มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2990

ก่อนจะออกจากโลกเสวียน หลัวซิวได้บอกกับหนิงหานหลิงว่าทั้งสามคนที่ไล่ล่านางมาจากจ่างเทียนตี้

“จ่างเทียนตี้เป็นกองกำลังที่ถูกควบคุมโดยมกุฎเต๋าสังสารวัฏ จากความเข้าใจของข้าที่มีต่อจ่างเทียนตี้ ในเมื่อพวกมันต้องการสิ่งของที่ตระกูลหนิงของพวกเจ้าดูแลรักษามารุ่นสู่รุ่น เช่นนั้นพวกมันก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่นอน”

“ครั้งนี้มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อสามคนที่พวกมันส่งมาถูกข้าสังหารไปแล้ว เช่นนั้นครั้งต่อไปพวกมันก็มีโอกาสส่งระดับผู้สูงส่งมาแล้วล่ะ และข้าก็ไม่มีทางพาเจ้าไปไหนมาไหนได้ตลอดด้วย ดังนั้นสถานการณ์ของเจ้าจะอันตรายอย่างยิ่ง”

หลัวซิวบอกคุณและโทษของเรื่องนี้ให้หนิงหานหลิงฟังรอบหนึ่ง อย่างไรเสียทั้งสองก็ถือว่ามีมิตรภาพต่อกันอยู่ และเขาก็ไม่ชอบที่หนิงหานหลิงต้องตกอยู่ในกำมือของพวกคนในจ่างเทียนตี้

เมื่อหนิงหานหลิงได้ยินคำพูดของหลัวซิว แววตาก็หม่นหมองลงอย่างควบคุมไม่ได้ นางฉลาดเป็นกรด จึงเข้าใจอยู่แล้วว่าคำพูดของหลัวซิวชัดเจนมาก ๆ นั่นก็คือเขาจะไม่ยอมให้นางติดตามอยู่ข้างกาย

ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่านางไม่อาจได้รับการคุ้มครองจากหลัวซิว เช่นนั้นเมื่อของสิ่งนั้นอยู่ในมือนาง ก็จะทำให้ตัวนางตกอยู่ในความอันตรายตลอดเวลา

นางก็เคยคิดที่จะนำของสิ่งนั้นมอบให้หลัวซิวเช่นกัน ทว่าอย่างไรเสียของสิ่งนั้นก็เป็นของที่ตระกูลหนิงใช้ชีวิตดูแลรักษามารุ่นสู่รุ่น นางตัดใจทำเช่นนั้นได้ยากมาก

หลัวซิวย่อมต้องมองเห็นความลังเลใจของหนิงหานหลิงอยู่แล้ว อันที่จริงสาเหตุที่เขาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมานั้น ก็หวังว่าหนิงหานหลิงจะสามารถนำของสิ่งนั้นมอบให้เขาเช่นกัน ไม่ใช่เพราะเขามุ่งหวังในสิ่งใด เขาก็คำนึงถึงความปลอดภัยของหนิงหานหลิงด้วย

มีเพียงจุดเดียวที่มีความรู้สึกส่วนตัวปนอยู่เล็กน้อยก็คือ เขาก็มีความรู้สึกสงสัยต่อสิ่งของที่ตระกูลหนิงดูแลรักษามารุ่นสู่รุ่นเช่นกัน

“หากเจ้านำของสิ่งนั้นให้ข้า เช่นนั้นจ่างเทียนตี้ก็จะไม่มาหาเจ้าอีก แต่จะมาหาแค่ข้า เช่นนั้นเจ้าก็จะปลอดภัยแล้ว”

หลัวซิวเอ่ยปากพูด “แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าก็จะให้สิ่งของเป็นการทดแทนเจ้าเล็กน้อยเช่นกัน ทรัพยากรที่อยู่ในแหวนเก็บของวงนี้น่าจะสามารถทำให้เจ้าฝึกถึงแดนผู้สูงส่งช่วงปลายแล้ว อนาคตจะมีโอกาสบรรลุเป็นประมุขเต๋าได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคโอกาสของตัวเจ้าเองแล้วล่ะ”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้นขจ หลัวซิวก็หยิบแหวนเก็บของออกมาหนึ่งวง แล้ววางไว้ตรงหน้าหนิงหานหลิง

หนิงหานหลิงกัดริมฝีปาก ท้ายที่สุดแล้วนางก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบกล่องสีดำเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหน้าอก

“ท่านชายหลัว ข้าจักบอกความจริงกับท่านก็ได้ แม้นตระกูลหนิงของข้าจะดูแลรักษาของสิ่งนี้กันมารุ่นสู่รุ่น แต่กลับไม่มีคนใดทราบเลยว่าของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ และมีประโยชน์อะไร มีเพียงคำสั่งสอนจากบรรพบุรุษของตระกูลหนิงเรา ให้เราที่เป็นทายาทในทุกรุ่นดูแลรักษามัน”

