ก่อนจะออกจากโลกเสวียน หลัวซิวได้บอกกับหนิงหานหลิงว่าทั้งสามคนที่ไล่ล่านางมาจากจ่างเทียนตี้
“จ่างเทียนตี้เป็นกองกำลังที่ถูกควบคุมโดยมกุฎเต๋าสังสารวัฏ จากความเข้าใจของข้าที่มีต่อจ่างเทียนตี้ ในเมื่อพวกมันต้องการสิ่งของที่ตระกูลหนิงของพวกเจ้าดูแลรักษามารุ่นสู่รุ่น เช่นนั้นพวกมันก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่นอน”
“ครั้งนี้มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อสามคนที่พวกมันส่งมาถูกข้าสังหารไปแล้ว เช่นนั้นครั้งต่อไปพวกมันก็มีโอกาสส่งระดับผู้สูงส่งมาแล้วล่ะ และข้าก็ไม่มีทางพาเจ้าไปไหนมาไหนได้ตลอดด้วย ดังนั้นสถานการณ์ของเจ้าจะอันตรายอย่างยิ่ง”
หลัวซิวบอกคุณและโทษของเรื่องนี้ให้หนิงหานหลิงฟังรอบหนึ่ง อย่างไรเสียทั้งสองก็ถือว่ามีมิตรภาพต่อกันอยู่ และเขาก็ไม่ชอบที่หนิงหานหลิงต้องตกอยู่ในกำมือของพวกคนในจ่างเทียนตี้
เมื่อหนิงหานหลิงได้ยินคำพูดของหลัวซิว แววตาก็หม่นหมองลงอย่างควบคุมไม่ได้ นางฉลาดเป็นกรด จึงเข้าใจอยู่แล้วว่าคำพูดของหลัวซิวชัดเจนมาก ๆ นั่นก็คือเขาจะไม่ยอมให้นางติดตามอยู่ข้างกาย
ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่านางไม่อาจได้รับการคุ้มครองจากหลัวซิว เช่นนั้นเมื่อของสิ่งนั้นอยู่ในมือนาง ก็จะทำให้ตัวนางตกอยู่ในความอันตรายตลอดเวลา
นางก็เคยคิดที่จะนำของสิ่งนั้นมอบให้หลัวซิวเช่นกัน ทว่าอย่างไรเสียของสิ่งนั้นก็เป็นของที่ตระกูลหนิงใช้ชีวิตดูแลรักษามารุ่นสู่รุ่น นางตัดใจทำเช่นนั้นได้ยากมาก
หลัวซิวย่อมต้องมองเห็นความลังเลใจของหนิงหานหลิงอยู่แล้ว อันที่จริงสาเหตุที่เขาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมานั้น ก็หวังว่าหนิงหานหลิงจะสามารถนำของสิ่งนั้นมอบให้เขาเช่นกัน ไม่ใช่เพราะเขามุ่งหวังในสิ่งใด เขาก็คำนึงถึงความปลอดภัยของหนิงหานหลิงด้วย
มีเพียงจุดเดียวที่มีความรู้สึกส่วนตัวปนอยู่เล็กน้อยก็คือ เขาก็มีความรู้สึกสงสัยต่อสิ่งของที่ตระกูลหนิงดูแลรักษามารุ่นสู่รุ่นเช่นกัน
“หากเจ้านำของสิ่งนั้นให้ข้า เช่นนั้นจ่างเทียนตี้ก็จะไม่มาหาเจ้าอีก แต่จะมาหาแค่ข้า เช่นนั้นเจ้าก็จะปลอดภัยแล้ว”
หลัวซิวเอ่ยปากพูด “แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าก็จะให้สิ่งของเป็นการทดแทนเจ้าเล็กน้อยเช่นกัน ทรัพยากรที่อยู่ในแหวนเก็บของวงนี้น่าจะสามารถทำให้เจ้าฝึกถึงแดนผู้สูงส่งช่วงปลายแล้ว อนาคตจะมีโอกาสบรรลุเป็นประมุขเต๋าได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคโอกาสของตัวเจ้าเองแล้วล่ะ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้นขจ หลัวซิวก็หยิบแหวนเก็บของออกมาหนึ่งวง แล้ววางไว้ตรงหน้าหนิงหานหลิง
หนิงหานหลิงกัดริมฝีปาก ท้ายที่สุดแล้วนางก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบกล่องสีดำเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหน้าอก
“ท่านชายหลัว ข้าจักบอกความจริงกับท่านก็ได้ แม้นตระกูลหนิงของข้าจะดูแลรักษาของสิ่งนี้กันมารุ่นสู่รุ่น แต่กลับไม่มีคนใดทราบเลยว่าของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ และมีประโยชน์อะไร มีเพียงคำสั่งสอนจากบรรพบุรุษของตระกูลหนิงเรา ให้เราที่เป็นทายาทในทุกรุ่นดูแลรักษามัน”
หนิงหานหลิงวางกล่องสีดำเล็ก ๆ นั่นลงเบา ๆ ถอดหายใจแล้วพูด “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามูลค่าของสิ่งที่ตระกูลหนิงเราดูแลรักษามามันสูงต่ำเพียงใดกันแน่ แต่ข้าหวังว่าท่านชายจะสามารถดูแลมันดี ๆ อนาคตหากข้ามีความสามารถในการดูแลรักษามันแล้ว หวังว่าถึงครานั้นท่านชายจะยอมคืนมันให้กับตระกูลหนิงของข้าอีกครั้งนะเจ้าคะ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หนิงหานหลิงก็ยื่นกล่องดำเล็ก ๆ นั่นไปหน้าหลัวซิว ทว่านางไม่ได้ยื่นมือไปรับแหวนเก็บของของหลัวซิวแต่อย่างใด
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าหนิงหานหลิงต้องการฝากของสิ่งนี้ไว้กับหลัวซิว แต่ไม่ได้ให้เขา
นี่จึงทำให้หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมา “แม่นางหนิง เจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้มันสมเหตุสมผลหรือ?”
