มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2999

แสงเซียนที่ตลบฟุ้งอยู่ด้านหน้าดูเหมือนจะเรียบนิ่งปกติ ทว่าเมื่อหลัวซิวใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจเข้าไปภายใน กลับพบว่ามีพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งแฝงซ่อนอยู่ภายในแสงเซียน ขอแค่เข้าไปในเขตพื้นที่ที่แสงเซียนปกคลุม หากศักยภาพไม่แข็งแกร่งละก็ ต้องถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซากแน่นอน

หลัวซิวก็ไม่แน่ชัดเช่นกันว่าพวกฉื้อหลงได้เข้าไปด้านในหรือไม่ แต่ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องเข้าไปสำรวจด้านในอยู่แล้ว

เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง หลัวซิวก็เข้าไปในเขตพื้นที่ที่แสงเซียนปกคลุม แสงเซียนที่อยู่รอบ ๆ ราวกับคมดาบกำลังกรีดเฉือนผิวหนังของเขา ถึงร่างเนื้อของเขาจะบรรลุถึงร่างยุทธ์ประมุขเต๋าขั้นปฐมภูมิแล้ว แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดมากเช่นกัน ร่างกายถูกเฉือนจนเกิดเป็นแผลจำนวนมาก

โชคดีที่บาดแผลเหล่านี้ไม่ลึก หลัวซิวแค่โคจรพลังเซียนผันเปลี่ยนให้เป็นพลังแห่งชีวิต บาดแผลเหล่านี้ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ภายในพริบตา

“ดูท่าพวกฉื้อหลงต้องไม่ได้เข้ามาในนี้แน่นอน”

หลัวซิวพูดพึมพำคนเดียว แม้แต่ร่างยุทธ์ระดับประมุขเต๋าของเขายังถูกแสงเซียนของที่นี่ทำลายได้เลย จากศักยภาพของพวกฉื้อหลง ไม่มีทางต้านทานได้แน่นอน หากไม่มีศักยภาพระดับประมุขเต๋า ทันทีที่บุกรุกเข้ามาอย่างผลีผลาม ก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ได้ตายสถานเดียวแน่นอน

ไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาที่ถูกแสงเซียนปกคลุม เขามองเห็นพระราชวังสูงใหญ่ที่โบราณและเรียบง่ายหลังหนึ่ง บนประตูใหญ่ของพระราชวังมีคำว่าวังทะยานเซียนสลักอยู่

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลัวซิวก็เข้าใจสักทีว่าที่นี่ถึงจะเป็นวังทะยานเซียนที่แท้จริงต่างหาก ส่วนพระราชวังที่มองเห็นบนดาราหยุนหลงนั้น แม้นบนป้ายจะมีคำว่าทะยานเซียน แต่มันก็เป็นเพียงทางเข้าหนึ่งเท่านั้น

หลัวซิวไม่ได้เดินตรงไปอย่างบุ่มบ่าม แต่เป็นการใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจก่อน เมื่อตัวสำนึกของเขาประทับลงบนวังทะยานเซียนหลังนั้น ก็สัมผัสห้วงกระบี่ที่รวดเร็วและเฉียบคมได้ทันที ทำให้ตัวสำนึกที่เขาแผ่ขยายออกไปถูกบดขยี้ภายในพริบตา

นี่จึงทำให้สีหน้าของหลัวซิวดูย่ำแย่เล็กน้อย โชคดีที่เขาฝึกต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง มิเช่นนั้นตัวสำนึกที่ถูกบดขยี้ต้องทำให้วิญญาณดั้งเดิมของเขาได้รับความเสียหายไปด้วยแน่นอน

แดนที่หนึ่งของต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่างก็คือตัวหยั่งรู้ไร้รูป ตัวหยั่งรู้ที่ไร้รูปจักไม่เกรงกลัวการโจมตีและผลกระทบด้านตัวสำนักวิญญาณทั้งปวง แม้นตัวสำนึกที่แผ่ขยายออกไปจะได้รับความเสียหาย วิญญาณหยั่งรู้ก็ไม่ได้รับผลกระทบ สามารถพูดได้เลยว่าเป็นวิชาต้องห้ามที่แข็งแกร่งและแหกกฎสวรรค์อย่างยิ่ง

ส่วนแดนที่สองของวิชาต้องห้ามนี้ จำเป็นต้องฝึกให้วิญญาณดั้งเดิมแปรเปลี่ยนเป็นภูตเซียนก่อนถึงจะทราบได้

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวพบว่าประตูใหญ่ของวังทะยานเซียนถูกห้วงกระบี่ดังกล่าวผนึกไปแล้ว มีห้วงกระบี่ตัดสลับกันไปมา แล้วประกอบเป็นตัวต้องห้ามที่เป็นทำนองเดียวกันกับค่ายกล ตัวต้องห้ามนั้นไม่ธรรมดามาก ซึ่งทลายไม่ง่าย

ในเมื่อจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์ได้บอกเรื่องราวของวังทะยานเซียนให้หลัวซิวทราบแล้ว เช่นนั้นหลัวซิวก็สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องนี้ต้องแพร่งพรายไปถึงหูผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็วแน่นอน ใช้เวลาอีกไม่นาน ก็จะมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าจำนวนมากย่างกรายมา ตลอดจนแม้แต่ผู้แข็งแกร่งมกุฎเต๋าก็จะย่างกรายมาด้วยตนเองเช่นกัน

