มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3031

สำหรับประมุขเต๋าและมกุฎเต๋าส่วนมากแล้ว พอจะพูดได้เลยว่าจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์มีชื่อเสียงที่โด่งดังมาก เทียนหวางโหลวที่เขาริเริ่มยิ่งเป็นกองกำลังที่ผู้คนทั้งจักรวาลสามโลกาต่างรู้จักกันดี

อย่างไรก็ตามสำหรับเหล่ามกุฎเต๋าผู้สูงส่งแล้ว จ้าวอาณัติแห่งสวรรค์กลับไม่ถูกพวกเขานำไปไว้ในสายตา ความสามารถในการสอดแนมชะตาชีวิตมหัศจรรย์มากก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นเพียงประมุขเต๋าช่วงปลายคนหนึ่งเท่านั้น

ผู้คนที่ทำให้เหล่ามกุฎเต๋าใส่ใจจริง ๆ ก็ยังเป็นตัวหลัวซิวอยู่ดี!

มกุฎเต๋าหวูซินและมกุฎมังกรอิมเอี๊ยงไท่ชูย่อมต้องจ้องมองมาด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวมกุฎเต๋าสี่คนที่เหลือ พวกเขาคงร่วมมือกันลงมือสังหารเข้ามาตั้งนานแล้ว

หลัวซิวมองข้ามแววตาที่จับจ้องมาจากรอบ ๆ ส่วนจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์กลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากล้น

ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ระดับขั้นก็แตกต่างกันมากจนเห็นได้ชัด บนจุดที่สูงที่สุดมีเพียงเหล่ามกุฎเต๋าไม่กี่คน ประมุขเต๋าจำนวนมากที่เหลือล้วนทำได้เพียงยืนอยู่ในจุดที่ต่ำกว่ามกุฎเต๋าหนึ่งระดับ ส่วนจุดที่ต่ำกว่าประมุขเต๋าคือผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งที่มากกว่า

เมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ เขาก็ไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่ามกุฎเต๋าโดยตรง ถึงจะมีคนจำนวนมากไม่พอใจต่อการกระทำนี้ แต่ก็ไม่มีคนใดกล้าพูดอะไรเช่นกัน

“ก็แค่พึ่งพิงดาบฉกรรจ์สุดหล้าเล่มหนึ่งถึงสามารถต่อกรกับมกุฎเต๋าได้ มันคิดว่าตัวเองเป็นมกุฎเต๋าจริง ๆ หรือ?”

“ถึงจะพึ่งพิงของนอกกาย แต่ศักยภาพของนายจ้าวซิวหลัวก็อยู่ระดับมกุฎเต๋าอย่างแท้จริงแล้ว”

“วังเซียนบรรพกาลอยู่ภายในหมอกเซียนที่อยู่ด้านหน้า ภายในหมอกเซียนนั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยตัวต้องห้าม มีเพียงข้ามผ่านจุดที่หมอกเซียนค่อนข้างเบาบางทถึงจะสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย”

ก่อนหน้านี้มีคนมาตำรวจเส้นทางล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ดังนั้นข้อมูลที่เหล่ามกุฎเต๋ายึดกุมจึงค่อนข้างละเอียด

ผู้พูดคือมกุฎเต๋าหวูซิน เห็นเพียงหลังจากสิ้นเสียงเขา เรือเซียนสีดำก็ออกเดินทางแล้ว ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปในหมอกเซียนที่อยู่ด้านหน้า

อสูรยักษ์ของโลกาเทพมังกรไท่ชูก็ตามหลังเข้าไปเช่นกัน จึงแสดงให้เห็นเลยว่าการผจญภัยในวังเซียนบรรพกาลในครั้งนี้ มกุฎมังกรไท่ชูทั้งสองเลือกที่จะร่วมมือกับมกุฎเต๋าหวูซินแล้ว

ในขณะเดียวกัน คนอื่นที่เหลือก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ต่างพากันปลดปล่อยอุบาย เดินทางเข้าไปในหมอกเซียน

หลัวซิวย่อมต้องเข้าไปในหมอกเซียนอยู่แล้ว หมอกเซียนเหล่านี้ประกอบมาจากแสงเซียน สิ่งที่แฝงซ่อนอยู่ภายในไม่ใช่ปราณทิพย์เซียน แต่กลับมีออร่าของเซียนซ่อนอยู่ ลึกซึ้งและล้ำลึกมาก

