มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3004

สรุปบท บทที่ 3004 ฝืนต้านทานมกุฎมังกร: มหายุทธ์ สะท้านภพ

สรุปเนื้อหา บทที่ 3004 ฝืนต้านทานมกุฎมังกร – มหายุทธ์ สะท้านภพ โดย หลงเซียว-มังกรคำราม

บท บทที่ 3004 ฝืนต้านทานมกุฎมังกร ของ มหายุทธ์ สะท้านภพ ในหมวดนิยายประวัติศาสตร์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย หลงเซียว-มังกรคำราม อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

โดยส่วนใหญ่แล้วขอแค่ฝึกถึงแดนประมุขเต๋า ก็มีคุณสมบัติที่สามารถเจรจาพูดคุยอยู่ในระดับเดียวกันกับมกุฎเต๋าได้แล้ว

เลี่ยเทียนก็เป็นประมุขเต๋าเช่นกัน แต่เขาเต็มใจเรียกหยุนเซวียนว่าอาจารย์อา นั่นเป็นเพราะเกิดจากความเชื่อและความกลัวที่มีต่อตัวตนของนาง มาตรแม้นว่าเผชิญหน้ากับมกุฎเต๋าคนอื่น ๆ อย่างมากเขาก็แค่ทำตัวเคารพนอบน้อม แต่จะไม่ปฏิบัติตัวอย่างพิธีรีตองดั่งผู้น้อยคนหนึ่ง

แม้นหลัวซิวยังบรรลุไม่ถึงระดับประมุขเต๋าอย่างแท้จริง แต่ทุกคนล้วนตีความคิดไปเองว่าเขาบรรลุถึงแดนประมุขเต๋าแล้ว ดังนั้นเขาก็มีสิทธิ์เช่นเดียวกัน

ทว่ามกุฎมังกรเอี๊ยงคำหนึ่งก็ผู้น้อยสองคำก็ผู้น้อย สภาพดูเหยียดหยาม ยิ่งจะลิดรอนสิทธิในการเข้าไปสำรวจวังทะยานเซียนพร้อมกับประมุขเต๋าคนอื่น ๆ ของเขา ซึ่งนี่เป็นการข่มกันอย่างเห็นได้ชัดเลย

ประมุขเต๋าบางส่วนที่อยู่ในที่เกิดเหตุดูปฏิกิริยาของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ยังไงซะอย่างที่ทุกคนทราบกัน หลัวซิวก็เป็นศิษย์เต็มตัวของมกุฎเต๋าหวูจี๋

อย่างไรก็ตามมกุฎเต๋าหวูจี๋กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ราวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนักใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาสักนิด

แววตาของฉินจ้านที่นั่งอยู่ด้านหลังมกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ซับซ้อนเล็กน้อยเช่นกัน เขานึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้จักเติบโตได้เร็วเช่นนี้ เติบโตถึงขั้นที่อยู่เหนือขอบข่ายที่อาจารย์สามารถควบคุมได้แล้ว

ในขณะเดียวกันฉินจ้านก็รู้สึกอิจฉาหลัวซิวเล็กน้อยด้วย เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับหลัวซิว ทุกการพัฒนาของเขาล้วนอยู่ในแผนการของมกุฎเต๋าหวูจี๋ ซึ่งไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของมกุฎเต๋าหวูจี๋ได้

ไม่มีคนใดไม่โหยหาอิสรภาพ โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งที่สามารถฝึกถึงแดนประมุขเต๋า สภาพจิตใจของทุกคนล้วนไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้ ฉินจ้านก็คาดหวังที่จะได้รับอิสรภาพเช่นกัน แต่เขาก็รู้อยู่ว่าสาเหตุที่มกุฎเต๋าหวูจี๋บ่มเพาะเขา เป็นเพียงเพราะมองเห็นพรสวรรค์ภูตเซียนพรหมของเขาเท่านั้น มองเขาเป็นหมากตัวหนึ่ง แต่เขากลับไม่มีต้นทุนที่สามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของฝ่ายตรงข้ามได้

หากเขาสามารถฝึกถึงแดนประมุขเต๋าช่วงปลาย เช่นนั้นเมื่ออาศัยพรสวรรค์ของภูตเซียนพรหม การที่เขาอยากหลุดพ้นจากการควบคุมของมกุฎเต๋าหวูจี๋นั้น มันไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด แต่ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ผลการฝึกตนของเขากลับถูกมกุฎเต๋าหวูจี๋พันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา อยู่ในแดนประมุขเต๋าช่วงกลางมาโดยตลอด