ดังนั้นหลัวซิวจึงล้มเลิกแผนการที่จะบุกเข้าไปในวังทะยานเซียนคนเดียวทันที ครั้นเมื่ออยู่ในแดนบรรพกาล เชาได้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่จากปรักเซียนคนเดียวก็ทำให้คนอิจฉาตาร้อนมากแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางแผนที่จะรอประมุขเต๋ามกุฎเต๋าคนอื่น ๆ มาถึงก่อน จากนั้นค่อยเข้าไปสำรวจวังทะยานเซียนแห่งนี้พร้อมกับพวกเขา

มีความคิดในใจ หลัวซิวจึงออกจากเขตพื้นที่ที่แสงเซียนปกคลุมอย่างรวดเร็ว ไข่มุกสื่อสารไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จึงแสดงให้เห็นเลยว่าพวกต้วนคงยังไม่เจอเบาะแสของพวกฉื้อหลง

……

ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งนอกวังทะยานเซียน ฉื้อหลงพาลวี่โหลวและหงเหยียนสตรีทั้งสองนางติดอยู่ในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

ร่างกายของฉื้อหลงในวินาทีนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือด แต่กลับมีปณิธานที่ไม่ย่อท้อทะลุออกมาจากดวงตาที่เข้มแข็งและอดทน

“ไม่นึกเลยว่าในโลกใบนี้จะยังมีทายาทของสายเลือดมังกรเซียนด้วย”

ฉื้อหลงไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์แต่อย่างใด แต่เป็นอสูรยักษ์ที่มีสายเลือดมังกร ในยุคสมัยที่เขาเคยติดตามนักเซียนหลอมจิต สามารถหาพบอสูรยักษ์ที่มีสายเลือดมังกรเซียนได้ทุกแห่งหนเลย แต่ทว่าระดับของสายเลือดมังกรเซียนที่อยู่ในร่างกายก็มีการแบ่งสูงต่ำเช่นกัน

หากสายเลือดมังกรเซียนที่อยู่ในร่างกายแข็งแกร่ง ไม่มีทางที่กระทั่งบัดนี้ฉื้อหลงจักยังคงอยู่ในแดนผู้สูงส่งขั้นสูง ดังนั้นสายเลือดมังกรเซียนที่อยู่ในร่างกายเขาจึงเบาบางมาก เบาบางถึงขั้นที่แทบจะสามารถมองข้ามได้เลย

ทว่าจ้าวมารเทียนเผิงที่อยู่ตรงหน้านี้กลับแตกต่างกัน เขาได้ปลุกตื่นสายเลือดเผิงซียนของตัวเองแล้ว ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ปลุกตื่นสายเลือดเซียนหงสา การปลุกตื่นประเภทนี้เป็นการปลุกตื่นด้วยพรแสวง แต่ไม่ใช่สายเลือดที่มีมาตั้งแต่กำเนิดอย่างฉื้อหลง

สายเลือดที่จ้าวมารเทียนเผิงปลุกตื่นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาที่อยู่ในแดนผู้สูงส่งขั้นสูงจึงแทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทาน ซึ่งมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าจำนวนน้อยที่เคลื่อนไหวอยู่ในโลกาภายนอกสามารถทำให้เขาหวาดหวั่นได้

“หากกินเจ้าที่เป็นทายาทที่มีสายเลือดมังกรเซียน แม้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าบรรลุสู่แดนประมุขเต๋า อย่างน้อยก็สามารถทำให้ศักยภาพของข้าเพิ่มขึ้น และอยู่ใกล้ประมุขเต๋าขึ้นอีกก้าว”

จ้าวมารเทียนเผิงกำลังประชิดใกล้เข้ามาทีละก้าว ชี่มารที่ทรงพลังประกอบเป็นพลังออร่าปกคลุมทั้งหุบเขา

ฉื้อหลงยังดีหน่อย ต่อให้ศักยภาพของเขาจะเทียบเคียงกับจ้าวมารเทียนเผิงไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นถูกพลังออร่าของฝ่ายตรงข้ามกดอัด ทว่าลวี่โหลวและหงเหยียนที่อยู่ด้านหลังเขากลับแตกต่างกัน ภายใต้การกดอัดของพลังออร่านี้ สีหน้าของทั้งสองดูขาวซีดถึงขีดสุด หากปณิธานไม่แน่วแน่ เกรงว่าคงคุกเข่าลงไปตั้งนานแล้ว

“พี่รอง!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเสียงหนึ่งสะท้อนมา ถัดจากนั้นก็มีแสงกลดวงหนึ่งบินเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้อย่างรวดเร็ว แล้วเผยให้เห็นเงาร่างของตี้ขุย

ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งห้าของกองทัพเทพมารหลอมจิตเหมือนดั่งพี่น้อง ต้วนคงมีผลการฝึกตนสูงสุดจึงเป็นพี่ใหญ่สมคำกล่าวขาน ฉื้อหลงอยู่อันดับสอง เนื่องจากอาศัยความแข็งแกร่งของสายเลือดมังกรเซียน เขาที่อยู่ในแดนผู้สูงส่งขั้นสูงจึงมีคู่ต่อสู้น้อยมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