หนิงหานหลิงที่ได้ยินเช่นนี้ก็ผงะไปอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาขญ นางก็ตอบสนองกลับมาได้ทันทีว่าข้อเรียกร้องของตนมันเกินเลยไปหน่อย หลัวซิวและนางไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่างมากก็แค่เป็นสหายเก่าที่มีความสัมพันธ์อยู่บ้างเล็กน้อย ฝ่ายตรงข้ามมีสิทธิ์อะไรมาช่วยตนแบกรับความเสี่ยง จากนั้นตัวเองยังไม่ต้องทุ่มเทอะไรด้วย คิดจะเอากลับมาเมื่อใดก็เอากลับมาเมื่อนั้นหรือ?
“แม่นางหนิงรับแหวนเก็บของวงนี้ไว้เถิด แม้นการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้จะไม่สมเหตุสมผลมาก ๆ และไม่สัมพันธ์กับอุปนิสัยที่ไม่ชอบเสียเปรียบของข้าด้วย ทว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตภรรยาข้าเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงสัญญากับเจ้า สักวันหากเจ้าอยากเอาของสิ่งนี้กลับไปละก็ สามารถมาหาข้าได้ตลอดเวลาเลย”
หลัวซิวก็ไม่ถึงขั้นต้องการครอบครองสมบัติของตระกูลหนิงเพียงเพราะความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขาต้องการช่วยเหลือหนิงหานหลิงด้วยหัวใจจริงจริง ๆ
“จากกันแค่นี้เถอะ”
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรต่อ เข็มทิศสาส์นเต๋าถูกเขากระตุ้น ก่อนจะผันเป็นแสงรุ้งหายไปจากอนัตตาภายในพริบตา
หนิงหานหลิงมองดูแหวนเก็บของที่อยู่ในมืออย่างเหม่อลอย ภายใต้สภาพจิตใจที่ซับซ้อน แต่ก็รู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน
ไข่มุกโลกาอยู่ในมือต้วนคง ผู้ใต้บังคับบัญชาในอดีตของหุบเขาสยบปีศาจล้วนอยู่ในโลกาเล็ก ๆ ที่ถูกบุกเบิกออกมาในไข่มุกโลกา ขณะที่อาณากระบี่หวูจี๋ถูกล้มล้าง ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของหุบเขาสยบปีศาจได้รับความเสียหายไม่มากเท่าไหร่
ทราบมาจากปากต้วนคงว่า นอกจากผู้บัญชาการไจ๋เฉิงเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อปีนั้นหลังจากหลบหนีออกมาจากโลกร้าง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสี่ที่เหลือของพวกเขาจึงแยกกันพาคนบางส่วน หลบหนีไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
ปัจจุบันหลัวซิวเจอตี้ขุยและต้วนคงแล้ว ยังมีฉื้อหลงและเฟยเสว่ที่ไม่ทราบเบาะแสร่องรอย นอกเหนือจากนี้เสิ่นปิงหยูและเหยียนซีโรว่ต่างหลบหนีออกไปเอง ซึ่งก็ไม่ทราบเบาะแสร่องรอยของพวกนางเช่นกัน
อ้างอิงจากคำพูดของต้วนคง ฉื้อหลงได้พาซิงเฉินและลวี่โหลวหลบหนีไป เฟยเสว่พาฉียู่หรง ช่าจื่อเยียนแล้วก็เสี่ยวเจียงหมิงไป
หมากทั้งสองตัวดับสลายสูญสิ้นพร้อมกัน บางทีอาจเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น จึงมีคนไม่อยากให้เคล็ดวัฏสงสารเลิศล้ำของมกุฎเต๋าสังสารวัฏบรรลุผล
