มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3002

สรุปบท บทที่ 3002 พบหยุนเซวียนอีกครั้ง : มหายุทธ์ สะท้านภพ

บทที่ 3002 พบหยุนเซวียนอีกครั้ง  – ตอนที่ต้องอ่านของ มหายุทธ์ สะท้านภพ

ตอนนี้ของ มหายุทธ์ สะท้านภพ โดย หลงเซียว-มังกรคำราม ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายประวัติศาสตร์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 3002 พบหยุนเซวียนอีกครั้ง  จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่าหากหลัวซิวอยากครอบครองทั้งสองสิ่งที่อยู่บนแท่นหินทรงกลม เขาก็จำเป็นต้องทลายเกราะป้องกันห้าสีนั่น

หอกเวิ่นเทียนฟ้าแหลก!

หลัวซิวปลดปล่อยพลังอมตะที่เซียนชั้นฟ้าเทียนเวิ่นทิ้งไว้ออกมา แสงเซียนที่แวววาวจับตาผนึกรวมกันอยู่ในมือเขา แล้วประกอบเป็นหอกยาว ก่อนจะโจมตีใส่เกราะห้าสีจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

“ตู้มม!”

พลังอมตะระดับเซียนชั้นฟ้านั้นทรงพลังมากเพียงใด แม้นผลการฝึกตนของหลัวซิวจะไม่สูง แต่พลานุภาพของพลังโจมตีนี้ก็ไม่ด้อยกว่าพลังโจมตีที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของผู้แข็งแกร่งประมุขเต๋าช่วงกลางแน่นอน

อย่างไรก็ตามเมื่อโจมตีลงบนเกราะห้าสี มันกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย พลังแห่งเบญจธาตุที่น่าสยดสยองม้วนซัดมา รัศมีเทวห้าสีขนาดใหญ่ม้วนซัดอย่างดุดัน หลัวซิวยังตอบสนองกลับมาไม่ได้ ก็ถูกกระหน่ำจนกระเด็นออกไป ร่างกายลอยอยู่กลางอากาศแล้วกระอักเลือดติดต่อกันสามครั้ง

“ตู้มม!”

เท้าทั้งสองข้างกระแทกย่ำลงพื้น แผ่นดินจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เมื่อหลัวซิวเห็นว่าแขนทั้งสองข้างเหลือเพียงกระดูกและเลือดที่ท่วมแขน สีหน้าอารมณ์จึงดูเข้มงวดขึ้นมาทันที

“ดุดันเช่นนี้เลยรึ?”

จากศักยภาพของเขา ต่อให้เผชิญหน้ากับพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งประมุขเต๋าช่วงปลายโดยตรง สภาพก็ไม่มีทางอนาถเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าตัวต้องห้ามเกราะห้าสีนี้แข็งแกร่งมากเพียงใด

อีกทั้งตัวต้องห้ามนี้คงอยู่มาตั้งแต่สมัยประเทศเซียนที่เก่าแก่จวบจนปัจจุบัน พลังของมันสลายหายไปในกาลเวลาที่ยาวนานไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทว่ากลับยังมีพลังที่น่าสยดสยองเช่นนี้ จึงแสดงให้เห็นเลยว่าเซียนชั้นฟ้าเทียนเวิ่นเป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวมากเพียงใด

“ดูท่าพลังอมตะหอกเวิ่นเทียนฟ้าแหลกไม่ใช่กุญแจในการเปิดเกราะดังกล่าว แล้วถ้าเป็นตราเบญจธาตุสูญพันธุ์ล่ะ?”

หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ภายใต้การโคจรพลังเซียนไร้ลักษณ์ให้ผันเป็นพลังแห่งชีวิต แขนทั้งสองข้างที่เหลือเพียงกระดูกที่ขาวโพลนก็กลับมามีเนื้อหนังมังสาภายในพริบตา ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว

พลังการฟื้นฟูที่ทรงพลังเช่นนี้เหมือนจะแหกกฎสวรรค์มาก อันที่จริงหลัวซิวก็ต้องสูญเสียผลการฝึกตนเช่นกัน สภาพอาการบาดเจ็บยิ่งสาหัส ความเสียหายในการฟื้นฟูก็ยิ่งมาก