สำหรับมกุฎเต๋าหวูจี๋แล้ว ในเมื่อหมากอย่างหลัวซิวหลุดพ้นจากการควบคุมแล้ว เช่นนั้นหมากที่ไม่สามารถควบคุมก็ย่อมไม่มีมูลค่าในการคงอยู่อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อมกุฎมังกรเอี๊ยงข่มหลัวซิวต่อหน้าต่อตา มกุฎเต๋าหวูจี๋จึงเลือกที่จะนิ่งดูดาย

ซึ่งนี่คือใบหน้าที่แท้จริงของมกุฎเต๋าหวูจี๋ต่างหาก ถ้าเกิดบอกว่ามกุฎเต๋าหวูซินเป็นคนไร้หัวใจ เป็นคนที่ไร้ความปราณีถึงขีดสุด เช่นนั้นมกุฎเต๋าหวูจี๋ก็เป็นคนที่ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย ทุกอย่างล้วนยึดผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก เห็นแก่ตัวถึงขีดสุด!

บางทีอาจมีคนรู้สึกว่าเหตุใดผู้ที่มีสภาพจิตใจเช่นนี้ถึงสามารถฝึกถึงแดนมกุฎเต๋าได้? ทว่าแท้จริงแล้วสภาพจิตใจเช่นนี้คือสันดานเดิมของพวกเขา คือเจตนาเดิมของพวกเขา พวกเขาเป็นคนประเภทนี้มาตั้งแต่กำเนิดแล้ว

ในสายตาของผู้ที่ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายมีแค่ตัวเองเท่านั้น หลัวซิวในวินาทีนี้ฉุดคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน บางทีการตายของมกุฎเต๋าบรรพฮวงอาจไม่ใช่อุบัติเหตุด้วยซ้ำ และไม่ใช่แผนการของมกุฎเต๋าสังสารวัฏเช่นกัน ในทางตรงกันข้ามมันกลับมีโอกาสเป็นความตั้งใจของมกุฎเต๋าหวูจี๋สูงมาก!

เขาจงใจบาดเจ็บสาหัสไปพร้อมกับมกุฎเต๋าหวูซิน เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะทำให้มกุฎเต๋าสังสารวัฏมีช่องโหว่ที่สามารถลงมือ!

“ช่างเป็นแผนการที่น่ากลัวยิ่งนัก”

เมื่อหลัวซิวนึกคิดถึงตรงนี้ ร่างกายก็สั่นสะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้ มกุฎเต๋าบรรพฮวงเป็นพันธมิตรของเขา แต่ก็ถูกเขาวางแผนลอบทำร้ายอยู่ดี และจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ของมกุฎเต๋าหวูจี๋ก็คือทำลายสมดุล!

มีเพียงสมดุลถูกทำลาย สถานการณ์ถึงจะยุ่งเหยิง ภายใต้สถานการณ์ที่ยุ่งเหยิง เขาถึงจะสามารถคิดหาหนทางเพื่อให้ตนได้รับข้อได้เปรียบง่ายยิ่งขึ้น

และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ล้วนอยู่ในแผนการของมกุฎเต๋าหวูจี๋จริง ๆ ตั้งแต่มกุฎเต๋าบรรพฮวงดับสลายสูญสิ้นเป็นต้นไป สมดุลก็ถูกทำลายไปภายในพริบตา ถัดจากนั้นบรรพจารย์ดินก็ถูกลอบสังหาร มีเพียงการดับสลายสูญสิ้นของบรรพสวรรค์เท่านั้นที่เป็นเหตุสุดวิสัย

ในขณะที่กำลังนึกคิดเรื่องราวเหล่านี้ในใจ หลัวซิวกลับมองข้ามมกุฎมังกรเอี๊ยงที่พูดฉอด ๆ และเมื่อเห็นว่าสภาพเขาเหมือนมองข้ามหัวมกุฎมังกรเอี๊ยง จึงทำให้เหล่าประมุขเต๋าแห่งโลกาเทพมังกรไท่ชูพิโรธขึ้นมาทันที

สำหรับเหล่าประมุขเต๋าแห่งโลกาเทพมังกรไท่ชูแล้ว มกุฎมังกรทั้งสองคือผู้แข็งแกร่งสูงสุด หลัวซิวบังอาจไม่สนใจมกุฎมังกร มันเป็นการยั่วยุทั้งโลกาเทพมังกรไท่ชู!

