตุนี้จิตสำนึกจึงถูกพลังอำนาจดึงเข้าไปในแดนมิติ

ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเขาตอบสนองกลับมาได้ทัน ทันทีที่เข้าสู่แดนมิติ เกรงว่าเขาคงไม่อาจทราบได้ด้วยซ้ำว่าตนตายอย่างไรกันแน่

“นั่นคืออานุภาพที่แฝงซ่อนอยู่ในพลังออร่าของราชาเซียน”หญิงชุดเขียวอธิบาย “ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนนั้น ภายในพลังออร่าบนตัวล้วนมีอำนาจเซียนที่เป็นหนึ่งไม่เป็นรองแฝงซ่อนอยู่ทั้งนั้น ซึ่งสิ่งที่เจ้าสัมผัสได้ในเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงอานุภาพอันน้อยนิดของราชาเซียนที่ผ่านการชะล้างจากกาลเวลาที่ยาวนานอย่างไม่รู้จบ”

อ้างอิงจากคำพูดของหญิงชุดเขียว หากเป็นอานุภาพสมบูรณ์แบบที่แฝงซ่อนอยู่ในออร่าของราชาเซียน เช่นนั้นวิญญาณหยั่งรู้ของเขาคงแตกสลายไปตั้งนานแล้ว

“นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว”สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป มองหญิงชุดเขียวรอบหนึ่ง “เจ้าไม่สามารถโคจรผลการฝึกตนได้ตามอำเภอใจมิใช่หรือ แล้วแสงฟ้าที่อยู่บนตัวเจ้าคืออะไร?”

“นี่คือภัณฑ์เซียนคุ้มกายชิ้นหนึ่งบนตัวข้า ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันการโจมตีจำพวกวิญญาณตัวสำนึกโดยเฉพาะ”หญิงชุดเขียวค่อย ๆ ยกมือข้างซ้ายขึ้นมา เห็นเพียงข้อมือข้างซ้ายนางมีสร้อยข้อมือแก้วคริสตัลสีฟ้าหนึ่งเส้น ซึ่งประณีตสวยวิจิตรอย่างยิ่ง

มีความโศกเศร้าเสี้ยวหนึ่งทะลุออกมาจากแววตาหญิงชุดเขียว ในขณะเดียวกันนางก็ยกมือขวาขึ้นที่ว่างเปล่าขึ้นมาดู พลางถอนหายใจเบา ๆ ครั้งหนึ่ง

เดิมทีนางมีสร้อยข้อมือสองเส้นอยู่ สร้อยข้อมือสีฟ้ามีหน้าที่ป้องกันพลังโจมตีวิญญาณโดยเฉพาะ และมีสร้อยข้อมือสีทองอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งใช้ป้องกันพลังโจมตีกายภาพโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตามในศึกสงครามที่ยิ่งใหญ่นั้น มาตรแม้นว่ามีภัณฑ์เศษณ์เช่นนี้คุ้มกันร่าง นางก็เกือบไม่มีชีวิตรอดอยู่ดี ส่วนสร้อยข้อมือสีทองก็แตกสลายเป็นฝุ่นผงไปเพราะต้านทานพลังโจมตีที่ทรงพลังไม่ไหว

“สมบัติชิ้นนี้ของข้าแค่สามารถคุ้มกันคนได้มากสุดแค่คนเดียว อีกทั้งข้าไม่อยากให้ผู้ชายคนหนึ่งเข้าใกล้ข้ามากเกินไปด้วย ฉะนั้นเจ้าจึงต้องต้านทานพลังโจมตีตัวหยั่งรู้เช่นนี้ด้วยตนเอง”หญิงชุดเขียวตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้า

“เจ้าพูดตรงไปตรงมาเกินไปแล้วกระมัง?”หลัวซิวทำท่ายักไหล่อย่างรู้สึกปลง

“ข้าเป็นคนที่ไม่ชอบอ้อมค้อมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มิหนำซ้ำนี่ก็เป็นการขัดเกลาสำหรับเจ้าเช่นกัน เป็นโชคโอกาสที่สามารถอาศัยพลังออร่าของราชาเซียนมาขัดเกลาวิญญาณตัวสำนึก มันไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้เชียวนะ”หญิงชุดเขียวถอนหายใจอีกครั้งหนึ่งแล้วพูด

หลัวซิวไม่ได้พูดมากกับสตรีนางนี้ หากไม่ใช่เพราะการฝึกตนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ทำให้อุปนิสัยและสภาพจิตใจของเขาอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย จากอุปนิสัยที่เอะอะ ๆ ก็ฆ่าคนของเขา คงปล่อยให้สตรีนางนี้ใช้ชีวิตแบบเป็นไปตามกรรมตั้งนานแล้ว

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปข้างหน้าต่อ หลังจากที่ผ่านไปไม่นาน หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าตัวหยั่งรู้สั่นสะเทือนอีกครั้ง ถัดจากนั้นก็มีเสียงตู้มดังขึ้น หัวสมองและภาพที่อยู่ตรงหน้าว่างเปล่าไปหมด

ภาพฉากรอบกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ครั้งนี้หลัวซิวพบว่าตัวเองยืนอยู่บนดาราที่รกร้างว่างเปล่าดวงหนึ่ง ส่วนในห้วงดารานอกดาราดวงนี้ มีเงาร่างที่สูงตระหง่านจนยากคิดจะจินตนาการได้หนึ่งร่าง กำลังกราดมองตัวเองที่ต่ำต้อยบนดาราดวงนี้

เขายืนอยู่บนดารา เล็กน้อยดั่งทรายเม็ดหนึ่ง ส่วนเงาร่างสูงใหญ่ที่อยู่นอกห้วงดารา แค่ดวงตาของเขาก็เทียบเท่าดาราหนึ่งดวงแล้ว

ซึ่งนี่เป็นความคิดที่อันตรายอย่างยิ่ง แต่ทั้งชีวิตของจอมยุทธ์ ก็เป็นชีวิตที่เดินวนเวียนอยู่บนขอบเขตความเป็นและความตายตลอดเวลาเลยมิใช่หรือ?

