มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2992

“ข้าไม่มีทางจำผิดเป็นแน่ ถึงแม้ข้าจะมองผลการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ไม่ออก แต่ข้ารู้ดีว่าต้องเป็นเจ้า” หญิงชุดขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

ออร่าอันเยือกเย็นครอบคลุมรอบกายของหลัวซิว จากร่างของหญิงชุดขาวผู้นี้ เขาสัมผัสได้ถึงรังสีสังหาร

“ไม่รู้ว่าข้ากับแม่นางเคยมีประเด็นใดกันมาก่อนหรือ? แล้วแม่นางมีนามว่าอย่างไร?” หลัวซิวขมวดคิ้วเอ่ยถาม

“เยว่เทียน!”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของหลัวซิวก็ชะงักไปเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้ได้ในทันที ที่แท้หญิงชุดขาวตรงหน้านี้ ก็คือประมุขเต๋าเยว่เทียน

เมื่อก่อนตอนที่เขายังเป็นมกุฎเทพวัฏจักรหกตัวเล็ก ๆ เคยไปฝคกตนที่บันไดทะลุฟ้าของวังดับฟ้า เขาพบโดยไม่ได้ตั้งใจว่าภายในวังดับฟ้ามีประมุขเต๋าเยว่เทียนผู้เป็นหนึ่งในสิบสองภูตสวรรค์ไท่ชูถูกควบคุมอยู่

ในตอนนั้นยังพอดีกับที่เทพธิดาเสวียนหวงพาจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดหลายคนเข้าไปเพื่อช่วยเหลือประมุขเต๋าเยว่เทียน แต่ถูกหลัวซิวฆ่าตายทั้งหมด

และก็เพราะว่าระหว่างสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงมีความคับแค้นมากมายอยู่เช่นนี้ ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ยอมมาเข้าร่วมสมาคมเต๋า

แต่ท้ายที่สุดเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเผชิญหน้า เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ ก็ถูกประมุขเต๋าเยว่เทียนจำได้เสียแล้ว

ด้วยการฝึกตนวิถีไร้ลักษณ์ ต่อให้เป็นมกุฎเต๋าก็ไม่สามารถสัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของเขาจริง ๆ แล้วอยู่ในแดนใดกันแน่ ดังนั้นประมุขเต๋าเยว่เทียนจึงคิดไปเองก่อนแล้ว ไม่ได้มองว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า แต่เป็นหนึ่งในผู้น้อยที่ติดตามผู้อาวุโสมาเปิดโลกเท่านั้น

ถึงแม้ประมุขเต๋าเยว่เทียนจะได้ยินมาว่าหลัวซิวคือแดนผู้สูงส่งแล้ว แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าแล้วนั้น ต่อให้เป็นผู้แกร่งเลิศระดับผู้สูงส่งขั้นสูง ก็ยังต้องเรียกว่าผู้น้อยอยู่ดี

“ตอนนี้รู้แล้วหรือไม่ว่าข้ากับเจ้าเคยมีประเด็นใดมาก่อน?” ประมุขเต๋าเยว่เทียนจ้องมองหลัวซิวด้วยสายตาเย็นชา

“รู้แล้วอย่างไร?” หลัวซิวไม่ได้สนใจ

“ข้าเพียงแค่จะทำให้เจ้าได้เข้าใจก่อนตายก็เท่านั้น”

ประมุขเต๋าเยว่เทียนคำรามเสียงเย็น จากนั้นก็ลงมือโดยตรงภายในสำนักแห่งนี้ มือเรียวขาวสะอาดราวกับหยกฟาดลงไปกลางอากาศ ดูเหมือนจะธรรมดาไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่กลับมากเพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งขั้นสูงร่างกายแหลกสลายได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตามในเวลานี้เอง ระลอกปริภูมิก็ปรากฏขึ้น ฝ่ามือของประมุขเต๋าเยว่เทียนก็ฟาดกระทบลงบนระลอกปริภูมิ เพียงพริบตาก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้ ทำให้การโจมตีจองนางสลายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลัวซิวไม่แปลกใจกับสิ่งนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามกุฎเต๋าบรรพเสวียนจะยื่นมือเข้ามาช่วย ผู้ที่สามารถใช้เต๋าปริภูมิได้อย่างละเอียดอ่อนเช่นนี้ ก็มีแค่เพียงมกุฎเต๋าบรรพเสวียนเท่านั้น

“เยว่เทียน อย่าเสียมารยาท”

ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ตามมาด้วยร่างหนึ่ง รอบกายครอบคลุมไปด้วยแสงแห่งเสวียนหวง อีกทั้งแห่งเสวียนหวงนี้ ยังดูเหมือนจะปลดปล่อยแสงเซียนออกมาบาง ๆ อีกด้วย แพร่กระจายความอำนาจของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋า

