มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3015

ผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ในสาขาย่อยของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงไม่ได้ไร้สมองเหมือนคนดังกล่าว ค่ายพิทักษ์เขาของสำนักศักดิ์สิทธิ์สาขาย่อยคือค่ายใหญ่ระดับประมุขเต๋าเชียวนะ ค่ายกลประเภทนี้ฝ่ายตรงข้ามยังสามารถใช้พลังทลายได้เลย เจ้าที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อเล็ก ๆ คนหนึ่งก็กล้าทำตัวจองหอง นั่นมันเป็นการรนหาที่ตายเองมิใช่หรือ?

ชายวัยกลางคนที่สีหน้าอารมณ์สุขุมคนหนึ่งเดินออกมา ยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่อยู่ห่างไม่ไกลจากหลัวซิว ประสานมือทำท่าคาราวานแล้วพูด: “ข้าน้อยเป็นศิษย์เต็มตัวของมกุฎเต๋าหวูซิน ฉีว่านหง ไม่ทราบว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงของเรามีบุญคุณความแค้นอะไรต่อผู้เพื่อนยุทธ์? เหตุใดผู้เพื่อนยุทธ์จึงลงมือโจมตีค่ายพิทักษ์เขาของสำนักศักดิ์สิทธิ์เราโดยไม่ยอมให้เราได้ชี้แจงแก้ต่างใด ๆ ทั้งสิ้น?”

ฉีว่านหงนี่ก็คือประมุขเต๋าที่คอยปกปักรักษาสำนักศักดิ์สิทธิ์เหสวียนหวงแห่งโลกร้างนั่นเอง เมื่อพูดตามหลักแล้ว การที่ประมุขเต๋าคนหนึ่งบังคับบัญชาหนึ่งโลกาก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แม้นในจักรวาลสามโลกาก็มีผู้แข็งแกร่งประมุขเต๋าที่แข็งแกร่งกว่าเขาเยอะมาก แต่เมื่อมีอำนาจบารมีของมกุฎเต๋าหวูซิน ก็ไม่มีคนใดที่จองหองถึงขั้นมารุกรานสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง

แต่ทว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้กลับเป็นข้อยกเว้น อย่างน้อยก็ต้องมีผลการฝึกตนประมุขเต๋าช่วงกลาง ถึงจะสามารถอาศัยพลังโจมตีค่ายพิทักษ์เขาระดับประมุขเต๋านั่นให้แตกสลายได้ ส่วนชายที่อยู่ตรงหน้านี้กลับปล่อยพลังฝ่ามือเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำลายค่ายใหญ่ไปแล้ว ศักยภาพระดับนี้จึงทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

ผลการฝึกตนของฉีว่านหงคือประมุขเต๋าขั้นปฐมภูมิ ดูจากคลื่นออร่า เขาคือประมุขเต๋าขั้นปฐมภูมิธรรมดา แม้แต่ขั้นชั้นหนึ่งยังไม่ใช่เลย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นสุดยอด

สามารถพูดได้เลยว่าประมุขเต๋าประเภทนี้เป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในแดนประมุขเต๋า จึงไม่สามารถสร้างภัยคุกคามให้แก่หลัวซิวได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นคือขณะที่เขายังไม่บรรลุสู่ประมุขเต๋า ไม่ต้องเปลืองแรงมากก็สามารถกำจัดคู่ต่อสู้ประเภทนี้ได้อย่างง่ายดายแล้ว

“ที่กูทำลายค่ายพิทักษ์เขาของพวกมึงเป็นเพียงการตักเตือนเท่านั้น เริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป กูจะให้พวกมึงไสหัวออกไปจากโลกร้างภายในเวลา 15 นาที ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กูคือประมุขแห่งโลกร้าง”หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง

ถึงแม้น้ำเสียงของหลัวซิวจะเรียบนิ่งมาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่แข็งกร้าวและเผด็จการอย่างไม่อาจคัดค้าน

“ช่างปากดียิ่งนัก ต่อให้มึงเป็นประมุขเต๋าคนหนึ่ง แต่ถ้าเกิดเป็นศัตรูกับสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงของเราละก็ มึงทราบผลที่จะตามมาหรือไม่?”

