หลังจากเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหายไป ทุกอย่างก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
วินาทีนี้ดาบโลหิตที่ยังคงทำให้หลัวซิวรู้สึกหวาดกลัวมาก ๆ กำลังลอยอยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขานิ่ง ๆ
และในขณะเดียวกัน เงาลวงร่างมนุษย์ที่ผนึกรวมมาจากรัศมีนั่นก็หันหลังกลับมากะทันหัน ราวกับมีดวงตาไร้รูปคู่หนึ่งมองทะลุมาจากโบราณกาล แล้วร่วงลงบนตัวเขา
“ไม่ทราบว่า……”
หลัวซิวอ้าปาก เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากสอบถาม เงาลวงร่างมนุษย์นั่นกลับหายไปกะทันหัน กลายเป็นจุดสว่างที่นับไม่ถ้วน ราวกับหิ่งห้อยลอยเต็มอยู่บนท้องฟ้า
ทันใดนั้นเอง จุดแสงทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ญาณเทวดั้งเดิม ก่อนจะมีข้อมูลการถ่ายทอดสืบสานปรากฏในหัวหลัวซิว
เก้าต้องห้ามไท่ซ่าง!
เก้าต้องห้ามที่กล่าวถึงนั้นก็คือวิชาต้องห้ามเก้าประเภทที่เป็นการถ่ายทอดสืบสานของชนเผ่าไท่ซ่าง
และบัดนี้วินาทีนี้ หลัวซิวก็ได้รับวิชาต้องห้ามประเภทที่หนึ่งที่เป็นการถ่ายทอดสืบสานของชนเผ่าไท่ซ่าง ห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง!
นี่คือเคล็ดวิชาที่ฝึกวิญญาณวิชาหนึ่ง หลังจากฝึกเคล็ดวิชาดังกล่าวแล้ว ตัวหยั่งรู้จะหายไป แล้วกลายเป็นไร้ลักษณ์
สามารถพูดได้เลยว่าการฝึกทุกวิชาต้องห้ามของเก้าต้องห้ามไท่ซ่าง ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับไร้ลักษณ์
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าหากหลัวซิวฝึกวิชาต้องห้ามนี้ เช่นนั้นจักรวาลหยั่งรู้ของเขาก็จะกลายเป็นไร้ลักษณ์หยั่งรู้
อ้างอิงจากการบรรยายในห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง ในจักรวาลนี้มีเคล็ดวิชากลั่นวิญญาณน้อยมากที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งฝึกจักรวาลหยั่งรู้ออกมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าจักรวาลหยั่งรู้ที่หลัวซิวฝึกได้โดยบังเอิญมันเป็นโชคโอกาสที่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด
อย่างไรก็ตามศักยภาพของไร้ลักษณ์หยั่งรู้อยู่เหนือจักรวาลหยั่งรู้อยู่ เนื่องจากมีพลังสองประเภทแฝงซ่อนอยู่ในไร้ลักษณ์ ประเภทแรกคือพละไร้ ส่วนประเภทที่สองคือพละลักษณ์
พละไร้ที่กล่าวถึงนั้นก็คือการทำให้ทุกสรรพสิ่งหายไป เปลี่ยนจากมีเป็นไม่มี
ส่วนพละลักษณ์ก็คือเปลี่ยนจากไม่มีเป็นมี ซึ่งสามารถวิวัฒนาการทุกสรรพสิ่ง
จักรวาลหยั่งรู้แข็งแกร่งมาก แต่ก็อยู่ในขอบข่ายของพละลักษณ์เท่านั้น
ประโยชน์เริ่มต้นของห้ามภูตเซียนไท่ซ่างก็คือ วิชากลั่นวิญญาณอันดับหนึ่งแห่งฟ้าดิน!