หลังจากเข้าไปในหมอกเซียน เขาก็มองเห็นวังเซียนบรรพกาลนั่น ท่ามกลางหมอกเซียนที่กำลังตลบอบอวลไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน มีพระราชวังที่สูงตระหง่านหลังหนึ่งลอยอยู่กลางนภา บริเวณรอบ ๆ พระราชวังมีชี่อลวนไหลเวียนซัดสาด

หลัวซิวเห็นว่าภายในชี่อลวนที่กำลังไหลเวียนมีอักขระฮู้ตรีภพกระพริบวิบวับ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าธรรมเวชตรีภพที่แฝงซ่อนอยู่ในชี่อลวนต้องบรรลุถึงระดับของเซียนแน่นอน

หลังจากประชิดใกล้เข้าไปอีกเล็กน้อย หลัวซิวไม่เห็นป้ายชื่อใด ๆ จึงเห็นได้ชัดเจนเลยว่าชื่อของวังเซียนบรรพกาลหลังนี้ถูกตั้งโดยผู้อื่น ใช่ว่าจะเป็นชื่อที่แท้จริงของวังเซียนหลังนี้เสมอไป

นอกเหนือจากนี้แล้ว วังเซียนดังกล่าวไม่ได้มีทางเข้าเพียงทางเดียว ทั้งสี่ด้านของวังเซียนมีทางเข้าทั้งหมดแปดจุด ทุกด้านของพระราชวังมีทางเข้าสองจุด

หลังจากผู้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเหล่ามกุฎเต๋าลองเดินเข้าไป สถานที่ที่เชื่อมต่อกับทั้งแปดทางเข้านี้ล้วนเป็นสถานที่ที่แตกต่างกัน

มกุฎเต๋าทั้งเจ็ดต่างแยกย้ายกันเลือกคนละทาง หลัวซิวและจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์จึงทำได้เพียงเลือกทางเข้าที่แปด

สถานที่ดังกล่าวคือแผ่นดินใหญ่สีแดงฉานแห่งหนึ่ง มีระลอกคลื่นสั่นกระเพื่อมอยู่กลางอากาศ ในฟ้าดินตลบอบอวลไปด้วยออร่าที่ร้อนแผดเผา บนแผ่นดินใหญ่มีรอยร้าวเล็กน้อย มีเปลวไฟและลาวาสาดกระเด็นออกมาจากพื้นดินอยู่เป็นระยะ

สำหรับเรื่องที่มีโลกอีกใบซ่อนอยู่ในวังเซียนบรรพกาลนั้น หลัวซิวก็คุ้นเคยต่อเรื่องประเภทนี้ตั้งนานแล้ว

“โฮกก!”

จู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามดังขึ้น แผ่นดินใหญ่ที่อยู่ใต้เท้าหลัวซิวและจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์ก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับมีพลังออร่าที่โหดร้ายแข็งแกร่งได้ฟื้นตื่นขึ้นมาจากใต้ดิน

จ้าวอาณัติแห่งสวรรค์จึงบินลอยขึ้นฟ้าเป็นเวลาแรก ส่วนหลัวซิวกลับยืนนิ่งอยู่กับที่

“โครม!”

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็ยกเท้าขวาขึ้นแล้วย่ำลงพื้นแรง ๆ เสียงที่ดังกึกก้องดังขึ้น แผ่นดินใหญ่แตกสลาย เพลิงอัคคีลุกโชน ลาวาสาดกระเด็นออกไปทั่วทุกสารทิศ

จากการที่มีเสียงคำรามดังลั่นขึ้น สัตว์ประหลาดร่างคล้ายช้างที่รอบกายปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีแดงฉานก็ปรากฏ และการย่ำเท้าในเมื่อครู่นี้ของหลัวซิวก็ย่ำลงกลางศีรษะสัตว์ประหลาดตัวนั้นพอดี

สัตว์ประหลาดตัวนี้คำรามเสียงดังอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร ก็ถูกหลัวซิวย่ำอยู่ใต้เท้ามาโดยตลอด

เมื่อจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์เห็นภาพเหตุการณ์นี้ มุมปากก็กระตุกไปสองที พลังออร่าของช้างยักษ์เพลิงอัคคีตัวนี้แข็งแกร่งมาก ซึ่งบรรลุถึงระดับประมุขเต๋าอย่างแน่นอน แต่อสูรโหดที่แข็งแกร่งเช่นนี้ กลับถูกหลัวซิวใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบไว้จนทำอะไรไม่ได้ แล้วร่างเนื้อของเจ้าหมอนี่จะแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน?

“เสียงดังชิบหาย!”