ฉีว่านหงยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ชายหนุ่มหน้าหล่อคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็เอ่ยปากตวาดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

ทันทีที่สิ้นเสียงชายหนุ่มคนนั้น หลัวซิวก็ปรากฏตรงหน้าเขาแล้ว กางอาณาจักรไร้ลักษณ์ออก ทำการแผ่คลุมชายหนุ่มคนนั้นเอาไว้ภายในพริบตา อำนาจบารมีอันน่าสยดสยองที่ไร้ขอบเขต ทำให้ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งคนนั้นล้มคลานลงไปกับพื้นทันที ใบหน้าขาวเผือกถึงขีดสุด

ไม่มีผู้ใดเห็นเลยว่าหลัวซิวปรากฏตัวอย่างไร แม้แต่ตัวฉีว่านหงเองก็สัมผัสคลื่นปริภูมิไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นี่จึงทำให้เขาจิตใจเขาหวาดหวั่นถึงขีดสุด เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่คือผู้แข็งแกร่งประมุขเต๋าที่ฝึกธรรมเวชปริภูมิถึงแดนที่ลึกซึ้งมาก หากผู้แข็งแกร่งประเภทนี้ลงมือโจมตีตนเองละก็ เช่นนั้นผลลัพธ์……

เมื่อนึกถึงจุดนี้ ฉีว่านหงก็ตกใจกลัวจนเหงื่อแตกท่วมตัว

“ผู้เพื่อนยุทธ์โปรดยั้งมือก่อนหลิงเซียวคือผู้สืบทอดต่างรุ่นของมกุฎเต๋าหวูซิน ได้โปรด……”

ฉีว่านหงรีบเอ่ยปากพูด แม้นหลิงเซียวจะเป็นเพียงผู้สูงส่งช่วงกลางคนหนึ่ง ทว่าตัวตนกลับไม่ธรรมดามาก

เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อพูดตัวตนของหลิงเซียวออกมาแล้วจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตรึกตรองให้ดีกว่านี้ แต่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าฉีว่านหงจะคำนวณผิดพลาดแล้ว เพราะระหว่างหลัวซิวและมกุฎเต๋าหวูซินอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ตายไม่จบตั้งนานแล้ว เขาจะฆ่าหรือไม่ฆ่าหลิงเซียวนี่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์นี้ได้

“ปั้ง!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงฉีว่านหง ร่างกายของหลิงเซียวนั่นก็ระเบิดแตกกะทันหัน กลายเป็นหมอกเลือดก้อนหนึ่ง จากนั้นก็มีอัคคีดวงหนึ่งปรากฏกลางอากาศที่ว่างเปล่า ทำการแผดเผาหมอกเลือดทั้งปวงจนหายวับไป

หลัวซิวไม่ทราบแต่อย่างใดว่าหลิงเซียวนี่คือเทพบุตรของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง ซึ่งเป็นพี่ชายของเทพธิดาเสวียนหวงที่ถูกเขาสังหารเมื่อปีนั้นนั่นเอง

และกระทั่งตายไปแล้ว ​​หลิงเซียวก็ไม่รู้เช่นกันว่าผู้ที่สังหารตนคือหลัวซิว เขาโอ้อวดว่าตัวเองมีปัญญาแห่งอัจฉริยะไร้เทียมทาน ยังเพ้อฝันอยู่เลยว่าอนาคตถ้าเกิดตนฝึกถึงแดนประมุขเต๋า ก็จะทำการสังหารหลัวซิวด้วยน้ำมือตนเอง ทำให้คนทั้งจักรวาลสามโลกาได้รู้ว่า เขาหลิงเซียวคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในห้วงดาราแห่งนี้ต่างหาก

อย่างไรก็ตามความคิดทั้งหมดทั้งมวลนี้ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงความฝัน ความหวังแตกสลายดั่งกระจก

“อย่าว่าแต่เป็นผู้สืบทอดต่างรุ่นคนหนึ่งของมกุฎเต๋าหวูซินเลย ต่อให้มกุฎเต๋าหวูซินปรากฏต่อหน้ากู ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”หลัวซิวกวาดมองฉีว่านหงด้วยสายตาที่เยือกเย็นรอบหนึ่ง

สายตานี้ทำให้ฉีว่านหงขนลุกซู่ไปถึงขั้วหัวใจ รู้สึกแค่ว่าวิญญาณช่องจิตของตัวเองถูกจิตสังหารที่ไร้ขอบเขตโจมตี อีกนิดเดียวก็จะหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไรฉีว่านหงก็เป็นประมุขเต๋าที่แท้จริงคนหนึ่งอยู่ จึงระงับความหวาดกลัวในใจลงไปได้อย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลังเขา กลับตกใจกลัวต่อภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเหม่อลอยไปตั้งนานแล้ว

ในดาราจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่นึกเลยว่าจะมีคนไม่เกรงกลัวมกุฎเต๋าเลยแม้แต่น้อย หรือว่าคนดังกล่าวก็เป็นหนึ่งในมกุฎเต๋าในยุคปัจจุบันเหมือนกัน?