เห็นได้ชัดว่า คนผู้นี้ก็คือมกุฎเต๋าหวูซิน ในตอนนั้นที่แดนบรรพกาลหลัวซิวก็เคยพบมาแล้ว

ประมุขเต๋าเยว่เทียนมองหลัวซิวด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ไม่ได้โจมตีต่อแต่อย่างใด นางก็รู้ดีว่าในเมื่อมกุฎเต๋าบรรพเสวียนยื่นมือเข้ามาแล้ว นางก็อย่าได้คิดที่จะสังหารหลัวซิวในที่แห่งนี้อีกเลย

“สหายพรตหวูจี๋รับศิษย์ที่แกร่งกาจเช่นนี้เอาไว้จริงเสียด้วย ประมุขเต๋ารุ่นเยาว์เช่นนี้ ข้าก็เพิ่งจะเคยพบเจอเป็นครั้งแรก”

มกุฎเต๋าหวูซินมองมาทางหลัวซิวครั้งหนึ่ง และเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ทั้งสำนักเต็มไปด้วยความเงียบในทันที

ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของมกุฎเต๋าหวูซิน เช่นนั้นในเมื่อมกุฎเต๋าหวูซินพูดออกมาเช่นนี้แล้ว นั่นก็หมายความว่าหลัวซิวบรรลุแดนประมุขเต๋าแล้วจริง ๆ!

แต่ว่า นี่มันเป็นไปได้หรือ? นี่มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว?

สีหน้าของประมุขเต๋าเยว่เทียนก็เผยออกมาซึ่งความตกใจเช่นกัน หลัวซิวคครอบครองคุณสมบัติแห่งวิถีเซียน ในเรื่องนี้หลายคนต่างรู้ดี แต่ต่อให้คุณสมบัติของเขาจะดีสักเพียงใด ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะฝึกตนถึงแดนประมุขเต๋าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้?

เพราะเรื่องนี้ไม่สามารถใช้คุณสมบัติพรสวรรค์มาอธิบายแล้ว ต่อให้ครอบครองคุณสมบัติแห่งวิถีเซียน รวมกับทรัพยากรฝึกตนที่ใช้ได้ไม่หมดไม่สิ้น นั่นก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถฝึกตนถึงแดนประมุขเต๋าภายในร้อยปีพันปี

เรื่องที่เหนือความสมเหตุสมผลนี้ ก็คือเรื่องที่ไม่ปกติธรรมดาอย่างแน่นอน ผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่ใช่คนโง่ สิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงคือต้องมีความลับที่น่าตกใจอยู่ในตัวหลัวซิวคนนี้เป็นแน่

“ศิษย์ของข้าย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว!”

จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากนอกสำนัก ทุกคนก็หันไปตามเสียงนั้น แล้วก็เห็นมกุฎเต๋าหวูจี๋เดินเข้ามา

“มกุฎเต๋า!”

“เคารพมกุฎเต๋า!”

“……”

ประมุขเต๋าที่อยู่ที่นี่ยืนขึ้นทีละคน เอ่ยออกมาด้วยความเคารพ

วินาทีนี้เองหลัวซิวก็ได้เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่เรียกว่าสมาคมเต๋า นั่นก็คืองานแลกเปลี่ยนของระดับประมุขเต๋า เพียงแต่เมื่อเทียบกับงานแลกเปลี่ยนประมุขเต๋าเล็ก ๆ นั้น งานแลกเปลี่ยนสิ่งของประมุขเต๋าที่มีมกุฎเต๋าเป็นผู้รับผิดชอบ จะมีสมบัติล้ำค่าระดับสุดยอดปรากฎขึ้นได้ง่ายกว่า

ถึงอย่างไร ด้วยสถานะของมกุฎเต๋า การสุ่มหยิบสิ่งใดออกมาสักชิ้นก็ถือว่ามีมูลค่ามหาศาลแล้ว

“เพียงแค่มีคนนำของที่ทำให้ข้าสนใจออกมาได้ แหล่งเซียนชิ้นนี้ก็เป็นของเจ้า” มกุฎเต๋าหวูซินพูดเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนออกมา

สำหรับมกุฎเต๋าหวูซินแล้ว ภายในจักรวาลฟ้าดินแห่งนี้มีสิ่งของน้อยชิ้นนักที่จะสามารถทำให้เขาใจสั่นได้ ส่วนทรัพยากรฝึกตนอย่างไข่มุกเต๋านั้น สำหรับเขาแล้วมันไร้ซึ่งความหมายใด ๆ

ชั่วชณะหนึ่ง ภายในสำนักต่างเข้าสู่ความเงียบงัน มกุฎเต๋าบรรพเสวียนและมกุฎเต๋าหวูจี๋ต่างไม่ได้แสดงออกว่าสนใจแหล่งเซียนชิ้นนี้แต่อย่างใด ถึงแม้เช่นนี้จะทำให้การแข่งขันดูจะง่ายลงมาบ้าง แต่สามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งของของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋า มันจะเป็นสิ่งของธรรมดา ๆ ไปได้อย่างไร?

