มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3056

ตัวต้องห้ามของฉินจ้านท่ามกลางวิญญาณดั้งเดิมเป็นฝีมือของราชาเซียนเฉว่โยว ในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียน วรยุทธ์กลั่นวิญญาณที่เฉว่โยวฝึกตนนั้น ย่อมอยู่ในระดับที่สูงมากเป็นธรรมดา

ทั่วทุกสารทิศของดาราจักรวาล ตัวต้องห้ามประเภทนี้ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ได้ นอกเสียจากจะเป็นผู้ที่วรยุทธ์ฝึกตนกลั่นวิญญาณที่มีระดับสูงกว่าระดับราชาเซียน

แต่ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในด้านของหลัวซิวนี้มันกลับกลายเป็นความเป็นไปได้ สิ่งที่เรียกว่าวรยุทธ์กลั่นวิญญาณระดับราชาเซียนเมื่ออยู่ต่อหน้าต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง มันไม่คู่ควรที่จะพูดถึงด้วยซ้ำไป

ตัวต้องห้ามที่มีลักษณะเป็นอักษรฮู้สีเลือด ถูกหลัวซิวใช้ระยะเวลาสามเดือนกว่า จึงจะสามารถสกัดออกมาจากตัวหยั่งรู้ของฉินจ้านได้

หลังจากความรู้สึกที่ถูกคนอื่นควบคุมความเป็นความตายไว้ในมือเช่นนี้ได้จางหายไป แม้แต่ตัวของฉินจ้านเอง ยังไม่กล้าที่จะเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้คือความจริง

“สหายหลัว บุญคุณอันใหญ่หลวง ครานี้ข้าฉินจ้านจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!”

ฉินจ้านรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้ของตนจะมีความรู้สึกสงบ ชัดเจน เป็นอิสระ เช่นนี้ได้

เขาเรียกคืนจิตดั้งเดิมกลับมา หลุดพ้นออกจากพันธนาการของหวูจี๋ เป็นดังที่หลัวซิวได้พูดไว้ ฉินจ้านในอดีตได้ตายไปแล้ว เขาจะกลายเป็นฉินจ้านที่เกิดใหม่ เดินต่อไปบนเส้นทางแห่งโลกยุทธ์ในภายภาคหน้า ด้วยทัศนคติใหม่ทั้งหมด

บุญคุณแห่งมอบชีวิตใหม่นี้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ลูกศิษย์ในอดีตเสียอีก ฉินจ้านไม่รู้จริง ๆ ว่าจะต้องตอบแทนอย่างไร

“เฮียฉินพูดเกินไปแล้ว ในตอนนั้นที่ข้ายังอ่อนแอมาก ๆ พวกท่านต่างก็เป็นผู้ช่วยชีวิตของข้า” หลัวซิวจับไหล่ของฉินจ้านกดเอาไว้ ห้ามไม่ให้เขาลุกขึ้นมาทำความเคารพตน

“จะได้อย่างไรกันเล่า?” ฉินจ้านส่ายศีรษะไปมา เขารู้สึกว่าบุญคุณในครั้งนี้ ไม่อาจตอบแทนได้หมด

“ถึงขนาดที่ข้าเรียกท่านว่าเฮียแล้ว เหตุใดท่านจึงยังเกรงใจเช่นนี้อีก?” หลัวซิวหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว “หากว่าท่านเห็นว่าหลัวซิวผู้นี้คู่ควร เช่นนั้นนับจากวันนี้พวกเราก็คือพี่น้อง ระหว่างพี่น้อง จำเป็นต้องพูดขอบคุณด้วยหรือ?”

ชาติก่อนรวมถึงชาตินี้ เพื่อนที่อยู่รอบกายของหลัวซิวนั้นมีมากมาย แต่ผู้ที่สามารถเรียกว่าพี่น้องได้นั้นกลับมีไม่กี่คน

วินาทีที่ฉินจ้านและตู๋กูเรียกคืนจิตดั้งเดิมกลับมาได้ ในใจก็เกิดวิถีของตนเองขึ้น ส่งเสียงโอคควาญจากก้นบึ้งของจิตใจที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อโชคชะตา สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวราวกับได้เห็นตนเองในอดีต

เมื่อก่อนเขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เหรอ?