“ตก……ตกลงเจ้าคือผู้ใดกันแน่?”ฉีว่านหงแกล้งทำเป็นสุขุมแล้วถาม เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมกุฎเต๋าทั้งหมดในปัจจุบัน แต่กลับไม่มีคนใดที่สัมพันธ์กับชายที่อยู่ตรงหน้านี้เลย

“มึงน่าจะเคยได้ยินชื่อกูอยู่ กูชื่อหลัวซิว มึงก็สามารถเรียกกูว่าซิวหลัวได้เช่นกัน เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กูจักกลายเป็นประมุขแห่งโลกร้างด้วยชื่อซิวหลัว!”หลัวซิวพูดอย่างเย็นชา

“หลัวซิว?”

เมื่อฉีว่านหงได้ยินชื่อดังกล่าว เขาก็เบิกตากว้างขึ้นมาภายในพริบตา ในฐานะที่เป็นประมุขเต๋าคนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง เขาไม่มีทางไม่เคยได้ยินชื่อดังกล่าวแน่นอน

อ้างอิงจากข่าวคราวที่เขาทราย หลัวซิวบรรลุเป็นประมุขเต๋าแล้ว มากไปกว่านั้นคือก่อนจะเข้าไปในวังทะยานเซียน เขายิ่งเคยประมือกับมกุฎมังกรเอี๊ยงแห่งไท่ชู ยึดกุมดาบฉกรรจ์สุดหล้า ศักยภาพเทียบเท่าประมุขเต๋าช่วงปลาย!

“เวลา 15 นาทีใกล้จะหมดแล้ว ดูท่าพวกมึงคงไม่อยากมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่แล้วสินะ”

หลัวซิวไม่ได้สนใจความหวาดหวั่นของฉีว่านหง เขามุ่งหน้าเดินตรงไปหาฝ่ายตรงข้าม ทุกย่างก้าวที่ก้าวออกไป เงาร่างเหมือนดั่งเทเลพอร์ต ฉีว่านหงยังตอบสนองกลับมาไม่ได้ เขาก็ปรากฏตรงหน้าฝ่ายตรงข้ามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แล้วกางอาณาจักรไร้ลักษณ์เช่นกัน ภายใต้ศักยภาพที่แตกต่างกันเยอะมาก อาณาจักรของหลัวซิวจึงพันธนาการฉีว่านหงเอาไว้ภายในพริบตา

ฉีว่านหงรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง เขาจึงเตรียมพร้อมที่จะระเบิดผลการฝึกตนของตัวเอง เพื่อให้หลุดพ้นจากการพันธนาการของอาณาจักร

อย่างไรก็ตามเขาเพิ่งรู้สึกว่าร่างกายกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง ก็มีฝ่ามือข้างหนึ่งกดอัดลงบนหน้าอกเขาแล้ว

“ช่างเป็นพลังอมตะที่น่ากลัวยิ่งนัก เป็นพลังอมตะที่มุ่งเป้าไปที่ตัวธรรมโดยเฉพาะเลย!”เลี่ยเทียนรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองสั่นคลอนเล็กน้อย

มองแค่แวบเดียวยังทำให้ตัวเองรู้สึกสิ้นหวังและสยองเช่นนี้เลย ถ้าเกิดหลัวซิวใช้พลังอมตะวิชานี้ต่อเขาละก็ เลี่ยเทียนรู้สึกว่าต่อให้ศักยภาพของตัวเองฟื้นฟูกลับไปถึงประมุขเต๋าช่วงปลาย ก็ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องได้ตายสถานเดียวอย่างแน่นอน

“โครม!”