หนิงหานหลิงวางกล่องสีดำเล็ก ๆ นั่นลงเบา ๆ ถอดหายใจแล้วพูด “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามูลค่าของสิ่งที่ตระกูลหนิงเราดูแลรักษามามันสูงต่ำเพียงใดกันแน่ แต่ข้าหวังว่าท่านชายจะสามารถดูแลมันดี ๆ อนาคตหากข้ามีความสามารถในการดูแลรักษามันแล้ว หวังว่าถึงครานั้นท่านชายจะยอมคืนมันให้กับตระกูลหนิงของข้าอีกครั้งนะเจ้าคะ”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หนิงหานหลิงก็ยื่นกล่องดำเล็ก ๆ นั่นไปหน้าหลัวซิว ทว่านางไม่ได้ยื่นมือไปรับแหวนเก็บของของหลัวซิวแต่อย่างใด

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าหนิงหานหลิงต้องการฝากของสิ่งนี้ไว้กับหลัวซิว แต่ไม่ได้ให้เขา

นี่จึงทำให้หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมา “แม่นางหนิง เจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้มันสมเหตุสมผลหรือ?”

หนิงหานหลิงที่ได้ยินเช่นนี้ก็ผงะไปอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาขญ นางก็ตอบสนองกลับมาได้ทันทีว่าข้อเรียกร้องของตนมันเกินเลยไปหน่อย หลัวซิวและนางไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่างมากก็แค่เป็นสหายเก่าที่มีความสัมพันธ์อยู่บ้างเล็กน้อย ฝ่ายตรงข้ามมีสิทธิ์อะไรมาช่วยตนแบกรับความเสี่ยง จากนั้นตัวเองยังไม่ต้องทุ่มเทอะไรด้วย คิดจะเอากลับมาเมื่อใดก็เอากลับมาเมื่อนั้นหรือ?

“แม่นางหนิงรับแหวนเก็บของวงนี้ไว้เถิด แม้นการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้จะไม่สมเหตุสมผลมาก ๆ และไม่สัมพันธ์กับอุปนิสัยที่ไม่ชอบเสียเปรียบของข้าด้วย ทว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตภรรยาข้าเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงสัญญากับเจ้า สักวันหากเจ้าอยากเอาของสิ่งนี้กลับไปละก็ สามารถมาหาข้าได้ตลอดเวลาเลย”

หลัวซิวก็ไม่ถึงขั้นต้องการครอบครองสมบัติของตระกูลหนิงเพียงเพราะความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขาต้องการช่วยเหลือหนิงหานหลิงด้วยหัวใจจริงจริง ๆ

“จากกันแค่นี้เถอะ”

หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรต่อ เข็มทิศสาส์นเต๋าถูกเขากระตุ้น ก่อนจะผันเป็นแสงรุ้งหายไปจากอนัตตาภายในพริบตา

หนิงหานหลิงมองดูแหวนเก็บของที่อยู่ในมืออย่างเหม่อลอย ภายใต้สภาพจิตใจที่ซับซ้อน แต่ก็รู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน

ไข่มุกโลกาอยู่ในมือต้วนคง ผู้ใต้บังคับบัญชาในอดีตของหุบเขาสยบปีศาจล้วนอยู่ในโลกาเล็ก ๆ ที่ถูกบุกเบิกออกมาในไข่มุกโลกา ขณะที่อาณากระบี่หวูจี๋ถูกล้มล้าง ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของหุบเขาสยบปีศาจได้รับความเสียหายไม่มากเท่าไหร่

ทราบมาจากปากต้วนคงว่า นอกจากผู้บัญชาการไจ๋เฉิงเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อปีนั้นหลังจากหลบหนีออกมาจากโลกร้าง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสี่ที่เหลือของพวกเขาจึงแยกกันพาคนบางส่วน หลบหนีไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน

ปัจจุบันหลัวซิวเจอตี้ขุยและต้วนคงแล้ว ยังมีฉื้อหลงและเฟยเสว่ที่ไม่ทราบเบาะแสร่องรอย นอกเหนือจากนี้เสิ่นปิงหยูและเหยียนซีโรว่ต่างหลบหนีออกไปเอง ซึ่งก็ไม่ทราบเบาะแสร่องรอยของพวกนางเช่นกัน

อ้างอิงจากคำพูดของต้วนคง ฉื้อหลงได้พาซิงเฉินและลวี่โหลวหลบหนีไป เฟยเสว่พาฉียู่หรง ช่าจื่อเยียนแล้วก็เสี่ยวเจียงหมิงไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