มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3028

เมื่อหลัวซิวกลับมาถึงโลกร้าง ต้วนคงก็มาถึงวังซิวหลัว

“เจ้าศักดิ์สิทธิ์ ฝั่งแดนบรรพกาลเกิดปัญหานิดหน่อยขอรับ”ต้วนคงพูด

“เกิดเรื่องอะไรหรือ?”หลัวซิวถาม

“ครั้งก่อนตั้งแต่ปริภูมิของสถานปรักเซียนพังทลายเป็นต้นมา พลังทำลายล้างห้วงเวลาก็ได้ผนึกทางเข้าของแดนบรรพกาลเอาไว้ แต่ทว่าจาการที่กาลเวลาล่วงเลยไป พลังทำลายล้างห้วงเวลาที่ผนึกอยู่บริเวณทางเข้าของแดนบรรพกาลอ่อนแอลงไม่น้อย ต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อ ขอแค่ระมัดระวังเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเข้าไปในแดนบรรพกาลได้แล้วขอรับ”

“ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าไปในแดนบรรพกาลเช่นกัน ต่อมาก็มีคนค้นพบสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกค่ายกลผนึกตรงส่วนลึกของแดนบรรพกาล อีกทั้งแค่สามารถเข้าไปในค่ายกลนั้น แต่กลับไม่สามารถออกมาได้ ตั้งแต่ค้นพบเป็นต้นมาก็มีคนเข้าไปไม่น้อยแล้วขอรับ ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่เคยกลับออกมาอีกเลย”ต้วนคงอธิบาย

ปัจจุบันหลัวซิวทราบแล้วว่าแดนบรรพกาลคือสนามรบในยุคสมัยประเทศเซียน อดีตเคยมีเซียนผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยดับสลายสูญสิ้นอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ในขณะที่มีโอกาสที่นับไม่ถ้วนคงอยู่ภายใน ก็มีภยันตรายแฝงซ่อนอยู่ทุกแห่งหนเช่นกัน

เมื่อพูดตามหลักแล้ว การที่มีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในแดนบรรพกาลถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับครั้นหลัวซิวได้เข้าไปในสถานสาสน์เต๋าตรงบริเวณรอบนอกแดนบรรพกาล หากไม่สามารถได้รับการยอมรับจากนักเซียนหลอมจิต เช่นนั้นก็ต้องติดอยู่ภายในตลอดกาล ซึ่งถือเป็นสถานที่ที่มีเพียงทางเข้าแต่ไม่มีทางออก

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากหลัวซิวได้ยินเรื่องราวดังกล่าว จู่ ๆ เขาก็นึกถึงพวกเฟยเสว่

อ้างอิงจากคำพูดของจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์ พวกเฟยเสว่ยังคงอยู่ในโลกร้าง ทว่าปัจจุบันเขาได้กลายเป็นประมุขแห่งโลกร้างแล้ว แต่กลับไม่ทราบข่าวคราวของพวกเฟยเสว่ตลอดมา เช่นนั้นพวกนางก็มีโอกาสเข้าไปในแดนบรรพกาล แล้วติดอยู่ในสถานที่พิเศษแห่งนั้นอยู่สินะ?

“มีประมุขเต๋าหลายคนก็ติดอยู่ภายในเช่นกันขอรับ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเลี่ยเทียนด้วย”ต้วนคงพูดเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง

“เลี่ยเทียน?”หลัวซิวขมวดคิ้วลง ในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ เป็นช่วงเวลาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ต้องการประมุขเต๋ามาควบคุมบัญชาการพอดี ฉะนั้นต้วนคงจึงไม่ได้ออกไปที่ใด ทว่าเลี่ยเทียนกลับแจ้นไปแดนบรรพกาลโดยไม่ถามตน นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่ค่อยพอใจ

สุดท้ายแล้วเลี่ยเทียนนั่นก็ไม่ใช่คนของตัวเองอยู่ดี ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตาม เลี่ยเทียนจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า แต่ไม่ใช่สถานการณ์ใหญ่ของทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ซิวหลัว

“ข้าจักเดินทางไปด้วยตนเองหนหนึ่ง เจ้าคอยควบคุมบัญชาการอยู่ในโลกร้างต่อ”หลัวซิวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูด

“รับทราบ”ต้วนคงพยักหน้าตอบตกลง

แม้นจักไม่มีเลี่ยเทียน หลัวซิวก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาอะไรในโลกร้าง หลังจากต้วนคงออกจากการปิดขัง ผลการฝึกตนก็บรรลุถึงประมุขเต๋าช่วงกลางเช่นกัน ต่อให้มีศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบุกโจมตีเข้ามา ก็ยังมียู่เอ๋อร์ที่มีศักยภาพเทียบเท่าผู้แข็งแกร่งมกุฎเต๋าอยู่

หลังจากมาถึงแดนบรรพกาล หลัวซิวก็มุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ที่ต้วนคงกล่าวถึง จากนั้นเขาก็มองเห็นตำหนักดำหนึ่งหลัง บริเวณรอบตำหนักมีร่องรอยของดินหินที่นูนขึ้น ดูเหมือนตำหนักดำหลังนี้เพิ่งจะโผล่ขึ้นมาจากผิวดินได้ไม่นาน

บริเวณรอบตำหนักดำ มีม่านแสงทรงกลมสีเทาผนึกอยู่ หลังจากหลัวซิวเดินเข้าไปแล้ว ก็ทะลุผ่านม่านแสงดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย สัมผัสแรงกีดขวางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

หลัวซิวลองหันหลังแล้วเดินออกไปดู จากนั้นก็มีแรงต้านทานที่แข็งแกร่งสะท้อนออกมาจากม่านแสงทันที ทุกอย่างเป็นเหมือนที่ต้วนคงกล่าวมาทุกประการเลย ดูเหมือนที่นี่จะมีเพียงทางเข้าแต่ไม่มีทางออก

ตู้มม!