การต่อสู้ที่เร่าร้อน ความอันตรายและความเร้าใจในการสำรวจแดนปริศนานิรนาม เช่นนี้ถึงจะสามารถทำให้ชีวิตวิถียุทธ์ของผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งมีสีสัน และงดงามตระการตาอย่างยิ่ง!

ในชั่วชีวิตบนวิถียุทธ์ หากมีเพียงการฝึกตน แล้วมันจะมีความหมายอะไร?

จากการที่มุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง อานุภาพที่ซ่อนอยู่ในพลังออร่าราชาเซียนก็ยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งกว่านั้นคือขณะที่ต้านทานการโจมตีครั้งหนึ่ง ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวถึงขั้นถูกโจมตีจนเกิดเป็นรอยร้าวหนึ่งจุด

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เมื่อตัวหยั่งรู้เกิดรอยร้าวมันจะส่งผลกระทบต่อรากฐานวิถียุทธ์ ทว่าหลัวซิวกลับไม่นำเรื่องนี้มาใส่ใจ เนื่องจากขอแค่ตัวหยั่งรู้ของเขาไม่แตกสลายโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นเขาก็สามารถฟื้นฟูซ่อมแซมรอยร้าวระดับนี้ได้ด้วยตนเอง

ในบรรดาธรรมดั้งเดิมทั้งปวง สิ่งที่เขาชำนาญที่สุดก็คือวิถีแห่งเป็นตาย หลังจากที่การตระหนักรู้ในวิถีเป็นบรรลุถึงระดับที่แน่นอนแล้ว ไม่เพียงสามารถฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บบนร่างยุทธ์ร่างเนื้อ ยังสามารถซ่อมแซมสภาพอาการบาดเจ็บของตัวหยั่งรู้และวิญญาณได้ด้วย

หลังจากที่ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ ก็มียอดเขาที่สูงตระหง่านลูกหนึ่งปรากฏด้านหน้า เงยหน้าขึ้นไปมอง ไม่นึกเลยว่ายอดเขาดังกล่าวจะสูงมากจนมองไม่เห็นจุดที่สูงที่สุด ทั้งยอดเขาถูกปกคลุมอยู่ในหมอกที่ขมุกขมัว และมีรัศมีจาง ๆ แผ่กระจายออกมา ซึ่งมีพลังออร่าของเซียนแฝงซ่อนอยู่

“ราชาเซียนที่ถูกกดอัดคงไม่ถูกกดอัดอยู่ใต้เขาเซียนลูกนี้หรอกกระมัง?”ลู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูด

“หากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ น่าจะที่นี่แหละ”หลัวซิวพยักหน้า หากจำเป็นต้องเลือกสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อเป็นศูนย์กลางฐานค่ายของสถานผนึกตราแห่งนี้ละก็ ฉะนั้นตำแหน่งของเขาเซียนลูกนี้ก็ต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแน่นอน

อย่างไรก็ตามความสนใจของหญิงชุดเขียวกลับไม่ได้เพ่งเล็งไปที่เขาเซียนลูกนี้ แต่เป็นการใช้มือชี้ไปยังตำแหน่งตีนเขาเซียน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนและตะลึงเล็กน้อย: “ดอกเทพหลัวเทียนหยวน!”

หลัวซิวก็อดมองไปตามทิศทางที่หญิงชุดเขียวชี้ไปอย่างรู้สึกสงสัยไม่ได้ จากนั้นเขาก็เห็นดอกไม้ป่าที่ดูไม่โดดเด่นอะไรขึ้นอยู่ตามเขตพื้นที่ที่ธรรมดาเรียบง่ายมาก ๆ

“นี่คือโอสถเซียนที่เจ้าต้องการตามหาหรือ?”

หลัวซิวรู้สึกหมดคำจะพูดเล็กน้อย เพราะโอสถเซียนประเภทนั้นดูไม่โดดเด่นอะไรเลย ทั้งยังไม่มีพลังออร่าใด ๆ ด้วย ดูยังไงก็ไม่เหมือนโอสถเซียน หากทิ้งในไว้ตามพงหญ้าข้างทางทั่วไป ก็มีแต่จะถูกคนมองว่าเป็นดอกไม้ป่า

“การรังสรรค์ของฟ้าดินมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอน บางครั้งของที่ยิ่งดูธรรมดาเรียบง่ายมากเท่าไหร่ กลับเป็นของล้ำค่าที่ไม่สามารถประมาณค่าได้มากเท่านั้น!”หญิงชุดเขียวพูดอย่างเย็นชา แม้นน้ำเสียงของนางจะดูเรียบนิ่งไม่น้อย แต่แววตาที่ผันแปรของนางก็ปิดบังยากมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