“ช่างกล้าหาญยิ่งนัก! มึงอย่าคิดว่าตนเป็นศิษย์ของมกุฎเต๋าหวูจี๋แล้วจะสามารถทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่ได้ กูจะสอนวิธีการเป็นคนถ่อมตัวให้มึงบัดเดี๋ยวนี้แหละ”

ประมุขเต๋าคนหนึ่งจากโลกาเทพมังกรไท่ชูลุกพรวดขึ้นมา พลังออร่าที่บ้าระห่ำระเบิดออกมาจากร่างกาย ก่อนจะปล่อยหมัดไปทางหลัวซิวจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ลงมือโจมตีตน หลัวซิวยังคงสุขุมเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย ตั้งแต่เข้ามาในตำหนักใหญ่แห่งนี้เป็นต้นมา เงาร่างของประมุขเต๋าเลี่ยเทียนที่ถูกมองข้ามมาโดยตลอดก็กระพริบทีหนึ่ง ปรากฏตรงหน้าเขา ก่อนจะง้างมือขึ้นมาใช้ฝ่ามือเป็นดาบ ฟาดฟันออกไป

“ฟึ่บ!”

มีหมอกเลือดกลุ่มหนึ่งระเบิดแตก ประมุขเต๋าเผ่าพันธุ์มารที่ลงมือนั่น อย่าว่าแต่กำปั้นเลย ร่างกายครึ่งซีกถูกผ่าออกจนแยกออกเป็นสองซีก เลือดสีแดงสดสาดกระเด็น สภาพอนาถจนไม่อาจทนดูได้จริง ๆ

โลกาเทพมังกรไท่ชูมีมกุฎมังกรสองคนเป็นผู้นำ ยึดเผ่าพันธุ์มารเป็นเจ้า เผ่าพันธุ์มารมีร่างญาณที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิด เมื่ออยู่ในแดนเดียวกันก็มีคู่ต่อสู้น้อยมาก จ้าวมารที่ลงมือยิ่งมีศักยภาพประมุขเต๋าช่วงกลาง แต่ไม่นึกเลยว่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็เสียเปรียบขนาดนี้แล้ว

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังแห่งเลี่ยเทียนที่สามารถฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง ร่างเนื้ออันแข็งแกร่งที่เขาภาคภูมิใจก็ไม่มีประโยชน์เลยด้วยซ้ำ ศักยภาพของเลี่ยเทียนแค่ฟื้นฟูกลับมาถึงประมุขเต๋าช่วงกลาง ต่างอยู่ในแดนเดียวกัน จ้าวมารแห่งโลกาเทพมังกรไท่ชูคนนี้เป็นประมุขเต๋าช่วงกลางที่มีศักยภาพอันดับต้น ๆ แต่เลี่ยเทียนกลับเป็นประมุขเต๋าช่วงกลางขั้นสุดยอด ศักยภาพยิ่งไม่ด้อยกว่าประมุขเต๋าช่วงปลายบางส่วน

กระทั่งบัดนี้ ผู้คนถึงจะสังเกตเห็นเลี่ยเทียน ประมุขเต๋าจำนวนไม่น้อยล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่คงอยู่มายาวนานอย่างไม่รู้จบ ในจำนวนคนทั้งหมดก็มีบางคนจำตัวตนของเลี่ยเทียนได้เช่นกัน

“นั่นมันประมุขเต๋าเลี่ยเทียนมิใช่หรือ?”

“ใช่สิ หากไม่ได้เห็นเองกับตา ข้าก็เกือบมองข้ามไปแล้ว ข่าวลือเล่ากันว่าเขาดับสลายสูญสิ้นไปตั้งนานแล้วมิใช่หรือ?”

“12 สวรรค์ไท่ชูคือศิษย์สนิทของบรรพสวรรค์ ย่อมไม่มีทางดับสลายสูญสิ้นง่าย ๆ อยู่แล้ว ไม่เห็นหรือว่าประมุขเต๋าเฟิงเทียนกำลังนั่งอยู่ด้านหลังมกุฎเต๋านอกนภา อีกทั้งประมุขเต๋าเยว่เทียนก็นั่งอยู่ด้านหลังมกุฎเต๋าหวูซินเช่นกัน?”

“แฮะ ๆ ไม่แน่บรรพสวรรค์ก็อาจจะยังไม่ตาย อีกไม่กี่ปีเขาอาจจะอุบัติขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็เป็นได้”

“นี่ผู้เพื่อนยุทธ์กำลังล้อเล่นอยู่สินะ?”

“มันจะไม่มีทางเป็นไปได้อย่างไร? บรรพสวรรค์หายไปพร้อมกับคัมภีร์สวรรค์ แม้นจักลือกันว่าเขาดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว ทว่ามีผู้ใดที่เห็นเองกับตาบ้างเล่า?”