สีสันห้าสีบนเกราะห้าสีเหมือนจะสอดคล้องกับพลังแห่งเบญจธาตุทั้งห้าลาง ๆ อ้างอิงจากการคาดคะเนในอดีตของหลัวซิว เซียนชั้นฟ้าเทียนเวิ่นน่าจะเป็นเซียนที่ฝึกวิถีเบญจธาตุ เช่นนั้นหากต้องใช้พลังอมตะในการเปิดเกราะต้องห้ามนั้นละก็ มันก็มีโอกาสเป็นตราเบญจธาตุสูญพันธุ์สูงมาก

ตราเบญจธาตุสูญพันธุ์ เบญจธาตุดับสูญ ขอแค่เป็นทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในเบญจธาตุ ล้วนจะถูกวิชาตราประทับนี้ทำลายล้างจนกลายเป็นฝุ่นผง

เกราะห้าสีมีเบญจธาตุทั้งห้าแฝงซ่อนอยู่ เช่นนั้นตราเบญจธาตุสูญพันธุ์ก็น่าจะสามารถปราบมันได้พอดี

“เช่นนั้นก็ลองดูก่อนแล้วกัน”

หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า ยกระดับสภาวะให้ขึ้นไปถึงขีดสูงสุด แล้วปลดปล่อยวิชาตราประออกมา ตราเบญจธาตุสูญพันธุ์จึงถูกปลดปล่อยออกมาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

ท่ามกลางเสียงที่ดังกึกก้อง รัศมีเทวห้าสีปรากฏกะทันหัน

ทุกอย่างค่อนข้างคล้ายคลึงกับสิ่งที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้ ตราเบญจธาตุสูญพันธุ์สามารถปราบพลังแห่งเบญจธาตุได้จริง ๆ แต่พลานุภาพที่เขาปลดปล่อยออกมาก็ยังอ่อนแอไม่น้อยอยู่ดี ยังไม่สามารถทลายรัศมีเทวห้าสี พลานุภาพของวิชาตราประทับก็แห้งเหือดไปก่อน ถัดจากนั้นควันหลงจากรัศมีเทวห้าสีก็ซัดกระหน่ำมา

แม้นจะถูกตราเบญจธาตุสูญพันธุ์ทำให้พลานุภาพลดฮวบลงไปเยอะมาก แต่มีบทเรียนจากครั้งก่อน หลัวซิวก็ไม่กล้าใช้ร่างเนื้อต้านรับโดยตรงเช่นกัน ใช้พลังอมตะเทเลพอร์ตอย่างเด็ดเดี่ยว หายวับไปกับที่ภายในพริบตา

รัศมีเทวห้าสีม้วนซัดผ่านไป หากไม่ใช่เพราะวัตถุดิบที่ใช้ในการก่อสร้างวังเวิ่นเทียนไม่ได้อยู่ในเบญจธาตุทั้งห้า เกรงว่าคงถูกรัศมีเทวซัดกระหน่ำจนแหลกสลายเป็นฝุ่นผงตั้งนานแล้ว

“แทบจะเทียบทัดพลังโจมตีหนึ่งของมกุฎเต๋าแล้ว”

สีหน้าของหลัวซิวดูย่ำแย่เล็กน้อย อ้างอิงจากการบันทึกในม้วนหยกที่เขาได้รับหลังจากผ่านประตูแห่งความตาย ขอแค่มีศักยภาพที่เทียบเท่าประมุขเต๋าช่วงปลาย ก็สามารถได้รับการถ่ายทอดสืบสานของเซียนชั้นฟ้าเทียนเวิ่น แต่วินาทีนี้หลัวซิวถึงจะทราบว่า อย่างน้อยก็ต้องมีศักยภาพประมุขเต๋าช่วงปลายขั้นสุดยอดก่อน ถึงจะสามารถทลายเกราะห้าสีนั่นได้

แม้นหลัวซิวจะสังหารเฟิ่งเซียะที่เป็นประมุขเต๋าช่วงปลายในสถานบรรพบุรุษแห่งเผ่าหงส์เซียน แต่เขากลับอาศัยความแข็งแกร่งของดาบโลหิตหักเซียน ซึ่งไม่ใช่ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองแต่อย่างใด