หลัวซิวง้างมือปลดปล่อยหอกเวิ่นเทียนฟ้าแหลกออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลังอมตะวิชาหนึ่งที่สามารถสังหารประมุขเต๋าได้อย่างง่ายดาย กลับแค่สามารถทำให้ม่านแสงสีเทานี่สั่นคลอนเล็กน้อย ไม่มีท่าทีที่จะถูกทลายเลยแม้แต่น้อย

“ดูท่าสถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดาเลยนี่”

หลัวซิวมองตำหนักดำที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลรอบหนึ่ง สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่ในค่ายกลที่มีเพียงทางเข้าแต่ไม่มีทางออกนี้แน่นอน การที่มีตำหนักเช่นนี้ปรากฏในแดนบรรพกาล มันต้องสามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมากได้แน่นอน และทันทีที่มีคนเข้ามาแล้ว ก็จะไม่สามารถออกไปได้อีก เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่คือกับดักหนึ่งมิใช่หรือ?

หลัวซิวแค่ทดลองดูครั้งเดียวก็ไม่ได้โจมตีม่านแสงสีเทาต่อแล้ว อีกทั้งเขาก็ให้สังเกตเห็นเช่นกันว่า ม่านแสงดังกล่าวไม่ใช่ค่ายกลแต่อย่างใด แต่เป็นเกราะป้องกันที่ประกอบมาจากพลังที่แข็งแกร่งประเภทหนึ่ง ซึ่งพลังประเภทนี้เหมือนดั่งตัวสำนึก มีออร่าของวิญญาณแฝงซ่อนอยู่ด้านบน แต่กลับมีรูปธรรมมากกว่าตัวสำนักวิญญาณที่ไร้รูปไร้เงา

ถ้าเกิดบอกว่าตัวสำนึกของหลัวซิวคือพลังวิญญาณที่ไร้รูป เช่นนั้นพลังที่แฝงซ่อนอยู่ในม่านแสงสีเทานี้ก็คือพลังวิญญาณมีรูปประเภทหนึ่ง

เมื่อมองจากระดับขั้น จากไร้รูปผันเป็นมีรูป คือการแปรเปลี่ยนเชิงคุณภาพ ฉะนั้นพลังวิญญาณที่มีรูปจึงแข็งแกร่งกว่าตัวสำนึกวิญญาณที่ไร้รูป

ตัวสำนึกวิญญาณของหลัวซิวเทียบเท่าประมุขเต๋าช่วงปลายแล้ว หากเขาสามารถฝึกวิญญาณมีรูปประเภทนี้ออกมาได้ เช่นนั้นตัวสำนึกของเขาต้องสามารถเทียบทัดมกุฎเต๋าได้อย่างแน่นอน มากไปกว่านั้นคือมันจะแข็งแกร่งกว่ามกุฎเต๋าส่วนมากด้วย

และในต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่างของเขาก็มีเคล็ดวิชาด้านนี้เช่นกัน แต่การที่จะทำให้พลังวิญญาณเปลี่ยนจากตัวสำนึกที่ไร้รูปกลายเป็นพลังวิญญาณที่มีรูป จำเป็นต้องผนึกรวมภูตเซียนออกมาให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถฝึกได้

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็ดูเข้มงวดขึ้นมาทันที เขาเชื่อว่าข้อมูลในต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่างไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน ซึ่งอย่างนี้ก็หมายความว่าตำหนักดำหลังนี้ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเซียนที่เก่าแก่แน่นอน

เป็นพลังวิญญาณมีรูปที่จะฝึกได้ก็ต่อเมื่อผนึกรวมภูตเซียนออกมาได้แล้ว การที่มีพลังประเภทนี้ปรากฏที่นี่ ทั้งยังวางกับดักที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไว้ที่นี่อีก ถ้าเกิดบอกว่าไม่มีเงื่อนงำอะไร หลัวซิวไม่มีทางเชื่อแน่นอน

แต่ทว่าในเมื่อมาแล้ว หลัวซิวย่อมต้องสำรวจตำหนักดำหลังนี้ให้รู้แล้วรู้รอดอยู่แล้ว

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หลัวซิวก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ของตำหนักดำ ทันทีที่เขาเดินมาถึงที่นี่ ประตูใหญ่ของตำหนักก็เปิดเองโดยธรรมชาติ ก่อนจะมีลมเย็น ๆ พัดออกมาจากด้านใน ทำให้เขาขนหัวลุก สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกเสี้ยวหนึ่ง

นี่ไม่ได้หมายความว่าหลัวซิวรู้สึกกลัว แต่มันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของร่างกาย อย่างไรก็ตามสำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่อยู่ในแดนอย่างเขา ต่างก็ควบคุมร่างกายตนได้เด็ดเดี่ยวตั้งนานแล้ว แม้นจักเป็นเช่นนี้แต่มันก็ยังสามารถทำให้ร่างกายเขาเกิดปฏิกิริยาแบบนี้ จึงแสดงให้เห็นเลยว่าลมเย็นที่พัดออกมาจากตำหนักหลังนี้ไม่ธรรมดา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