ปัจจุบันช่วงระยะความต่างของเขาและมกุฎเต๋า ไม่ได้ห่างไกลกันมากปานนั้นอีกต่อไปแล้ว และมีเพียงอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวอ้างอิงจากข้อมูลต่าง ๆ ที่ตัวเองทราบ เริ่มสามารถมองเห็นเหล่ามกุฎเต๋าที่กำลังเล่นหมากกระดานนี้ได้ลาง ๆ แล้ว
บางทีอาจารย์ที่เขาเชื่อใจและเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง อาจเป็นผู้ที่ควบคุมชีวิตในอดีตชาติของเขาและปัจจุบันเป็นหมากตัวหนึ่งก็เป็นได้
ส่วนตัวตนชูหวูจี๋อะไรพวกนั้น อะไรที่บอกว่าชีวิตเขาควรมีภัยพิบัติครั้งหนึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพียงคำพูดโกหกทั้งเพเท่านั้นแหละ
มกุฎเต๋าหวูจี๋ที่อยู่ในยุคสมัยนั้นเห็นความสำคัญของศักยภาพเขา ดังนั้นจึงบ่มเพาะเขา แต่ก็ไม่ได้ถ่ายทอดวรยุทธ์วิชาที่ลึกซึ้งให้เขามากนัก จึงส่งผลให้เขาดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับเมิ่งเชียนชาง
ภพชาตินี้ เขาค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาจากระดับที่ต่ำที่สุด จนก้าวเข้าสู่วิสัยทัศน์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋อีกครั้ง เนื่องจากมหันตภัยใกล้จะมาเยือน มกุฎเต๋าหวูจี๋จึงเห็นความสำคัญของศักยภาพเขาอีกครั้ง ฉะนั้นจึงรับเขาเป็นศิษย์สนิท แต่ก็ยังมองเขาเป็นหมากตัวหนึ่งอยู่เหมือนเคย
เมื่อมองเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้จนทะลุปรุโปร่ง หลัวซิวไม่เพียงไม่มีความรู้สึกปล่อยวางใด ๆ ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าตัวเองน่าเศร้ามาก รู้สึกเศร้าที่กระทั่งวินาทีนี้แล้ว ตนถึงจะมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ทั้งชีวิตของไท่ซ่างฉิงในอดีตชาติของเขา ล้วนทุ่มเทให้กับการฝึกตน ก็เพื่อหวังว่าสักวันจะสามารถช่วยอาจารย์ที่ลึกลับของตัวเองออกมาจากหุบเขาผนึกปีศาจ แต่หารู้ไม่ว่าทั้งหมดที่ตัวเองทำไปล้วนไร้ประโยชน์
แต่สิ่งที่เขาทำไปไร้ประโยชน์ก็แล้วไป ทว่าเพราะเหตุนี้ยังทำให้เขามองข้ามผู้คนที่อยู่ข้างกาย พลาดโอกาสกับเหล่าสตรีที่รักเขาอย่างสุดหัวใจอย่างหวูชวง เทียนหย่งและเมิ่งเสี้ยไปทั้งชีวิต!
มองทะลุปรุโปร่งแล้ว ในขณะเดียวกันก็ปลงตกเช่นกัน หลัวซิวไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของมกุฎเต๋าหวูจี๋มีความผิดอะไร แต่หัวใจเขากลับไม่มีความเคารพยำเกรงและความเชื่อใจต่ออาจารย์ที่หลอกใช้ตนเป็นหมากตัวหนึ่งมาโดยตลอดแล้ว
“ข้าต้องพึ่งพาตัวข้าเอง แล้วยืนหยัดอยู่ในห้วงดารานี้”
ไม่มีคำพูดฮึกเหิมใด ๆ หลัวซิวยืนอยู่บนเข็มทิศสาส์นเต๋า แค่ใช้น้ำเสียงที่เรียบนิ่งมากพูดประโยคนี้ออกมา
เข็มทิศสาส์นเต๋าเคลื่อนผ่านห้วงดาราเหมือนดาวหาง ก่อนจะมาถึงสำนักงานใหญ่ของเทียนหวางโหลวที่ตั้งอยู่ในโลกจักรภพอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้หลัวซิวคาดไม่ถึงคือ หลังจากเขามาถึงสำนักงานใหญ่ของเทียนหวางโหลวแล้ว ผู้ที่ต้อนรับเขาจะเป็นชีชี……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...