ทั้งสาขาย่อยของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงดับสลายเป็นฝุ่นผง ไม่คงอยู่อีกต่อไป ทั้งสาขาย่อยไม่ว่าจะเป็นเบื้องล่างหรือเบื้องบน ประมุขเต๋าที่แข็งแกร่งมากเพียงใด หรือเทพมารที่ศักยภาพอ่อนแอ ล้วนไม่เหลือแม้แต่ซาก ไม่มีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว

มาตรแม้นว่าเป็นตัวหลัวซิวเองก็รู้สึกตะลึงต่อความทรงพลังของพลังอมตะเจว๋เทียนเช่นกัน บางทีหากปลดปล่อยพลังอมตะวิชานี้ด้วยผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเขา ยังไม่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าฆ่าตัวตายในความสิ้นหวังที่ไร้ที่สิ้นสุด แต่ก็สามารถทำให้ตัวธรรมของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ทันทีที่ตัวธรรมถูกโจมตีแล้วได้รับผลกระทบละก็ อาจจะสามารถเป็นตัวกำหนดผลแพ้ชนะของศึกสงครามแห่งความเป็นความตายได้เลย

ถ้าเกิดเขาปลดปล่อยพลังอมตะเจว๋เทียน ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋าคนหนึ่งสติหลุด จากนั้นเขาค่อยฉวยโอกาสกระตุ้นดาบโลหิตหักเซียน เช่นนั้นต่อให้ไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้าม แต่ก็สามารถทำให้มกุฎเต๋าทั้งปวงเสียเปรียบอย่างหนักหน่วงแน่นอน!

เนื่องจากช่วงระยะความต่างของผลการฝึกตน ตราเข้าล็อกเดิมที่หลัวซิวริเริ่มด้วยตนเองกลับไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรต่อเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎเต๋า

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าตราเข้าล็อกเดิมแข็งแกร่งไม่มากพอ เนื่องจากนี่เป็นพลังอมตะที่เขาริเริ่มด้วยตนเอง ควบคู่กับวิถีไร้ลักษณ์ที่เขาฝึก เมื่อเขายิ่งแข็งแกร่ง ตราเข้าล็อกเดิมก็จะยิ่งทรงพลัง มีศักยภาพที่ไร้ขอบเขต!

ถึงแม้เจว๋เทียนจะเป็นพลังอมตะระดับราชาเซียน แต่ถ้าเกิดหลัวซิวก็บรรลุเป็นราชาเซียนเช่นกัน อย่างนั้นพลังอมตะเจว๋เทียนก็เทียบเคียงขี้เล็บของตราเข้าล็อกเดิมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ยกนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว หลัวซิวสลักจารึกลายค่ายลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า เห็นเพียงลายเส้นสีทองทั้งหลายเรียงรายกันอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า จากนั้นลายเส้นสีทองที่นับไม่ถ้วนก็เรียงรายกันอยู่ในรูปแบบสัญลักษณ์ลายฮู้

ลายค่ายกลายฮู้ป็นอุบายชั้นยอดบนวิถีค่าย หากยกระดับขึ้นอีกขั้นเป็นลายฮู้วิถีเซียน แดนวิถีค่ายของเขาก็จะสามารถบรรลุถึงระดับของเซียน

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าผู้ยึดกุมหอคอยฮวงในนามหลัวซิว จักขึ้นเป็นประมุขแห่งโลกร้าง สถาปนาวังซิวหลัวเป็นนายจ้าวซิวหลัว!”

ภายใต้การปลุกเสกของค่ายกล เสียงของหลัวซิวดังก้องอยู่ในฟ้าดินของโลกร้างภายในพริบตาตา อสูรจิตทั้งปวงที่อยู่ในโลกร้างล้วนได้ยินกันอย่างชัดเจน

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็โบกมือเรียกหอคอยฮวงออกมา หอคอยฮวงขยายใหญ่ขึ้นตามแรงลม เพียงพริบตาเดียวก็สูงไม่รู้ตั้งกี่หมื่นเมตร ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน ราวกับเขาศักดิ์สิทธิ์สีทองหนึ่งลูก สยบแผ่นดินใหญ่ที่ไร้ขอบเขต ค้ำจุนสวรรค์ทั้งเก้าชั้น!

พลานุภาพแห่งหอคอยฮวงตลบฟุ้งอยู่ในฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาล!

ตัวอยู่ในโลกร้าง ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนต่างเดินออกมาจากสถานปิดขังของตนเอง ทุกคนนึกไม่ถึงเลยว่าโลกร้างจะเปลี่ยนประมุขอีกครั้ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนขับไล่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงออกไปแล้ว!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