เสียงคำรามของช้างยักษ์ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วลง เห็นเพียงเขายกเท้าขวาขึ้นแล้วย่ำลงมาอีกครั้ง ช้างยักษ์ที่พึ่งประคองร่างกายกลับขึ้นมาได้ ก็ถูกเขาเหยียบจนล้มคลานลงไปภายในพริบตา ทั้งยังรุนแรงกว่าการย่ำในครั้งแรกด้วย

ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ช้างยักษ์ก็ถูกหลัวซิวเหยียบย่ำจนอารมณ์โกรธหายไปหมด แล้วร้องอย่างเชื่อง

“พื้นที่ภายในวังเซียนบรรพกาลนี้ไม่ธรรมดาเลยนี่ แค่อสูรโหดตัวหนึ่งก็อยู่ระดับประมุขเต๋าแล้ว”

บนแผ่นหลังช้างยักษ์เพลิงอัคคี จ้าวอาณัติแห่งสวรรค์ที่ยืนอยู่ข้างกายหลัวซิวพูดด้วยสีหน้าอารมณ์ที่เข้มงวด

“ไม่ธรรมดาสิยิ่งดี หากธรรมดาไป แล้วจักมีโอกาสในการบรรลุเป็นเซียนแฝงซ่อนอยู่ได้อย่างไรเล่า?”หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่ง

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จ้าวอาณัติแห่งสวรรค์ก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ “เจ้าก็พูดถูกเช่นกัน โอกาสที่สามารถบรรลุเป็นเซียนจะมีทางซ่อนอยู่ในสถานที่ที่เรียบง่ายและไม่ธรรมดาได้อย่างไร”

จ้าวอาณัติแห่งสวรรค์ได้มองเห็นความน่ากลัวของหลัวซิวด้วยสายตาตัวเองอีกครั้ง ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับการปราบปรามช้างยักษ์เพลิงอัคคีในเมื่อครู่นี้ หลัวซิวอาศัยร่างยุทธ์ร่างเนื้อที่แข็งแกร่ง กระทืบสัตว์ประหลาดตะเข้โลหิตตัวนี้จนความดุร้ายลดลงไปไม่น้อย

ผลการฝึกตนบรรลุจากประมุขเต๋าขั้นปฐมภูมิขึ้นมาถึงช่วงกลาง ศักยภาพของหลัวซิวไม่ได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เดิมทีระดับประมุขเต๋าช่วงปลายยังพอต่อสู้กับเขาได้ แต่ปัจจุบันเมื่ออยู่ภายใต้เงื้อมมือเขา ประมุขเต๋าช่วงปลายกลับไม่มีแรงที่จะต่อต้านได้แล้ว

สัตว์ประหลาดตะเข้โลหิตตัวนี้แข็งแกร่งมีศักดิ์ศรีกว่าช้างยักษ์เพลิงอัคคีมาก ต่อให้ถูกหลัวซิวโจมตีจนลมหายใจแผ่ว ก็ไม่มีความคิดที่จะยอมศิโรราบเลยแม้แต่น้อย

หลัวซิวใช้ตัวสำนึกจารึกลายค่าย ใช้พลังอำนาจร่ายตัวต้องห้ามที่เป็นทำนองเดียวกับตราทาสลงไปในตัวหยั่งรู้ของสัตว์ประหลาดตะเข้โลหิตตัวนี้ หลังจากร่ายตัวต้องห้ามเสร็จสรรพ สัตว์ประหลาดตะเข้โลหิตที่ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมศิโรราบในเมื่อครู่นี้ก็ก้มหน้าลงไปภายในพริบตา คลานอยู่บนพื้น

ส่วนช้างยักษ์เพลิงอัคคีตัวนั้นกลับถูกหลัวซิวทอดทิ้งโดยตรง ใช้สัตว์ประหลาดตะเข้โลหิตเป็นสัตว์ที่ใช้ขี่ หลัวซิวและจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์จึงมุ่งหน้าเดินไปยังส่วนลึกของฟ้าดินผืนนี้ต่อ

หลังจากร่ายตัวต้องห้ามเข้าไปแล้ว หลัวซิวสามารถสื่อสารกับสัตว์ประหลาดตะเข้โลหิตผ่านความคิด ในขณะเดียวกันเขาก็รู้แล้วว่าอสูรโหดตัวนี้มีนามว่าตะเข้โลหิตคลั่ง ตั้งแต่มันมีจิตสำนึกความคิดเป็นต้นมา ก็ใช้ชีวิตอยู่ในฟ้าดินผืนนี้มาโดยตลอด ซึ่งไม่ทราบเรื่องราวของโลกาภายนอกเลยแม้แต่น้อย