และเป็นเพราะความคุ้นเคยนี้เอง การต่อสู้เพื่อที่จะควบคุมชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หลัวซิวเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจทั้งคู่

พี่น้อง?

ฉินจ้านชะงักไปเล็กน้อย ฝึกตนมานานนับแสนนับหมื่นปี เขาแทบจะไม่จำไม่ได้แล้วว่าพี่น้องคืออะไร เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเขาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าสองคำนี้มันมีความหมายว่าอย่างไร

เมื่อเขานึกขึ้นมาได้ สายตาของฉินจ้านก็พลันสั่นไหว เขานึกถึงช่วงเวลาที่เขาเดินทางในห้วงดารา เห็นการต่อสู้หนึ่งระหว่างนักยุทธ์

นั่นคือเทพมารระดับสามสองคนถูกเทพมารระดับสี่คนหนึ่งไล่ฆ่า หนึ่งในเทพมารระดับสามนั้นคอยรั้งอยู่ข้างหลัง และปล่อยให้เพื่อนของเขาหนีไป โดยตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องตายอยู่แล้ว

แต่สหายของเขาก็ไม่ได้จากไป แต่พูดว่า “พวกเราคือพี่น้อง! พวกเราเคยสาบานเอาไว้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกิดในวันเดือนปีเดียวกัน ขอเพียงแค่ตายในวันเดือนปีเดียวกัน!”

ด้วยคำว่าพี่น้องของคนทั้งสอง ต่างไม่มีใครยอมหนีออกไป สุดท้ายทั้งสองต่างก็ตายด้วยมือของเทพมารระดับสี่ท่านนั้น

ฉินจ้านในตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่าแต่เดิมแล้วเข้าไม่มีความคิดเกี่ยวกับพี่น้องแต่อย่างใด และไม่เข้าใจด้วยว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าพี่น้อง

ภายในโลกของนักยุทธ์นี้ ความสัมพันธ์ประเภทพี่น้องนั้นมันเปราะบางเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานต่างนามสกุลเลย แม้แต่ลูกพ่อเดียวกันแต่เพื่อผลประโยชน์ก็กลับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ทุกเวลาทุกสถานที่

แต่กับหลัวซิวนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อเขาพูดคำว่าพี่น้องออกมา ฉินจ้านรู้สึกเหมือนไฟในหัวใจของตนถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยากจะมีพี่น้องที่แท้จริงสักคนเหมือนกัน คนที่จะสามารถเชื่อใจได้ตลอดเวลา พี่น้องที่ไม่มีทางหักหลังเขาไปตลอดชีวิต!

ถึงแม้ว่าหลัวซิวจะมีบุญคุณต่อเขา แต่สีหน้าของฉินจ้านกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขาจ้องตาหลัวซิว เอ่ยถามออกมาทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้ารู้หรือว่าความหมายของพี่น้องหรือสิ่งใด?”

“เป็นตายร่วมกัน” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าในภายภาคหน้าข้าและตู๋กูจะไม่หักหลังเจ้า?” ฉินจ้านเอ่ยถาม

“ไม่ พวกท่านจะไม่ทำเช่นนั้นแน่ ก็เหมือนตอนที่พวกท่านปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าข้า ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าถึงแม้ข้าจะไม่มีพลังมากพอที่จะทำลายค่ายกลนั้นได้ ท่านกับตู๋กูก็จะสร้างโอกาสให้ข้าหนีไปได้”

“เจ้ามั่นใจเช่นนั้นเชียวหรือ?”

“แน่นอน ข้าเชื่อว่าข้ามองคนไม่ผิด” หลัวซิวยืนยันหนักแน่นด้วยรอยยิ้ม

ปึง!

