หลังจากมกุฎเต๋าบรรพเสวียนจากไป หลัวซิวก็นั่งอยู่ในภัตตาคารคนเดียว พร้อมกับป้ายบัญชาการสีทองหนึ่งชิ้น
ป้ายบัญชาการชิ้นนี้ทำมาจากทองเซียนระดับประมุขเต๋า ด้านหนึ่งมีคำว่า‘เทียน’สลักอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งมีคำว่า‘เต้า’สลักอยู่ เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็คือเทียนเต้าหรือวิถีสวรรค์นั่นเอง
การที่สามารถฝึกถึงระดับประมุขเต๋า ระดับขั้นก็แทบจะสามารถเทียบทัดเทียนเต้าได้แล้ว ดังนั้นบัญชาเทียนเต้าจึงเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า
และในดาราจักรวาลนี้ ก็มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์มอบบัญชาเทียนเต้าให้ผู้อื่น
จากการพูดคุยกับมกุฎเต๋าบรรพเสวียนในครั้งนี้ หลัวซิวได้รับดอกผลมาเยอะมาก ในขณะเดียวกันเขาก็ทราบเช่นกันว่าอาจารย์มกุฎเต๋าหวูจี๋ของตัวเองไม่ได้ดับสลายสูญสิ้นแต่อย่างใด เนื่องจากโลกาอนัตตาหวูจี๋ลึกลับมากเกินไป มาตรแม้นว่าเป็นมกุฎเต๋าคนอื่น ๆ ก็หาไม่เจอ ส่วนค่ายวาร์ฟทางเข้าที่ตั้งอยู่ในหุบเขากระบี่แห่งอาณากระบี่ก็ถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว
นอกเหนือจากนี้ มกุฎเต๋าหวูซินแห่งโลกาฟ้าดินหลิงหลงจะจัดสมาคมเต๋าครั้งหนึ่งในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง ซึ่งมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าที่มีบัญชาเทียนเต้าติดตัว ถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วม
อ้างอิงจากคำพูดของมกุฎเต๋าบรรพเสวียน ในเมื่อเขาบรรลุถึงระดับของประมุขเต๋าแล้ว เช่นนั้นเขาก็มีสิทธิ์เข้าร่วมเรื่องราวบางอย่างแล้วล่ะ
เมื่อได้ยินว่าจะไปสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง ปฏิกิริยาแรกของหลัวซิวก็คือไม่ไป อย่างไรเสียเขาก็เคยสังหารเทพธิดาคนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง อีกทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงก็เคยส่งผู้แข็งแกร่งมาสังหารเขาหลายครั้งเช่นกัน หากเขาไปจริง ๆ ก็จะเป็นเหมือนแกะที่เดินเข้าไปในปากเสือมิใช่หรือ?
ดูเหมือนมกุฎเต๋าบรรพเสวียนก็รู้ความกังวลใจของหลัวซิวเช่นกัน แต่เขากลับบอกให้หลัวซิวไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ เนื่องจากถึงครานั้นมกุฎเต๋าหวูจี๋ก็จะไปเช่นกัน อีกทั้งสมาคมเต๋าประเภทนี้ก็ต้องมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าไปเข้าร่วมจำนวนมากแน่นอน มกุฎเต๋าหวูซินก็คงไม่สามารถลงมือในสถานการณ์เช่นนั้นได้
แน่นอนอยู่แล้วว่าสุดท้ายแล้วหลัวซิวจะไปเข้าร่วมสมาคมเต๋าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเขาเอง และอ้างอิงจากความหมายของมกุฎเต๋าบรรพเสวียน เขาได้ทำการมอบบัญชาเทียนเต้าให้แก่หลัวซิว ซึ่งเท่ากับการแสดงลักษณะท่าทีแล้วว่าเขามองหลัวซิวเป็นคนของตัวเอง
โดยส่วนใหญ่แล้ว มกุฎเต๋าทุกคนจะมอบบัญชาเทียนเต้าให้กับผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าในกองกำลังของตัวเองเท่านั้น เมื่อมีบัญชาเทียนเต้าของมกุฎเต๋าท่านใด โดยส่วนใหญ่ก็แทบจะสะท้อนให้เห็นแล้วว่าคนคนนั้นเป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชามกุฎเต๋าคนใด
ในขณะเดียวกันมกุฎเต๋าบรรพเสวียนยังเปิดเผยข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งด้วย นั่นก็คือระหว่างมกุฎเต๋าบรรพเสวียนและมกุฎเต๋าหวูจี๋ยังคงอยู่ในความสัมพันธ์พันธมิตรอยู่เช่นเคย
หลัวซิวไม่เข้าใจว่าตกลงมีเล่ห์เพทุบายอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องนี้กันแน่ แต่เขารู้สึกว่ายังไงตัวเองก็ควรระมัดระวังหน่อยจะดีกว่า บางทีหากไม่ทันได้ระวังก็อาจถูกผู้อื่นวางแผนทำร้าย จนบางทีอาจได้ตายไปแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย
