มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2986

หลังจากเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหายไป ทุกอย่างก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ

วินาทีนี้ดาบโลหิตที่ยังคงทำให้หลัวซิวรู้สึกหวาดกลัวมาก ๆ กำลังลอยอยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขานิ่ง ๆ

และในขณะเดียวกัน เงาลวงร่างมนุษย์ที่ผนึกรวมมาจากรัศมีนั่นก็หันหลังกลับมากะทันหัน ราวกับมีดวงตาไร้รูปคู่หนึ่งมองทะลุมาจากโบราณกาล แล้วร่วงลงบนตัวเขา

“ไม่ทราบว่า……”

หลัวซิวอ้าปาก เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากสอบถาม เงาลวงร่างมนุษย์นั่นกลับหายไปกะทันหัน กลายเป็นจุดสว่างที่นับไม่ถ้วน ราวกับหิ่งห้อยลอยเต็มอยู่บนท้องฟ้า

ทันใดนั้นเอง จุดแสงทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ญาณเทวดั้งเดิม ก่อนจะมีข้อมูลการถ่ายทอดสืบสานปรากฏในหัวหลัวซิว

เก้าต้องห้ามไท่ซ่าง!

เก้าต้องห้ามที่กล่าวถึงนั้นก็คือวิชาต้องห้ามเก้าประเภทที่เป็นการถ่ายทอดสืบสานของชนเผ่าไท่ซ่าง

และบัดนี้วินาทีนี้ หลัวซิวก็ได้รับวิชาต้องห้ามประเภทที่หนึ่งที่เป็นการถ่ายทอดสืบสานของชนเผ่าไท่ซ่าง ห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง!

นี่คือเคล็ดวิชาที่ฝึกวิญญาณวิชาหนึ่ง หลังจากฝึกเคล็ดวิชาดังกล่าวแล้ว ตัวหยั่งรู้จะหายไป แล้วกลายเป็นไร้ลักษณ์

สามารถพูดได้เลยว่าการฝึกทุกวิชาต้องห้ามของเก้าต้องห้ามไท่ซ่าง ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับไร้ลักษณ์

ซึ่งนี่ก็หมายความว่าหากหลัวซิวฝึกวิชาต้องห้ามนี้ เช่นนั้นจักรวาลหยั่งรู้ของเขาก็จะกลายเป็นไร้ลักษณ์หยั่งรู้

อ้างอิงจากการบรรยายในห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง ในจักรวาลนี้มีเคล็ดวิชากลั่นวิญญาณน้อยมากที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งฝึกจักรวาลหยั่งรู้ออกมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าจักรวาลหยั่งรู้ที่หลัวซิวฝึกได้โดยบังเอิญมันเป็นโชคโอกาสที่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด

อย่างไรก็ตามศักยภาพของไร้ลักษณ์หยั่งรู้อยู่เหนือจักรวาลหยั่งรู้อยู่ เนื่องจากมีพลังสองประเภทแฝงซ่อนอยู่ในไร้ลักษณ์ ประเภทแรกคือพละไร้ ส่วนประเภทที่สองคือพละลักษณ์

พละไร้ที่กล่าวถึงนั้นก็คือการทำให้ทุกสรรพสิ่งหายไป เปลี่ยนจากมีเป็นไม่มี

ส่วนพละลักษณ์ก็คือเปลี่ยนจากไม่มีเป็นมี ซึ่งสามารถวิวัฒนาการทุกสรรพสิ่ง

จักรวาลหยั่งรู้แข็งแกร่งมาก แต่ก็อยู่ในขอบข่ายของพละลักษณ์เท่านั้น

ประโยชน์เริ่มต้นของห้ามภูตเซียนไท่ซ่างก็คือ วิชากลั่นวิญญาณอันดับหนึ่งแห่งฟ้าดิน!