วินาทีต่อมา ฉินจ้านคุกเข่าลงบนเข็มทิศสาสน์เต๋า เขาชี้ไปยังดวงดาวที่กำลังลุกโชนอยู่ไกล ๆ พูดทีละคำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้าฉินจ้านขอสาบานด้วยจิตใจดั้งเดิม ข้ายินยอมเป้นพี่น้องร่วมสาบานกับหลัวซิวและตู๋กู!”

ฟึบ!

เสื้อคลุมสีดำถูกหลัวซิวสะบัด เขาก็นั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ ฉินจ้านเช่นเดียวกัน พูดประโยตเดียวกันอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ฮ่า ๆ!

ตู๋กูแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน ยิ้มพร้อมน้ำตาแห่งความปีติ “ข้าตู๋กูขอสาบานด้วยกระบี่ในมือของข้า!”

มีคำสาบานเพียงหนึ่งเดียวโดยไม่มีคำพูดที่สวยหรู และไม่มีคาถาใด ๆ ที่บ่งบอกว่าหากฝ่าฝืนคำสาบานนี้ จะถูกฟ้าผ่า วิญญาณจะแหลกสลายอะไรประเภทนี้

ไม่มีใครคิดว่ามันไม่เหมาะสม เพราะว่าพี่น้องพี่แท้จริงนั้น สนใจแค่เพียงหัวใจเท่านั้น!

……

กาลเวลาที่ผันผ่านไปอย่างยาวนาน ไร้ซึ่งร่องรอยของเซียน นั่นก็เป็นเพราะว่าโลกาเซียน คือจุดหมายปลายทางของผู้แข็งแกร่งวิถีเซียน ตอนที่เปิดโลกาเซียนนั้น ดาราจักรวาลอย่างวันนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าสนามรบที่พังทลายไปด้วยความโกลาหลก็เท่านั้น

หากพูดตามจริง ห้วงดาราแห่งนี้ที่พวกของหลัวซิวอาศัยอยู่ ก็คือสนามรบที่เคยถูกเหล่าชาวเซียนทอดทิ้ง

โลกาที่ถูกลิขิตให้เป็นโลกาที่กว้างขวางและโหดร้ายกว่ายิ่งกว่า หลัวซิวตัดสินใจแล้วว่าจะไป เขาไม่สามารถทำให้เส้นทางแห่งโลกยุทธ์ของตน หยุดลงอยู่แค่เพียงแดนมกุฎเต๋า

เมื่อจัดการเรื่องของหวูจี๋และเฉว่โยวแล้ว หลัวซิวก็จะออกเดินทาง ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่า รุ่นสมัยตระกูลจีปกป้องสะพานทะยานเซียนอยู่ นั่นคือเส้นทางที่จะบินขึ้นไปยังโลกาเซียน

ตระกูลจีรักษากฎเกณฑ์ที่เหล่าชาวเซียนตั้งเอาไว้ มีเพียงผู้แข็งแกร่งกลายเซียนมรรคผลเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติขึ้นไปบนสะพานทะยานเซียน,แต่กาลเวลาที่ผ่านพ้นไปนับแต่ต้าเหยียนจนถึงวันนี้ กลับไม่มีสักคนที่สามารถฝึกตนถึงแดนชาวเซียนได้

ในจักรวาลฟ้าดินผืนนี้ที่เคยถูกเหล่าชาวเซียนโจมตีจนพังทลาย หากคิดจะฝึกตนถึงแดนชาวเซียน เป็นเรื่องยากเกินไป!