“เราไปกันเถอะ”
หลัวซิวค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น ตี้ขุย เย่ห้าวหรานแล้วก็หลี่ยู่ต่างเดินอยู่ด้านหลังเขา ออกจากภัตตาคารแห่งนี้
หลัวซิวทราบมาจากปากมกุฎเต๋าบรรพเสวียนว่า สมาคมเต๋านี้จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนภายหน้า หากจะมุ่งหน้าจากโลกเสวียนไปยังสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงแห่งโลกาฟ้าดินหลิงหลง ต่อให้อาศัยความเร็วของเข็มทิศสาส์นเต๋า อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกว่า
ในส่วนของเรื่องที่ว่าตกลงหลัวซิวตัดสินใจไปหรือไม่ไปนั้น เขายังตัดสินใจไม่ได้
ทว่าในเมื่อเวลายังถือว่าพอเพียงอยู่ เขาจึงไม่ได้รีบออกจากโลกเสวียนแต่อย่างใด เขาวางแผนที่จะอยู่ในโลกเสวียนต่ออีกสักสองวัน หากไม่ได้รับดอกผลหรือเบาะแสอะไรละก็ เขาก็จะเดินทางไปโลกเหลือง
เวลาสองวันล่วงเลยไปภายในพริบตา ในขณะที่หลัวซิวเตรียมพร้อมที่จะออกจากโลกเสวียนอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีกระแสสัมผัสเกิดขึ้นในตัวสำนึกของเขา
ในตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลจากเขาประมาณสามแสนกว่าลี้ มีแสงกลดวงหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง ส่วนด้านหลังของแสงกลดวงนั้น ก็มีแสงกลอีกสามดวงไล่ตามมาด้วยความเร็วที่รวดเร็วอย่างยิ่งเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่าก็ดี บุญคุณความแค้นส่วนตัวหรือการฆ่าคนเพื่อแย่งสมบัติก็ช่าง เมื่ออยู่ในโลกแห่งการฝึกยุทธ์ เรื่องประเภทนี้ถือเป็นเรื่องที่หาพบได้บ่อยไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว และสาเหตุที่หลัวซิวสังเกตเห็นนั้น เป็นเพราะเขาสัมผัสออร่าที่คุ้นเคยได้จากแสงกลที่กำลังหลบหนีอยู่ด้านหน้า จึงทำให้เขานึกถึงคนคนหนึ่ง
ครั้นเมื่อเขาไปโลกสวรรค์ เคยมีโอกาสพบหนิงหานหลิง ต่อมาทั้งคู่ยังเคยไปมิติสมรภูมิกู่ไท่พร้อมกันด้วย หนิงหานหลิงได้รับโอกาสที่ไม่ธรรมดาในมิติสมรภูมิกู่ไท่ ดังนั้นจึงเข้าร่วมตำหนักเยว่เทียน แล้วกลายเป็นศิษย์แห่งตำหนักเยว่เทียน
มกุฎเต๋าเทียนชูดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว รากฐานของเผ่าฟ้าจึงแทบจะถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น วังนภาสิบสองดำรงอยู่แต่ในนาม ตำนานของสวรรค์ทั้ง 12 แห่งไท่ชูก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล
ในฐานะที่เป็นศิษย์แห่งตำหนักเยว่เทียน การที่หนิงหานหลิงสามารถมีชีวิตรอดมาจากมหันตภัยในครั้งนี้ได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย บางทีนางอาจจะออกจากโลกสวรรค์ แล้วมาถึงโลกเสวียนก่อนมหันตภัยก็เป็นได้
ในส่วนของเรื่องที่ว่าเหตุใดหนิงหานหลิงจึงต้องมาโลกเสวียน หลัวซิวไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าต้องมาเพราะหนี้เลือดของตระกูลหนิงของพวกนางแน่นอน
ตระกูลหนิงที่อยู่ในโลกเสวียนก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน ไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นกองกำลังใหญ่ที่หาพบได้น้อย ทว่าคนทั้งตระกูลกลับถูกล้มล้างภายในชั่วข้ามคืนเดียว ทั้งตระกูลหนิงก็มีเพียงหนิงหานหลิงเท่านั้นที่โชคดีมีชีวิตหนีรอดออกมาได้ อีกทั้งหลบหนีไปยังโลกสวรรค์
ความเกลียดแค้นนี้ถูกหนิงหานหลิงฝังอยู่ในใจมาโดยตลอด นางเข้าร่วมตำหนักเยว่เทียนแล้วฝึกตนอย่างสุดกำลังสามารถ ก็เพื่อหวังว่าสักวันจะสามารถล้างแค้น แล้วสร้างวงศ์ตระกูลหนิงกลับคืนมาใหม่!