ด้วยแดนผู้สูงส่งขั้นสูง ศักยภาพของหลัวซิวก็แค่เทียบเท่าประมุขเต๋าขั้นปฐมภูมิขั้นสุดยอด มีเพียงปลดปล่อยพลังอมตะระดับเซียน ถึงจะสามารถระเบิดศักยภาพที่เทียบเท่าประมุขเต๋าช่วงกลางออกมา ซึ่งยังแตกต่างจากประมุขเต๋าช่วงปลายไม่น้อย แล้วจะนับประสาอะไรกับประมุขเต๋าช่วงปลายขั้นสุดยอดล่ะ?

หลัวซิวก็เคยคิดเหมือนกันว่าจะใช้ดาบโลหิตหักเซียนหรือไม่ แต่อ้างอิงจากการสำรวจและการอนุมานของเขา เกราะต้องห้ามห้าสีนี้ไม่ได้เปราะบางเหมือนอย่างที่เขาคิด หากเขาใช้กำลังภายนอกมาทลาย เช่นนั้นตัวต้องห้ามนี้ก็มีโอกาสระเบิดรัศมีเทวห้าสีที่ทรงพลังมากกว่าออกมาก็เป็นได้

มีเพียงอาศัยผลการฝึกตนของตัวเขาเองมากระตุ้นพลังอมตะอย่างตราเบญจธาตุสูญพันธุ์ ตัวต้องห้ามนี้ถึงจะปลดปล่อยพลานุภาพทั่วไปออกมา

ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าหากหลัวซิวอยากครอบครองของสองสิ่งที่เซียนชั้นฟ้าเทียนเวิ่นทิ้งไว้ เขาก็ต้องยกระดับศักยภาพของตัวเองให้ขึ้นไปถึงประมุขเต๋าช่วงปลายก่อน

ร่างเนื้อที่ได้รับการปลุกเสกโดยหอคอยฮวงสามารถทำให้เขามีร่างยุทธ์ของประมุขเต๋าช่วงปลาย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็แตกต่างจากประมุขเต๋าช่วงปลายที่แท้จริงไม่น้อยอยู่ดี

ภายใต้สถานการณ์ที่จนปัญญา หลัวซิวจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนี้ก่อน อย่างไรวังเวิ่นเทียนก็คงอยู่ที่นี่มายาวนานมาก ๆ แล้ว ของก็วางอยู่ในนี้ ซึ่งไม่มีทางหายไปได้อย่างไร้สาเหตุ มิหนำซ้ำบัญชาเซียนเวิ่นเทียนทั้งสามชิ้นล้วนอยู่ในมือเขา ต่อให้คนอื่นจะสามารถเข้ามาได้ แต่ก็ไม่มีทางเข้ามาถึงจุดที่ลึกเช่นนี้ได้

ในฐานะที่เป็นศิษย์สนิทของมกุฎเต๋าเทียนชู เขาย่อมต้องทราบข่าวลับบางอย่างอยู่แล้ว และทราบเช่นกันว่าตัวตนความเป็นมาของเทพธิดาหยุนเซวียนท่านนี้น่าทึ่ง ซึ่งเป็นศิษย์น้องเล็กของเหล่ามกุฎเต๋าในปัจจุบัน

แต่เทพธิดาหยุนเซวียนกลับปัดมือไปมา เบ้ปากแล้วพูด: “ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์อาแล้ว อาจารย์เจ้าตายไปแล้ว เจ้ายังจะเรียกข้าว่าอาจารย์อาอีกทำไม?”

เมื่อพ่นคำพูดนี้ออกมา สีหน้าประมุขเต๋าเลี่ยเทียนก็ดูอึดอัดขึ้นมาทันที สำหรับเรื่องการดับสลายสูญสิ้นของมกุฎเต๋าเทียนชู หลัวซิวก็เคยบอกกับเขาแล้ว แต่ทว่าประมุขเต๋าเลี่ยเทียนไม่ได้แสดงลักษณะท่าทีที่เศร้าโศกเสียใจออกมามากเท่าไหร่นัก