ในตอนที่หลายคนกำลังคิดว่าจะสร้างความประทับใจให้กับมกุฎเต๋าหวูซินได้อย่างไร ประมุขเต๋าที่มีใบหน้าเหลืองเล็กน้อยก็พลันเอ่บปากขึ้น “ข้ามีป้ายบัญชาการของสระกระดูกอัคคีเซียนหงสา ไม่รู้ว่ามกุฎเต๋าสนใจหรือไม่?”

เมื่อสิ้นเสียง ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็หันไปมองประมุขเต๋าท่านนี้ด้วยความประหลาดใจ คนที่ไม่รู้ก็แสดงสีหน้าฉงนสงสัย แต่คนที่รู้จักต่างก็พากันอิจฉา เพราะถึงอย่างไรป้ายบัญชาการของสระกระดูกอัคคีเซียนหงสาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะครอบครองได้ง่าย ๆ

“อาจารย์ สระกระดูกอัคคีเซียนหงสาคือสิ่งใดหรือ?” หลัวซิวหันไปถามมกุฎเต๋าหวูจี๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

ในฐานะศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋ หลัวซิวย่อมได้นั่งอยู่ข้างหลังฝั่งซ้ายของมกุฎเต๋าหวูจี๋ นอกจากนี้ต้วนคงในฐานะผู้แข็งแกร่งประมุขเต๋าช่วงต้น ก็มีคุณสมบัติที่จะได้นั่งข้าง ๆ หลัวซิว ส่วนพวกตี้ขุยนั้นทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังเท่านั้น

“ว่ากันว่าเมื่อตอนกำเนิดจักรวาลฟ้าดินแห่งนี้ ท่ามกลางวิชาโกลาหลกำเนิดเซียนหงสาเก้าสีออกมาหนึ่งตน รุ่นหลังของเซียนหงสาเก้าสี ก็คือเผ่าเซียนหงสา ส่วนสระกระดูกอัคคีเซียนหงสา คือสถานแห่งอัคคีเทวของผู้แข็งแกร่งยุคสมัยก่อน ๆ ของเผ่าเซียนหงสา สายเลือดของเผ่าเซียนหงสานั้นพิเศษมาก ทุกครั้งที่มีอัคคีเทวพลังก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล และสถานที่อัคคีเทวของพวกเขาจะหลอมรวมแก่นแท้ของเพลิงอัคคี ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ฝึกตนวิถีแห่งเปลวเพลิง”

มกุฎเต๋าหวูจี๋ค่อย ๆ เอ่ยปากอธิบาย “ถึงแม้ไม่ใช่คนที่ฝึกตนธรรมเวชเพลิงอัคคี อาศัยเซียนหงสากระดูกอัคคีมาเพื่อทำให้อัคคีชีวียกระดับก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากทีเดียว”

“เพียงแต่เผ่าเซียนหงสาตั้งอยู่ในสถานที่ที่ลึกลับอย่างมาก น้อยครั้งที่จะออกมาสัมผัสกับโลกภายนอก มีเพียงผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเผ่าเซียนหงสา จึงจะมีโอกาสได้รับป้ายบัญชาการจากเผ่าเซียนหงสาเข้าไปภายในสระกระดูกอัคคีเซียนหงสา”

“แน่นอนว่า ป้ายบัญชาการนี้ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน อย่างมากที่สุดก็สามารถฝึกตนอยู่ในสระกระดูกอัคคีเซียนหงสาได้สิบชั่วยาม”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ดวงตาของหลัวซิวก็พลันรี่ลงในทันที สิ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่ใช่ประโยชน์จากสระกระดูกอัคคีเซียนหงสา แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือบางทีเขาอาจจะรู้สถานที่อยู่ของเผ่าเซียนหงสา!

นับตั้งแต่เหยียนเยว่เอ๋อร์จากไปพร้อมกับผู้หญิงที่ชื่อเฟิ่งจิ่นแห่งเผ่าเซียนหงสา หลัวซิวก็รู้สึกไม่วางใจอยู่ตลอดเวลา ในวันนี้เขาก็มีพลังของประมุขเต๋าแล้ว มันก็ได้เวลาที่เขาควรจะไปเยือนเผ่าเซียนหงสาสักครั้ง

ในเวลาปัจจุบัน มกุฎเต๋าก็มีเพียงแค่ไม่กี่ท่านเท่านั้น เผ่าเซียนหงสาสืบทอดกันมาเนิ่นนานปีแล้วปีเล่า สายเลือดก็เจือจางและอ่อนแอลงไปมากแล้ว ถึงจะมีประมุขเต๋า แต่ก็ไม่มีมกุฎเต๋า และยิ่งไม่มีชาวเซียน

เมื่อเป็นเช่นนี้ การมีอยู่ของเผ่าเซียนหงสาสำหรับเขาแล้วไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามแต่อย่างใด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