และทุกอย่างก็ค่อนข้างเหมือนอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้ ก่อนเผ่าฟ้าจะถูกล้มล้างสองปี หนิงหานหลิงก็เดินทางมาโลกเสวียนตั้งนานแล้ว นางคิดไปเองว่าตนประสบความสำเร็จด้านการฝึกตน สิ่งแรกที่จะทำก็คือกลับมาล้างแค้นเพื่อตระกูล
อย่างไรก็ตามกองกำลังที่ล้มล้างตระกูลหนิงลึกลับมากเกินไป หนิงหานหลิงตามสืบหามาสองปีกว่า แต่ก็พบเบาะแสร่องรอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่นางเตรียมพร้อมจะสืบสาวไปตามเบาะแสร่องรอยอันน้อยนิด นางก็ถูกคนหมายตาไว้แล้ว
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หนิงหานหลิงอาศัยโอกาสที่ได้รับจากมิติสมรภูมิกู่ไท่ บวกกับเงื่อนไขที่ดีเลิศของตำหนักเยว่เทียน พรสวรรค์ปัญญาของนางได้รับการยกระดับอย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันก็ฝึกถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงกลางแล้ว
นางยังมีไพ่เด็ดที่แข็งแรงอีกหนึ่งใบ นั่นก็คือสมบัติที่นางได้รับจากมิติสมรภูมิกู่ไท่เมื่อปีนั้น เมื่ออาศัยพลานุภาพของสมบัติชิ้นนั้น ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูง นางก็ไม่หวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามศัตรูของนางแข็งแกร่งมากเกินไป วินาทีนี้ในบรรดาทั้งสามคนที่กำลังไล่ล่านาง มีคนหนึ่งเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อขั้นสูง ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลายเช่นกัน
แม้นไพ่เด็ดของนางจะทรงพลังมาก แต่ก็สามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้เพียงคนเดียว ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเลือกที่จะหนีเอาชีวิตรอด
“ห้วงเวลาขัง!”
