เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ประมุขเต๋าช่วงปลายไม่ใช่คู่ต่อสู้เลยสักนิด ได้รับบาดเจ็บหนักไปในทันที สูญเสียซึ่งความสามารถในการต่อสู้ไป
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ จีไป๋ก็มีท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาทันที หัวใจตกไปถึงตาตุ่ม ตระกูลจีเฝ้าปกป้องสะพานทะยานเซียนมาหลายชั่วอายุคน มิใช่การสืบทอดธรรมดาทั่วไป ภายใต้ผลการฝึกตนในแดนเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งของตระกูลจีสามารถเอาชนะนักยุทธ์คนอื่น ๆ ในห้วงดาราได้อย่างแน่นอน
ด้วยผลการฝึกตนในแดนประมุขเต๋าช่วงปลาย ต่อให้เผชิญหน้ากับมกุฎเต๋า แม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ก็ไม่มีทางถูกทำให้ได้รับบาดเจ็บง่าย ๆ แบบนี้แน่
ในตอนที่จีไป๋มีสีหน้าเปลี่ยนไปนั่นเอง หลัวซิวได้ต่อยหอคอยเทพลอยออกไปด้วยหนึ่งหมัด และได้แวบมาปรากฏตรงหน้าของเขาภายในพริบตา
แสงเซียนกระจายไปทั่วร่าง ในตอนที่ขับเคลื่อนผลการฝึกตนอย่างเต็มกำลัง แสงเซียนที่อยู่บนร่างของหลัวซิวจะเพียบพร้อมไปด้วยประสิทธิภาพของพลังอมตะสรรพวิถีล้วนว้าง ตราบใดที่พลังอมตะใด ๆ ก็ตามที่โจมตีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังแห่งเกณฑ์ธรรมเวช จักต้องทะลุผ่านแสงเซียนไร้ลักษณ์ถึงจะทำอันตรายร่างกายของเขาได้
“ตึง!”
หลัวซิวต่อยออกไปหนึ่งหมัด พลังอันแข็งแกร่งได้ทะลวงผ่านไปในอนัตตาหมื่นลี้ภายในพริบตา อานุภาพแห่งมัดเฉกเช่นทลายฟ้าดิน ซึ่งมิอาจต้านทาน
จีไป๋มีสีหน้าเคร่งขรึม ร่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว ดาบยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาในมือ หนึ่งดาบฟันออกไป ฉีกฟ้าผ่าแผ่นดิน ดวงแสงดาบกระทบเข้ากับหมัดของหลัวซิว
เสียงสนั่นหวั่นไหวดังสะท้อนไปในอนัตตา แรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวม้วนกลืนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ กลายเป็นวงกลม เหมือนดั่งดวงอาทิตย์แขวนอยู่บนท้องฟ้า
แรงดิบอันแข็งแกร่ง ทำให้ร่างของจีไป๋ที่อยู่ตรงข้ามก้าวถอยหลังไป ร่างของหลัวซิวยังคงอยู่นิ่งไม่ขยับ ทว่ากลับมีรอยเลือดปรากฏขึ้นมาบนกำปั้น เลือดสด ๆ ไหลออกมา
ไร้ลักษณ์ผันแปรพลังแห่งชีวิต รอยแผลบนกำปั้นจึงสมานอย่างรวดเร็ว หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา
ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาเพิ่งขัดเกลาถึงขั้นภัณฑ์เต๋าชั้นกลาง ส่วนดาบยาวที่อยู่ในมือของจีไป๋กลับเป็นภัณฑ์เต๋าชั้นยอด เขาได้รับบาดเจ็บก็เป็นเรื่องธรรมดา
ทว่าที่ตกตะลึงยิ่งกว่ายังคงเป็นจีไป๋ ดูเหมือนว่าดาบนั้นของเขาได้ทำให้หลัวซิวบาดเจ็บ แต่กลับทราบดีว่าบาดแผลเล็ก ๆ เช่นนี้อย่าว่าแต่มกุฎเต๋าเลย ต่อให้เป็นเทพมารคนหนึ่งก็ไม่นับอะไร ทว่าเขากลับถูกกระแทกจนถอยหลัง มือที่ถือดาบก็ถูกกระแทกจนมือชา ผู้ใดเป็นต่อผู้ใดเป็นรอง ตัวเขาเองนั้นทราบเป็นอย่างดี
ที่สำคัญก็คือ หลัวซิวยังมิได้ใช้ดาบโลหิตหักเซียนออกมา ฝีมือของเขาก็ร้ายกาจเช่นนี้แล้ว หากเขาใช้ดาบโลหิตหักเซียนละก็ ตนจะสามารถต้านทานได้หรือ?