หลัวซิวดื่มด่ำอยู่ในความล้ำลึกของการถ่ายทอดสืบสานประเภทนี้อย่างรวดเร็ว และขณะที่เขาตระหนักรู้ห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง จักรวาลหยั่งรู้ของเขาก็ค่อย ๆ เลือนลางลงไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหายไปโดยสิ้นเชิง
ตัวหยั่งรู้ของเขาหายไปแล้ว ญาณเทวดั้งเดิมของเขาหายไปแล้ว เวลานี้หากมีคนใช้พลังอมตะโจมตีวิญญาณโจมตีเขา ก็จะพบว่าพลังโจมตีไม่สามารถสร้างประสิทธิผลใด ๆ ให้แก่เขาได้เลยด้วยซ้ำ
และนี่ก็คือไร้ลักษณ์หยั่งรู้ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์ของพละไร้ เท่ากับว่ามีภูมิคุ้มกันต่อพลังอมตะโจมตีวิญญาณทั้งปวง
หากหลัวซิวยินดี ขอแค่เขาใช้จิตนึกคิด ก็สามารถโคจรพละลักษณ์ แล้วทำการโจมตีวิญญาณผู้อื่นได้เลย
“ช่างเป็นวิชาต้องห้ามที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ด้านระดับของตัวสำนักวิญญาณเท่ากับยืนอยู่ในจุดที่ไร้เทียมทานมาตั้งแต่กำเนิด”
เมื่อหลัวซิวฟื้นตื่นขึ้นมาจากความลึกลับและมหัศจรรย์ของการถ่ายทอดสืบสาน เขาพบว่าตนฝึกวิชาต้องห้ามนี้สำเร็จแล้ว และยิ่งสัมผัสความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของกลั่นวิญญาณวิชาต้องห้ามวิชานี้ได้อย่างลึกซึ้ง
เขาใช้จิตนึกคิด เห็นเพียงเดิมทีดาบโลหิตที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาก็ปรากฏในมือเขา ก่อนจะเริ่มกลั่นแปรมันโดยตรง
ในขณะที่หลัวซิวกำลังกลั่นแปร ตัวดาบโลหิตก็สงบมากเช่นกัน จิตสังหารทั้งหมดล้วนถูกดึงเข้าไปในตัวดาบ ดูแล้วเหมือนดาบยาวสีเลือดที่ธรรมดาเรียบง่ายเล่มหนึ่ง
ขณะที่หลัวซิวกลั่นแปรดาบโลหิต ไอสังหารทั้งหมดที่ตลบฟุ้งอยู่ในเขตหุบเขาเสว่หย่าในตอนแรกก็พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามาเช่นกัน ล้วนหดหายเข้าไปในตัวดาบโลหิต
ดาบโลหิตไม่มีการต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นการกลั่นแปรของหลัวซิวก็ราบรื่นมาก ไม่นานนัก เขาก็กลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกสำเร็จ เมื่อเขาวางแผนที่จะกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นที่สอง กลับพบว่าผลการฝึกตนในปัจจุบันของตัวเองไม่เพียงพอต่อการกลั่นแปรด้วยซ้ำ
และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตะลึงมากกว่านั้นคือ ดาบโลหิตเล่มนี้มีตัวต้องห้ามทั้งหมด 81 ขั้นอย่างนั้นหรือ!
ไม่สามารถกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นที่สอง หลัวซิวจึงไม่ไปสนใจมันอีก เปลี่ยนมากลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกอย่างสุดกำลังสามารถ เพราะเมื่อครู่ถึงแม้เขาจะกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกสำเร็จแล้ว แต่ก็เป็นเพียงการกลั่นแปรขั้นต้นเท่านั้น มีเพียงกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกให้เสร็จสมบูรณ์ เขาถึงจะสามารถกระตุ้นดาบโลหิตเล่มนี้ได้
ไอสังหารในหุบเขาเสว่หย่าหายไปหมดแล้ว ส่งผลให้มีคลื่นที่รุนแรงเกิดขึ้นในเขตพื้นที่แห่งนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในโลกใต้ดินเก้าดาวก็ต่างสัมผัสได้เช่นกัน
ไม่นานนัก ก็มีคนจำนวนไม่น้อยมาถึงนอกหุบเขาเสว่หย่า จากนั้นก็เห็นว่าท่ามกลางไอสังหารสีเลือดที่แทบจะผนึกรวมกันจนกลายเป็นแก่นแท้ มีเงาที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำคนหนึ่งกำลังกำดาบโลหิตในมือพลางกลั่นแปรมัน
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากของโลกใต้ดินเก้าดาวที่เร่งเดินทางมาก็ต่างดูเคารพยำเกรงอย่างอดไม่ได้
หุบเขาเสว่หย่าคงอยู่มายาวนานมากแล้ว อีกทั้งเรื่องที่ภายในหุบเขาเสว่หย่ามีดาบโลหิตไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง ก็ไม่ใช่ความลับอะไรเช่นกัน
แต่ทว่าตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา กลับไม่มีคนใดที่สามารถเข้าใกล้ดาบโลหิตเล่มนั้นได้เลย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลั่นแปรมัน
ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นว่ามีคนถึงขั้นสามารถกลั่นแปรดาบโลหิตได้ ทุกคนจึงตีความไปเองว่าผู้ที่กลั่นแปรดาบโลหิตเล่มนั้นต้องเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
“ได้ยินมาว่าก่อนมกุฎเต๋าบรรพดินจะดับสลายสูญสิ้น ท่านเคยมาที่นี่หลายครั้งมากจนนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สามารถกลั่นแปรครอบครองดาบโลหิตเล่มนี้ได้ตลอดมา”
“ไม่ใช่แค่มกุฎเต๋าบรรพดินเท่านั้น มกุฎเต๋าคนอื่น ๆ ก็เคยมาทดลองดูเช่นกัน แต่ดาบโลหิตไร้เทียมทานเล่มนี้ก็ยังไม่ถูกคนใดครอบครองไปเหมือนเคย จึงแสดงให้เห็นเลยว่ามันไม่ธรรมดามากเพียงใด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...