มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3057

สถานที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของภูเขาว่านเริ่นนั้น ก็คือสถานที่ที่ว่านเริ่นนิพพานไป

ด้วยพลังแห่งเพลาการย้อนเวลาเพื่อฟื้นคืนชีพเทพมารระดับเก้าสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากคือการย้อนเวลากลับไปก่อนหน้ายุคแห่งความโกลาหลยุคหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ หลัวซิวจึงได้รับผลเสียย้อนกลับ แต่เมื่อว่านเริ่นถูกดึงตัวออกมาจากเพลาไหลรวย สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความงุนงง

“ข้าควรจะตายไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดข้าจึงมาปรากฎตัวอยู่ที่แห่งนี้?” ว่านเริ่นมองไปทั่วทั้งสี่ทิศด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นจึงเห็นคนสามคน

หลังจากเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือออร่าของหลัวซิวต่างก็แตกต่างจากไท่ซ่างฉิงอย่างสิ้นเชิง ว่านเริ่นไม่สามารถจำเขาได้นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ

ฉินจ้านและตู๋กูย่อมสามารถมองผลการฝึกตนของว่านเริ่นออกได้ในพริบตาเดียวเป็นแค่เพียงแดนเทพมารระดับเก้าขั้นสูง ผลการฝึกตนเช่นนี้ในสายตาของประมุขเต๋าหรือมกุฎเต๋า มันช่างไม่ควรคู่ต่อการพูดถึงแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะฟื้นคืนชีพคนแบบนี้สักคน หลัวซิวใช้ผลการฝึกตนแดนมกุฎเต๋า เขาอยากจะทนทุกข์ทรมานกับผลเสียย้อนกลับของการย้อนเวลา

นั่นเป็นถึงผลเสียย้อนกลับของการย้อนเวลาไปยังยุคหนึ่งแห่งความโกลาหล หากว่าเป็นประมุขเต๋าที่พลังความแข็งแกร่งน้อยไปเพียงนิดเดียว เพียงแค่ผลเสียย้อนกลับก็สามารถทำให้แดนของเขาตกลงมาได้ หรือกระทั่งทำให้รากฐานถูกทำลายสิ้น

ทั้งหมดนี้ คุ้มค่าหรือ?

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ต้องรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเป็นแน่ แต่หลัวซิวกลับไม่คิดเช่นนั้น

แม้ว่าการฟื้นคืนชีพของว่านเริ่นจะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อเขาเลย เขาก็ยังคงทำมันโดยไม่ลังเล ไม่เพียงเพราะคำสัญญาในตอนนั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะความภักดีที่ว่านเริ่นมีต่อเขาอีกด้วย

แรงกระเพิ่มของเพลาไหลรวยย้อนกลับนั้นไม่น้อยเลย สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่จะพูดคุยกันได้ หลัวซิวจึงพาว่านเริ่นออกไปจากที่นี่ จากนั้นจึงกลับไปยังดาราจี้ของจักรวาลกันดาร

เมื่อว่านเริ่นได้รับรู้ความจริงแล้วนั้น เขาก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก ทั้งหมดไม่ใช่เพราะว่าตัวเขาเองได้โอกาสในการฟื้นคืนชีพ ที่มากกว่านั้นคือท่านนายของตนยังจำผู้ติดตามอย่างเขาคนนี้ได้จึงรู้สึกถึงความซาบซึ้ง

อย่างไรก็ตามว่านเริ่นถึงแม้จะฟื้นคืนแล้ว แต่อายุขัยของเขาก็เหลือไม่มากแล้ว ด้วยความสำเร็จด้านการกลั่นยาของหลัวซิว แค่สะบัดมือก็สามารถกลั่นยาเซียนชั้นยอดที่สามารถเพิ่มอายุขัยขึ้นมาได้ สามารถเพิ่มอายุขัยที่ยืนยาวให้ว่านเริ่นได้สิบล้านปีอย่างง่ายดาย