นอกจากนี้ ตะเข้โลหิตคลั่งยังบอกกับหลัวซิวอีกด้วยว่า ภายในนี้มีโลกาทั้งหมดแปดใบ และทั้งแปดโลกายังมีสถานที่ที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันและกันได้ด้วย ซึ่งสถานที่ดังกล่าวก็อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของโลกาใบนี้นั่นเอง

แต่ทว่าอ้างอิงจากคำพูดของตะเข้โลหิตคลั่ง การที่จะเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของโลกาใบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด ระหว่างทางต้องเดินทางผ่านอาณานิคมของอสูรโหดแข็งแกร่งจำนวนมาก ซึ่งในจำนวนทั้งหมดไม่ขาดแคลนอสูรโหดระดับมกุฎเต๋า มากไปกว่านั้นคือยังมีอสูรโหดกลายพันธุ์โบราณที่มีสายเลือดแข็งแกร่งด้วย

การฝ่าฟันตลอดการเดินทางในครั้งนี้ หลัวซิวก็ได้พบกับเหล่าอสูรโหดแข็งแกร่งที่รับมือยากจริง ๆ มากไปกว่านั้นคือเขาจำเป็นต้องใช้ดาบโลหิตหักเซียน ถึงจะสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ

กระทั่งหลังจากผ่านไปสามวัน ในที่สุดหลัวซิวและจ้าวอาณัติแห่งสวรรค์ก็มาถึงจุดที่ลึกที่สุดของโลกาใบนี้!

“ช่างเป็นปราณทิพย์เซียนที่เข้มข้นยิ่งนัก!”ทันทีที่มาถึงที่นี่ หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงปราณทิพย์เซียนที่เข้มข้น ซึ่งปราณทิพย์ประเภทนี้อยู่เหนือแรงเต๋าดั้งเดิม เหมือนปราณทิพย์เซียนที่ซ่อนอยู่ในหินแก้วสองก้อนที่เขาได้รับเมื่อครานั้นทุกประการ แต่ทว่าปราณทิพย์เซียนที่ซ่อนอยู่ในหินแก้วเข้มข้นบริสุทธิ์มากกว่าปราณทิพย์เซียนของที่นี่

“โฮกก!”

ตะเข้โลหิตคลั่งก็คำรามอย่างตื่นเต้นดีใจเช่นกัน เมื่อก่อนมันเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง จึงใช้ความคิดบอกกับหลัวซิวว่าที่แห่งนี้มีเส้นปราณเซียนสายหนึ่ง ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีเพียงอสูรโหดที่แข็งแกร่งที่สุดในแปดโลกาเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์เลือกสถานพักพิงอยู่ที่นี่หนึ่งจุด

เส้นปราณเซียนที่กล่าวถึงนั้น ก็คือเส้นปราณเซียนอมฤตที่เกิดจากการผนึกรวมกันของปราณทิพย์เซียน ซึ่งในเส้นปราณเซียนอมฤตจะมีการตกผลึกจนเกิดเป็นกรองแก้วเซียน หากได้ใช้กรองแก้วเซียน ตะเข้โลหิตคลั่งก็สามารถบรรลุถึงระดับมกุฎเต๋าได้อย่างง่ายดายเลย

“กรองแก้วเซียน?”

หลัวซิวนึกถึงหินแก้วสองก้อนที่ผู้บำเพ็ญวิญญาณของหอคอยเล็กสีดำขลับนั่นให้เขา ขณะที่เขาบรรลุสู่ประมุขเต๋าช่วงกลาง เขาไม่ได้ใช้มันแต่อย่างใด แค่อาศัยจิตเซียนที่เหลืออยู่ในเบาะนั่งทรงกลม ควบคู่กับไข่มุขเต๋าที่ได้รับมาจากอานจิ่งเซวียนจึงบรรลุสำเร็จ

ฟังจากคำอธิบายของตะเข้โลหิตคลั่ง หินแก้วสองก้อนนี้ของเขามีโอกาสใช่กรองแก้วเซียนจริง ๆ

กรองแก้วเซียนกำเนิดยากมาก เส้นปราณเซียนอมฤตธรรมดาทั่วไปต้องใช้กาลเวลาที่ยาวนานอย่างไม่รู้จบ ถึงจะสามารถผนึกรวมกรองแก้วเซียนชั้นล่างออกมาได้หนึ่งก้อน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