ก่อนที่จะจากไป หลัวซิวย่อมต้องยกระดับพลังของสามกองกำลังแดนศักดิ์สิทธิ์ซิวหลัว ให้พวกเขาได้สืบทอดต่อไปในท่ามกลางห้วงดาราแห่งนี้

ถึงแม้ว่าหลัวซิวจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ผู้คนต่างก็สามารถสัมผัสได้ว่า นายจ้าวซิวหลัวจะต้องจากไป……

ซิงเฉินถอนหายใจเบา ๆ อยู่ในใจ เขารู้ดีว่านายจ้าวซิวหลัวกับตนนั้นไม่ใช่คนในระดับเดียวกัน เขาอยากติดตามนายจ้าวซิวหลัวไป เพื่อสำรวจโลกาที่กว้างขวางและทรงพลังยิ่งกว่า แต่เขาก็ยังตระหนักได้ว่า หากตนตามไปด้วยก็จะมีแต่ภาระเท่านั้น

ลวี่โหลวมองหลัวซิว เขายึดถือเจนจำนงของอาจารย์ปู่ รอคอยต้อนรับการมาเยือนของผู้สูงส่งไท่ซ่างรุ่นต่อรุ่น สำหรับหลัวซิวที่เป็นผู้สูงส่งไท่ซ่างกลับชาติมาเกิดผู้นี้ เขามีเพียงแค่ความรู้สึกที่เคารพนับถือและให้เกียรติเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้สึกลึกซึ้งแบบชายหญิง

บางทีน้องสาวของนางหงเหยียนอาจจะมีความคิดเล็กนั้นอยู่เล็กน้อย แต่ละหว่างคนสองคน ด้วยสถานะและผลการฝึกตนที่แตกต่างกันอย่างมหาศาล ก็ทำให้หงเหยียนต้องล้มเลิกความคิดที่ไม่อาจเป็นความจริงได้นั้นไป

หากว่าท้ายที่สุดนายจ้าวซิวหลัวก็ต้องจากไป เช่นนั้นอาจารย์ปู่ว่านเริ่นจะสามารถกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งได้หรือไม่?

จีเสี่ยวจื่อรู้สึกแสบที่จมูกเล็กน้อย เมื่อนางเดาได้ว่าในที่สุดหลัวซิวก็กำลังจะจากไป ความคิดแรกของนางคือการไปกับเขา

แต่หากนางไป แล้วเผ่าจี้จพทำอย่างไร? เผ่าจี้ในวันนี้ไม่มีใครแข็งแกร่งมากพอ หากว่าตนจากไป คนรุ่นต่อไปก็ไม่มีใครที่โดดเด่นพอที่จะเป็นความหวังของทั้งเผ่าได้

ด้านหนึ่งก็คือบุคคลที่ตนเคารพรัก อีกด้านหนึ่งคือคุณธรรมต่อเผ่าจี้ ตัวเลือกที่ไม่อาจเลือกได้เช่นนี้ ทำให้จีเสี่ยวจื่อรู้สึกไม่เป็นธรรมจนอยากร้องไห้

หลัวซิวเขาเหลือบมองลวี่โหลวที่กำลังมองเขาด้วยสายตาที่มีความหวัง พยักหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า “เรื่องของว่านเริ่น ข้าไม่ลืม”

เขาเคยสัญญาเอาไว้ ในวันหนึ่ง เขาจะทำให้ว่านเริ่นฟื้นคืนอีกครั้ง

ในตอนที่ว่านเริ่นตายไป เป็นเพียงแค่แดนเทพมารระดับเก้า หลวมรวมกงล้อเทพได้สี่วง

ด้วยผลการฝึกตนมกุฎเต๋าของหลัวซิวในวันนี้ การย้อนเวลาและฟื้นคืนชีวิตนั้น สิ่งเดียวที่ค่อนข้างยาก นั่นคือว่านเริ่นตายไปในยุคของหนึ่งอันยาวนานก่อนยุคแห่งความโกลาหล หากต้องการย้อนเวลาไปยังยุคหนึ่งแห่งความโกลาหล จะต้องเผชิญหน้ากับสวรรค์ลงทัณฑ์ที่ไม่อาจจินตนาการได้!

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็ยังตั้งใจจะทำอยู่ดี ในเมื่อสัญญาเอาไว้แล้ว แน่นอนว่าต้องรักษาคำพูด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