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ สีหน้าของประมุขเต๋าจำนวนไม่น้อยต่างดูเข้มงวดมาก เพราะพลังอมตะที่มกุฎมังกรเอี๊ยงปลดปล่อยออกมาอย่างสบายมือ ก็แข็งแกร่งกว่าประมุขเต๋าช่วงปลายแล้ว

สามารถพูดได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่า อย่างน้อยก็ต้องเป็นประมุขเต๋าช่วงปลายถึงจะสามารถต้านทานกระบวนท่านี้ได้ ทว่าต่อให้ต้านทานเอาไว้ได้ ก็ต้องบาดเจ็บแน่นอน

หากหลัวซิวต้านทานเอาไว้ได้โดยแลกกับการบาดเจ็บ เช่นนั้นก็แสดงว่าศักยภาพของเขาเทียบเท่าประมุขเต๋าช่วงปลาย เช่นนี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่กลับไม่มีค่าอะไรในสายตามกุฎเต๋า

เขามีเพียงต้านรับพลังอมตะนี้เอาไว้ได้อย่างปลอดภัย ถึงจะสามารถทำให้เหล่ามกุฎเต๋ารู้สึกหวาดหวั่นได้อย่างแท้จริง

หลัวซิวไม่มีอุบายอื่น ๆ ที่สามารถต้านรับกระบวนท่านี้ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงใช้ดาบโลหิตหักเซียน

ตั้งแต่ได้รับดาบโลหิตหักเซียนเป็นต้นมา หลัวซิวก็ศึกษาวิจัยมันมาโดยตลอด ตอนแรกเริ่มหากเขาจะใช้ดาบโลหิตหักเซียน จะทำให้ผลการฝึกตนทั้งหมดของเขาแห้งเหือดไปภายในพริบตา

ทว่าจากการที่เขาศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เขาใช้ผลการฝึกตนส่วนหนึ่งก็สามารถกระตุ้นดาบโลหิตไร้เทียมทานเล่มนี้ได้แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกันพลานุภาพจะลดลงไม่น้อยเลย

อย่างไรก็ตามต่อให้พลานุภาพจะลดน้อยลง อานุภาพของดาบฉกรรจ์สุดหล้าก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถคาดคะเนได้

“ตู้มม!”

เห็นเพียงหลัวซิวสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง กิริยาท่าทางของเขาก็ดูเรื่อยเปื่อยมากเช่นกัน ดวงแสงดาบที่แดงฉานปานเลือดดวงหนึ่งก็ฟาดฟันออกไปกะทันหัน

พระอาทิตย์กลางฝ่ามือใหญ่สีทองแตกกระจายทันที ถัดจากนั้นมือใหญ่สีทองก็ถูกดวงแสงดาบฉีกกระชากจนแตกสลาย ยิ่งกว่านั้นคืออานุภาพของดวงแสงดาบที่แดงฉานปานเลือดไม่ลดน้อยลงเลย กำลังเฉือนสังหารไปทางมกุฎมังกรเอี๊ยงที่อยู่ด้านบน!

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของดวงแสงดาบรวดเร็วมากเกินไป บวกกับมกุฎมังกรเอี๊ยงนึกไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ทันได้หลบหลีก มิหนำซ้ำถ้าเกิดเขาหลบหลีก ก็เท่ากับต้องอับอายขายขี้หน้าต่อผู้คนที่อยู่ในนี้มิใช่หรือ?

“ตู้มม!”

ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว เสี้ยววินาทีที่ดวงแสงดาบสีเลือดประชิดใกล้ร่าง มกุฎมังกรเอี๊ยงก็ปล่อยหมัดทลายดวงแสงดาบ ร่างกายไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

“ดาบเล่มนั้นอยู่บนตัวมึงอย่างนั้นหรือ!”

ไม่เพียงมกุฎมังกรเอี๊ยงเท่านั้น มกุฎเต๋าทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุล้วนนำสายตาเพ่งเล็งไปทางหลัวซิว แววตาของแต่ละคนดูร้อนผ่าวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

ในจักรวาลสามโลกา มีผู้ใดไม่ทราบชื่อเสียงของดาบฉกรรจ์สุดหล้าในหุบเขาเสว่หย่าแห่งโลกใต้ดินเก้าดาวบ้าง? แต่ว่าดาบฉกรรจ์เล่มนั้นอยู่ในหุบเขามาตั้งแต่สมัยประเทศเซียนแล้ว ไม่นึกเลยว่าผู้ที่เพิ่งบรรลุถึงประมุขเต๋าจะได้ครอบครองมันอย่างนั้นหรือ?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