หมอกเลือกสามก้อนระเบิดแตกอยู่กลางนภา เมื่อเผชิญหน้ากับตี้ขุยที่อยู่ในแดนผู้แกร่งเลิศ มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อกระจอก ๆ สามคนไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อต้านด้วยซ้ำ ร่างกายและวิญญาณก็ดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว
หลัวซิวขยำมือครั้งหนึ่ง แหวนเก็บของของทั้งสามคนก็ร่วงลงบนมือ ก่อนที่เขาจะโยนให้หลี่ยู่และเย่ห้าวหรานอย่างเรื่อยเปื่อย
สาเหตุที่เขาไม่ได้ให้ตี้ขุยเก็บไว้คนหนึ่งนั้น เป็นเพราะเขาไม่จำเป็นต้องสอบถามก็รู้แล้วว่าทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ที่มาจากจ่างเทียนตี้
เมื่อก่อนหลัวซิวยังคาดคะเนอยู่เลยว่าสาเหตุที่ตระกูลหนิงถูกล้มล้างนั้น สาเหตุอาจเป็นเพราะตระกูลหนิงมีเศษชิ้นส่วนของประตูเต๋าเสวียนหนึ่งชิ้น แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ ละก็ หากพวกเขามีเศษชิ้นส่วนของประตูเต๋าเสวียนจริง ๆ มกุฎเต๋าบรรพเสวียนไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอน
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสิ่งของที่ตระกูลหนิงดูแลรักษากันมารุ่นสู่รุ่นคือของอย่างอื่น
กำจัดจอมยุทธ์สามคนของจ่างเทียนตี้ทิ้ง หลัวซิวยกมือขึ้นมาขยำทีหนึ่ง ห้วงเวลาขังจึงหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ลำแสงทั้งหลายก็ผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือหลัวซิวเช่นกัน แล้วกลายเป็นไข่มุกสีขาวเงินหนึ่งเม็ด
นี่คืออาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นล่างชิ้นหนึ่ง ทั้งยังเป็นของขลังที่ใช้เพื่อกักขังศัตรูโดยเฉพาะด้วย มีพลังแห่งห้วงเวลาแฝงซ่อนอยู่ภายใน ยิ่งกว่านั้นคือมูลค่าของมันอยู่เหนืออาวุธเทพมหาศักดิ์ชั้นกลางส่วนมากด้วย
หนิงหานหลิงนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะได้รับการช่วยเหลือ โดยเฉพาะเมื่อนางเห็นหลัวซิว ความรู้สึกบนใบหน้าก็ยิ่งซับซ้อนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ตี้ขุยยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวอย่างเคารพนอบน้อม เมื่อครู่หนิงหานหลิงเห็นเองกับตาเลยว่าคนดังกล่าวโบกมือครั้งเดียว ก็ทำการสังหารผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อช่วงปลายทั้งสามคนแล้ว ต่อให้นางจะโง่เพียงใด ก็รู้อยู่ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งแน่นอน
ส่วนผู้แข็งแกร่งเช่นนี้กลับยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวอย่างเคารพนอบน้อมเหมือนผู้ติดตามคนหนึ่ง แล้วหลัวซิวในปัจจุบันบรรลุถึงแดนระดับใดแล้ว?
“แม่นางหนิง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”หลัวซิวมองหนิงหานหลิงรอบหนึ่งพลางยิ้มอ่อน
“ขอบพระคุณท่านชายหลัวอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตข้าไว้”หนิงหานหลิงดึงสติกลับมาได้ ก่อนจะทำท่าคารวะอย่างอ่อนโยน
“แม่นางหนิงมิต้องเกรงใจหรอก อย่างไรเสียเจ้าและข้าก็ถือว่าเคยรู้จักกันมาก่อน เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงหรอก”หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ ลักษณะท่าทีที่ปฏิบัติต่อหนิงหานหลิงก็ถือว่าไม่เลวเลย ยังไงซะครั้นเมื่อหนิงหานหลิงไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในมหาโลกาพันสาม นางก็เคยช่วยชีวิตเหยียนซีโรว่เอาไว้อยู่
“ไยท่านชายจึงมาโลกเสวียนหรือเจ้าคะ?”หนิงหานหลิงสงบสติอารมณ์แล้วถาม
“ข้ามาตามหาคนน่ะ แล้วบังเอิญเจอแม่นางหนิงตกอยู่ในความอันตรายพอดี”ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็โบกมือเสกภาพวาดของพวกต้วนคงและจี้เสี่ยวจื่อออกมาแล้วถาม: “แม่นางหนิงเคยเห็นคนเหล่านี้ในโลกเสวียนหรือไม่?”
หนิงหานหลิงดูงุนงงก่อน จากนั้นนางก็ตอบสนองกลับมาได้ทันที นางต้องได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกร้างอยู่แล้ว และรู้ด้วยว่าอาณากระบี่หวูจี๋ถูกล้มล้างไปแล้ว ซึ่งกลุ่มคนที่หลัวซิวต้องการตามหาก็ต้องเป็นคนที่อยู่ข้างกายเขาแน่นอน นางยิ่งเห็นเหยียนซีโรว่อยู่ในภาพวาดเหล่านั้นด้วย
“เหมือนข้าจะเคยเจอสามคนนี้มาก่อนนะ”หนิงหานหลิงทำหน้าไตร่ตรอง จู่ ๆ ก็ยกนิ้วชี้ไปทางต้วนคง จี้เสี่ยวจื่อแล้วก็หลัวหานยู่ทั้งสามคน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...