หลัวซิวดื่มด่ำอยู่ในความล้ำลึกของการถ่ายทอดสืบสานประเภทนี้อย่างรวดเร็ว และขณะที่เขาตระหนักรู้ห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง จักรวาลหยั่งรู้ของเขาก็ค่อย ๆ เลือนลางลงไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหายไปโดยสิ้นเชิง

ตัวหยั่งรู้ของเขาหายไปแล้ว ญาณเทวดั้งเดิมของเขาหายไปแล้ว เวลานี้หากมีคนใช้พลังอมตะโจมตีวิญญาณโจมตีเขา ก็จะพบว่าพลังโจมตีไม่สามารถสร้างประสิทธิผลใด ๆ ให้แก่เขาได้เลยด้วยซ้ำ

และนี่ก็คือไร้ลักษณ์หยั่งรู้ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์ของพละไร้ เท่ากับว่ามีภูมิคุ้มกันต่อพลังอมตะโจมตีวิญญาณทั้งปวง

หากหลัวซิวยินดี ขอแค่เขาใช้จิตนึกคิด ก็สามารถโคจรพละลักษณ์ แล้วทำการโจมตีวิญญาณผู้อื่นได้เลย

“ช่างเป็นวิชาต้องห้ามที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ด้านระดับของตัวสำนักวิญญาณเท่ากับยืนอยู่ในจุดที่ไร้เทียมทานมาตั้งแต่กำเนิด”

เมื่อหลัวซิวฟื้นตื่นขึ้นมาจากความลึกลับและมหัศจรรย์ของการถ่ายทอดสืบสาน เขาพบว่าตนฝึกวิชาต้องห้ามนี้สำเร็จแล้ว และยิ่งสัมผัสความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของกลั่นวิญญาณวิชาต้องห้ามวิชานี้ได้อย่างลึกซึ้ง

เขาใช้จิตนึกคิด เห็นเพียงเดิมทีดาบโลหิตที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาก็ปรากฏในมือเขา ก่อนจะเริ่มกลั่นแปรมันโดยตรง

ในขณะที่หลัวซิวกำลังกลั่นแปร ตัวดาบโลหิตก็สงบมากเช่นกัน จิตสังหารทั้งหมดล้วนถูกดึงเข้าไปในตัวดาบ ดูแล้วเหมือนดาบยาวสีเลือดที่ธรรมดาเรียบง่ายเล่มหนึ่ง

ขณะที่หลัวซิวกลั่นแปรดาบโลหิต ไอสังหารทั้งหมดที่ตลบฟุ้งอยู่ในเขตหุบเขาเสว่หย่าในตอนแรกก็พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามาเช่นกัน ล้วนหดหายเข้าไปในตัวดาบโลหิต

ดาบโลหิตไม่มีการต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นการกลั่นแปรของหลัวซิวก็ราบรื่นมาก ไม่นานนัก เขาก็กลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกสำเร็จ เมื่อเขาวางแผนที่จะกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นที่สอง กลับพบว่าผลการฝึกตนในปัจจุบันของตัวเองไม่เพียงพอต่อการกลั่นแปรด้วยซ้ำ

และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตะลึงมากกว่านั้นคือ ดาบโลหิตเล่มนี้มีตัวต้องห้ามทั้งหมด 81 ขั้นอย่างนั้นหรือ!

ไม่สามารถกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นที่สอง หลัวซิวจึงไม่ไปสนใจมันอีก เปลี่ยนมากลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกอย่างสุดกำลังสามารถ เพราะเมื่อครู่ถึงแม้เขาจะกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกสำเร็จแล้ว แต่ก็เป็นเพียงการกลั่นแปรขั้นต้นเท่านั้น มีเพียงกลั่นแปรตัวต้องห้ามขั้นแรกให้เสร็จสมบูรณ์ เขาถึงจะสามารถกระตุ้นดาบโลหิตเล่มนี้ได้

ไอสังหารในหุบเขาเสว่หย่าหายไปหมดแล้ว ส่งผลให้มีคลื่นที่รุนแรงเกิดขึ้นในเขตพื้นที่แห่งนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในโลกใต้ดินเก้าดาวก็ต่างสัมผัสได้เช่นกัน