นี่ไม่ได้หมายความว่าเลี่ยเทียนไม่ใส่ใจความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ระหว่างมกุฎเต๋าเทียนชู ทว่าการที่ฝึกตนขึ้นมาถึงแดนอย่างพวกเขา บวกกับคงอยู่มายาวนานเช่นนี้ พวกเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าต่อให้ฝึกถึงแดนประมุขเต๋าตลอดจนมกุฎเต๋า ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้อยู่ดี บนเส้นทางวิถียุทธ์ที่ไม่มีทางหวนคืนกลับนี้ แม้แต่เซียนในยุคโบราณยังตายได้เลย แล้วจะนับประสาอะไรกับประมุขเต๋ามกุฎเต๋าที่เล็กน้อยอย่างพวกเขาเล่า?

ทุกคนที่ย่างกรายสู่เส้นทางนี้ ล้วนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการดับสลายสูญสิ้นทุกวินาทีแล้ว หากเตรียมใจรับมือกับเรื่องนี้ไม่ได้ หรือแบกรับกับผลที่ตามมาไม่ได้ ก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติกลายเป็นผู้แข็งแกร่งบนเส้นทางนี้

ผู้แข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าผลการฝึกตนเพียงพอแล้วก็จะเป็นผู้แข็งแกร่ง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือสภาพจิตใจ สภาพจิตใจที่ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งควรมี!

เมื่อก่อนหลัวซิวก็ไม่เข้าใจคำพูดนี้เช่นกัน แต่เมื่อผลการฝึกตนศักยภาพของเขายิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากเขาก้าวเข้าสู่ระดับประมุขเต๋า เขาก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือสภาพจิตใจของผู้แข็งแกร่ง

ผู้ที่มีสภาพจิตใจแห่งผู้แข็งแกร่ง มุมมองที่มีต่อเรื่องใด ๆ ทั้งปวงล้วนแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นในปัญหาเดียวกัน คนส่วนมากล้วนจะใช้วิธีการแบบเดียวกันไปจัดการ แต่ผู้แข็งแกร่งกลับไม่ทำเช่นนั้น ความคิดของผู้แข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้

“เทพธิดาก็จะไปดาราหยุนหลงเช่นกันหรือ?”หลัวซิวหาจังหวะเปลี่ยนประเด็นทันที

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้าก็จะไปดาราหยุนหลงเหมือนกันหรือ?”เมื่อหยุนเซวียนได้ยินเช่นนี้ บวกกับนึกถึงทิศทางที่หลัวซิวและเลี่ยเทียนเดินทางมา นางก็ทราบแล้วว่าเป้าหมายปลายทางของทั้งสองเหมือนตน

“ใช่แล้ว เมื่อสิบปีก่อนข้าเคยไปมาหนหนึ่ง แต่กลับเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ และไม่มีประมุขเต๋าคนอื่น ๆ ไปสำรวจเช่นกัน ไม่ทราบว่าเทพธิดาหยุนเซวียนทราบหรือไม่ว่ามันเป็นเพราะเหตุใด?”หลัวซิวถามข้อสงสัยในใจออกมา เพราะเขาทราบตัวตนของหยุนเซวียน ดังนั้นจึงรู้สึกว่านางน่าจะรู้ข่าวลับบางอย่างที่เขาไม่รู้

“เจ้าไม่ทราบความเป็นมาของวังทะยานเซียนหรือ?”

เมื่อได้ยินคำถามของหลัวซิว หยุนเซวียนก็อดมองหลัวซิวอย่างรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ “อาจารย์เจ้าคือหวูจี๋หน้าเย็นชานั่นมิใช่หรือ อย่าบอกนะว่าเขาไม่เคยบอกเจ้ามาก่อน?”

หลัวซิวส่ายหน้า หากเป็นอดีต เขาต้องไปสอบถามมกุฎเต๋าหวูจี๋อยู่แล้ว ทว่าปัจจุบันเขากลับจะไม่ทำเช่นนั้น

“ในฐานะที่เห็นว่าข้าไม่เหม็นขี้หน้าเจ้า ข้าจักบอกเจ้าหน่อยก็แล้วกัน วังทะยานเซียนคือสนามเต๋าแห่งหนึ่งที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้”หยุนเซวียนยิ้มพลางตอบกลับ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