คิดมาถึงตรงนี้ ใจของจีไป๋ก็เริ่มถดถอยขึ้นมา ส่วนเหล็กเซียนชั้นกล้าได้ถูกหลัวซิวเอาไปหรือไม่นั้น เขาไม่มีเวลาไปใส่ใจแล้ว เกรงว่าคงมีเพียงให้หัวหน้าเผ่าลงมือด้วยตนเองถึงจะควบคุมตัวหลัวซิวได้
ในตอนนี้เอง หลัวซิวได้อาศัยการปลุกเสกเบิกเนตรของกฎปริภูมิกับความเร็วสองขั้นโจมตีเข้ามาอีกครั้ง สองมือของเขาวาดตราพร้อมกัน ตราเบญจธาตุสูญพันธุ์สองสายถูกซัดออกไป
จีไป๋เรียกหอคอยเทพกลับคืนมาโดยเร็ว เห็นเพียงว่าตราเบญจธาตุสูญพันธุ์ทั้งสองสายกระแทกลงไปบนหอคอยเทพ ทั่วท้องนภาได้ถูกกระแสคลื่นสะเทือนจนแตกกระจาย
เงาร่างสายหนึ่งลอยถอยออกไป พลังอันแข็งแกร่งผ่านหอคอยเทพเข้ามากระทบสู่ร่าง ทำให้จีไป๋แทบกระอักเลือดออกมา
เลือดระเบิดเป็นหมอกโลหิต มือของหลัวซิวเองก็ถูกพลังสะท้อนกลับสะเทือนจนเลือดไหลหยดย้อย หอคอยเทพของจีไป๋เองก็เป็นภัณฑ์เต๋าชั้นยอด
ต่อให้เป็นบรรดามกุฎเต๋า ก็มีเพียงระดับชั้นยอดแค่ไม่กี่คนที่มีภัณฑ์เต๋าชั้นยอดสองชิ้นอยู่ในมือ เห็นได้ว่ารากฐานของตระกูลจีนั้นร้ายกาจเพียงใด
“ดูท่าคงต้องใช้ดาบหักเซียนแล้ว จะลองอานุภาพของเหล็กเซียนชั้นกล้าหน่อยไหม?”
ในตอนที่หลัวซิวกำลังจะใช้กระบวนท่าสังหารออกมานั่นเอง จีไป๋ที่อยู่ตรงข้ามก็ได้พ่นแก่นเลือดออกมา เห็นเพียงโลหิตสายแล้วสายเล่าได้เบ่งบาน ร่างของจีไป๋หายไปทันที ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เลย
ในขณะเดียวกัน ประมุขเต๋าช่วงปลายอีกสองคนเองก็ได้พาพรรคพวกที่บาดเจ็บหนักบีบยันต์ทะลุฟ้าแผ่นหนึ่ง ทะลวงอนัตตา แล้วเหาะหนีไปในทันที
ประมุขเต๋าช่วงปลายกับมกุฎเต๋าต้องเป็นบุคคลระดับสูงของตระกูลจีอย่างแน่นอน ต่างมีหนทางรักษาชีวิตอยู่ในมือ แม้ว่าหลัวซิวจะมีฝีมือเหนือพวกเขา แต่ก็ยากรั้งพวกเขาเอาไว้ได้
เงาร่างขยับ หลัวซิวเองก็ไปจากที่นี่ เขาเพิ่งกลั่นแปรเหล็กเซียนชั้นกล้าไปเมื่อสักครู่ ยังต้องใช้เวลาเพื่อทำความคุ้นชินกับภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ แบบนี้ถึงจะสามารถแสดงอานุภาพของภัณฑ์เซียนชิ้นนี้ออกมาได้
เพราะตั้งแต่สมัยต้าเหยียนเป็นต้นมา จีชูหยางได้ก้าวครึ่งก้าวนั้นออกมาแล้ว กลายเป็นมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนกึ่งมนุษย์อมตะ
ตระกูลจีเฝ้าปกป้องสะพานทะยานเซียนมาหลายชั่วอายุคน น้อยมากที่คนตระกูลจีจะออกไปจากเผ่า ดังนั้นจึงมีคนน้อยมากที่จะรู้ถึงการดำรงอยู่ของตระกูลจี