ไม่นานนัก ก็มีคนจำนวนไม่น้อยมาถึงนอกหุบเขาเสว่หย่า จากนั้นก็เห็นว่าท่ามกลางไอสังหารสีเลือดที่แทบจะผนึกรวมกันจนกลายเป็นแก่นแท้ มีเงาที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำคนหนึ่งกำลังกำดาบโลหิตในมือพลางกลั่นแปรมัน

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากของโลกใต้ดินเก้าดาวที่เร่งเดินทางมาก็ต่างดูเคารพยำเกรงอย่างอดไม่ได้

หุบเขาเสว่หย่าคงอยู่มายาวนานมากแล้ว อีกทั้งเรื่องที่ภายในหุบเขาเสว่หย่ามีดาบโลหิตไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง ก็ไม่ใช่ความลับอะไรเช่นกัน

แต่ทว่าตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา กลับไม่มีคนใดที่สามารถเข้าใกล้ดาบโลหิตเล่มนั้นได้เลย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลั่นแปรมัน

ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นว่ามีคนถึงขั้นสามารถกลั่นแปรดาบโลหิตได้ ทุกคนจึงตีความไปเองว่าผู้ที่กลั่นแปรดาบโลหิตเล่มนั้นต้องเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานคนหนึ่งอย่างแน่นอน!

“ได้ยินมาว่าก่อนมกุฎเต๋าบรรพดินจะดับสลายสูญสิ้น ท่านเคยมาที่นี่หลายครั้งมากจนนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สามารถกลั่นแปรครอบครองดาบโลหิตเล่มนี้ได้ตลอดมา”

“ไม่ใช่แค่มกุฎเต๋าบรรพดินเท่านั้น มกุฎเต๋าคนอื่น ๆ ก็เคยมาทดลองดูเช่นกัน แต่ดาบโลหิตไร้เทียมทานเล่มนี้ก็ยังไม่ถูกคนใดครอบครองไปเหมือนเคย จึงแสดงให้เห็นเลยว่ามันไม่ธรรมดามากเพียงใด”

แต่หลังจากเขาได้รับการถ่ายทอดสืบสานของห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง ทั้งยังกลั่นแปรดาบโลหิตหักเซียน เช่นนั้นมาตรแม้นว่าเผชิญหน้ากับมกุฎเต๋าที่แข็งแกร่ง เขาก็มีความสามารถในการเอาชีวิตรอดแล้ว

แน่นอนอยู่แล้วว่าหากไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอกจริง ๆ หลัวซิวยังไม่อยากปะทะกับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋า นอกเสียจากผลการฝึกตนของเขาสามารถทลายพันธนาการ บรรลุถึงแดนประมุขเต๋า

ตอนนั้นหลัวซิวอาศัยพลังแห่งเซียนกลั่นแปรตัวต้องห้ามสองขั้นของเข็มทิศสาส์นเต๋า ระดับของของขลังชิ้นนี้จึงบรรลุถึงระดับที่เทียบทัดภัณฑ์เซียนชั้นล่างแล้ว

เข็มทิศสาส์นเต๋ามีตัวต้องห้ามทั้งหมดสี่ขั้น หากกลั่นแปรตัวต้องห้ามทั้งสี่ขั้นสำเร็จโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นระดับของเข็มทิศสาส์นเต๋าก็สามารถบรรลุถึงขั้นที่ไม่ต่ำกว่าภัณฑ์เซียนชั้นสูง

นอกจากนี้แล้ว เข็มทิศสาส์นเต๋ายังมีความสามารถในการพัฒนาเติบโตได้ด้วย หากสามารถตามหาแหล่งเซียนชั้นยอดที่ล้ำค่าและหายาก ระดับขั้นของเข็มทิศสาส์นเต๋าก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก บรรลุถึงระดับที่สูงกว่า

สาเหตุที่อัญดั้งเดิมล้ำค่านั้น ก็เป็นเพราะมันมีความสามารถในการพัฒนาเติบโตและบ่มเพาะได้นี่แหละ

มีAttrเวลาและปริภูมิสองประเภท บวกกับปัจจุบันผลการฝึกตนของหลัวซิวเพิ่มขึ้นสูงมาก มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋า ก็ไล่ตามความเร็วของเข็มทิศสาสน์เต๋ายากมาก

ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่กังวลเลยด้วยซ้ำว่าจะมีคนไล่ตามมา เขาจึงนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศสาส์นเต๋า แล้วศึกษาวิจัยดาบโลหิตหักเซียนต่อ

กำดาบโลหิตเล่มนี้อยู่ในมือ ไม่มีไอสังหารแพร่กระจายออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าหลังจากเขานำตัวสำนึกแผ่เข้าไปภายใน ก็สามารถสัมผัสจิตสังหารอันน่ากลัวที่มากมายมหาศาลอย่างไร้ขอบเขตได้ทันที และเมื่อเขาพยายามกระตุ้นดาบโลหิตเล่มนี้อีกครั้ง จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนผลการฝึกตนไม่สามารถกระตุ้นมันได้อีกแล้ว

นี่จึงทำให้สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกว่าหากกระตุ้นดาบโลหิตหักเซียนแล้วฟาดฟันออกไปครั้งหนึ่งละก็ เกรงว่าคงจะทำให้ผลการฝึกตนทั้งหมดของเขาแห้งเหือดไปภายในพริบตาแน่นอน

ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่า เขาไม่สามารถอาศัยพลานุภาพของดาบเล่มนี้ มาปะทะกับศัตรูได้ตามอำเภอใจ ทำได้เพียงจัดให้มันเป็นอุบายไพ่เด็ดสุดท้าย

แต่หลัวซิวก็ปล่อยวางลงไปได้อย่างรวดเร็ว เขาเชื่อว่าดาบโลหิตเล่มนี้ต้องแข็งแกร่งกว่ากระบี่กรองแก้วเจ็ดสีที่หญิงชุดเขียวเอาออกมาในสหการค้าครั้นเมื่ออยู่เมืองเทพชิงเทียนแน่นอน

กระตุ้นด้วยผลการฝึกตนของเขาที่เทียบเท่าผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋ายังแทบจะไม่เพียงพอ เช่นนั้นทันทีที่กระตุ้นพลังโจมตีออกมา พลานุภาพหนึ่งของมันต้องโหดร้ายและน่ากลัวมากแน่นอน

“ก็ถึงเวลาที่ควรปล่อยให้พวกเขาทั้งสามออกมาสูดอากาศภายนอกบ้างแล้ว”

หลัวซิวเก็บดาบโลหิตอย่างรู้สึกพึงพอใจ จากนั้นก็ปล่อยตี้ขุย เย่ห้าวหรานแล้วก็หลี่ยู่ทั้งสามคนออกมาจากหอคอยฮวง

ครั้นเมื่ออยู่ในโลกคุกเซียน เขาเคยปล่อยตี้ขุยออกมาต่อกรกับศัตรูพร้อมตัวเอง ต่อมาหลังจากเข้าไปใน​​สถานผนึกตรา เขาก็เก็บตัวตี้ขุยกลับเข้าไปใหม่ จากนั้นก็เป็นการปิดขังฝึกตน แล้วเดินทางไปหุบเขาเสว่หย่าต่อ ฉะนั้นบัดนี้ถึงจะมีเวลาว่างให้พวกเขาออกมาจากหอคอยฮวง

“นี่คือโลกเสวียนหรือ?”

เงยหน้ามองขึ้นไป ด้านหน้ามีพสุธาห้วงดาราขนาดใหญ่ปรากฏหนึ่งแห่ง แม้นอดีตจะไม่เคยมา แต่เย่ห้าวหรานและหลี่ยู่ก็รู้จักอยู่ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด

“ถูกต้อง ข้าช่วยพวกเจ้าทั้งสามคนออกมาจากโลกล้น และเคยเดินทางไปโลกสวรรค์และโลกใต้ดิน หากไม่เจอเบาะแสและร่องรอยของคนอื่น ๆ ในโลกเสวียนอีก เช่นนั้นเราก็จะไปดูที่โลกเหลือง โลกจักรภพแล้วก็โลกจักรวาลต่อ”หลัวซิวพยักหน้าพลางพูด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