“เจ้าปากว่าเหล็กเซียนชั้นกล้าหายไปงั้นหรือ?” จีชูหยางได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ก่อนยุคแห่งความโกลาหลหนึ่งยุค เพื่อตามหาชะตาโอกาสในการทะลวงอีกครึ่งก้าวที่เหลืออยู่ เขาอาศัยผลการฝึกตนอันแข็งแกร่งในแดนกึ่งมนุษย์อมตะ บุกเข้าไปในส่วนลึกสุดของแดนบรรพกาล
ตระกูลจีมีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ ดังนั้นจีชูหยาง จึงรู้ว่าแดนบรรพกาลเป็นนั้นเป็นสถานที่ฝังเซียน ในสมัยประเทศเซียนอันห่างไกล มีชาวเซียนที่ชีวิตจวนจะแตกดับมากมายได้มาที่นี่เพื่อทิ้งการสืบทอดเอาไว้ หรือไม่ก็สร้างสุสาน
ครั้งหนึ่ง ที่นี่เคยถูกเรียกว่าเป็นสุสานเซียน จนกระทั่งในเวลาต่อมาถึงได้ถูกผู้คนขนานนามว่าเป็นแดนบรรพกาล
เดิมคิดว่าจะสามารถตามหาชะตาโอกาสเพื่อทะลวงกลายเซียนได้ในสุสานเซียน ทว่าจีชูหยางกลับได้บุกเข้ามาในวังเซียนแห่งนี้โดยไม่ทันระวัง จากนั้นก็พบเข้ากับราชาเซียนเฉว่โยวที่ถูกผนึกอยู่ที่นี่เข้าโดยบังเอิญ
เป็นกึ่งมนุษย์อมตะเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นราชาเซียนเฉว่โยวยังไม่ทันกลั่นแปรร่างของราชาเซียนหยุนหลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ จีชูหยางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชาเซียนเฉว่โยวเลยสักนิด
ตกเป็นผู้พ่ายแพ้ เดิมทีจีชูหยางคิดว่าตนเองต้องตายเสียแล้ว ทว่าราชาเซียนเฉว่โยวกลับไม่ได้เอาชีวิตเขา แต่ได้สลักตราวิญญาณลงในตัวหยั่งรู้ของเขาแทน ให้เขาต้องกลายเป็นทาสรับใช้!
มีตราวิญญาณอยู่ เขามิอาจต่อต้านราชาเซียนเฉว่โยว ทว่าภายในใจของจีชูหยาง กลับไม่เคยยอมสยบมาก่อนเลย ไม่มียามใดที่ไม่คิดหาวิธีสลัดหลุด
ต่อมาเขารู้ว่าราชาเซียนเฉว่โยวถูกผนึกเอาไว้ในที่แห่งนี้ ส่วนเหล็กเซียนชั้นกล้าก็คือตาค่ายปิดผนึก ตราบใดที่ไม่มีผู้ใดไปสั่นคลอนเหล็กเซียนชั้นกล้า เช่นนั้นราชาเซียนเฉว่โยวก็ไม่มีทางที่จะออกไปจากที่นี่ได้
ขอเพียงราชาเซียนเฉว่โยวไปจากที่นี่ไม่ได้ เช่นนั้นจีชูหยางก็ยังมีโอกาส ทว่าตอนนี่เหล็กเซียนชั้นกล้าได้สูญหาย ไม่เท่ากับหมายความว่าราชาเซียนเฉว่โยวได้หลุดพ้นจากการถูกผนึก สามารถออกไปยังห้วงดาราภายนอกได้แล้วหรอกหรือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...