ด้วยพรสวรรค์ของว่านเริ่น ถ้าหากไม่มีโอกาสลิขิตพิเศษ เขาก็แทบจะไม่มีโอกาสบรรลุถึงแดนราชาเทพวัฏจักรห้า แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีหินบรรพไท่ชู มีไข่มุกเต๋า ทั้งยังมียาเซียนชั้นยอดหลากหลายชนิดที่คอยเสริม ไม่พียงแค่ราชาเทพวัฏจักรห้าเท่านั้น ในชีวิตนี้เขาก็ยังมีโอกาสที่จะกลายเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ด้วย ถึงแม้จะเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปดที่ธรรมดาที่สุด แต่อายุขัยของเขาก็ย่อมยืนยาวยิ่งกว่าการใช้ยาเซียนเพิ่มอายุขัยสิบล้านปีเป็นแน่

สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น ภูเขาว่านเริ่นและเผ่าจี้ต่างเป็นผลพ่วงจากชาติก่อน เขาฟื้นคืนชีพภูเขาว่านเริ่นแล้ว ก็นับว่าเป็นการชำระผลพ่วงนั้นระหว่างเขาและว่านเริ่นด้วย และเขายังพาเผ่าจี้ที่ตกต่ำไปสู่เส้นทางอันรุ่งโรจน์อีกครั้ง ก็เป็นการทำตามสัญญาของตนอีกด้วยเช่นกัน

ยุครุ่งโรจน์ที่สุดของเผ่าจี้ ผลการฝึกตนของเจ้าแห่งเผ่าจี้ก็ยังไม่เกินผลการฝึกตนแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า ถึงอย่างไรก็คือยุคที่ประมุขเต๋าครองความสันโดษ แม้แต่ผู้สูงส่งต่างก็ยังไม่แสดงตัว ผู้แข็งแกร่งต่างหลบหล่อนตัวอยู่หลังม่าน มองทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น

เผ่าจี้ในวันนี้ จีเสี่ยวจื่อติดตามหลัวซิวมาเนิ่นนานหลายปีก็ได้รับเงื่อนไขการฝึกตนที่ดีมาก สามารถบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้าขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย กระทั่งในภายภาคหน้ายังมีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถบรรลุแดนผู้สูงส่ง

อีกทั้งเขายังทิ้งวรยุทธ์ฝึกตนที่แข็งแกร่งไว้ให้กับเผ่าจี้อีกด้วย หากมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ค่อนข้างพิเศษ ในภายภาคหน้าหากเผ่าจี้จะมีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าก็ถือเป็นเรื่องปกติ

ชาติก่อนของหลัวซิวกับตระกูลเทพสงครามไม่ได้มีความเขี่ยวข้องกัน ในชาตินี้รับตระกูลเทพสงครามเอาไว้ใต้บัญชา คือหวังว่าจะอบรมขึ้นมาเป็นกองทัพเทพมารกองหนึ่ง

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป ค่อนข้างแตกต่างไปจากที่เขาคาดไว้ ในยุคที่ประมุขเต๋าเผยตัว ผู้สูงส่งมีให้เห็นอยู่ทั่วไป พรสวรรค์ของตระกูลเทพสงครามนั้นกลับไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าใดนัก ต่อให้เป็นกองทัพเทพมารที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ก็ยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีพลังอมตะของผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดได้

อย่างไรก็ตาม หลัวซิวไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว และไม่ได้รู้สึกว่าตระกูลเทพสงครามไร้ซึ่งประโยชน์แล้วจะต้องทอดทิ้งพวกเขา ดังนั้นเขาจึงทิ้งการสืบทอดอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับตระกูลเทพสงครามเช่นกัน วรยุทธ์กลั่นร่างสามารถยกระดับพลังแห่งสายเลือดของพวกเขาได้ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพบุรุษ!

เดิมทีแล้วเคล็ดเทพสงครามสามารถฝึกตนสูงสุดได้ถึงแดนผู้สูงส่ง ก็ถูกหลัวซิววิวัฒนาการต่อไปอีกขั้น ก่อกำเนิดเป็นเวทย์ศาสตร์จนถึงแดนประมุขเต๋า

“ข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะพอคาดเดาได้อยู่แล้ว และเป็นอย่างที่พวกเจ้าคิดไว้ ในวันหนึ่ง ข้าจะต้องจากไปจากห้วงดาราผืนนี้”

เมื่อสิ่งที่ควรตระเตรียมเอาไว้นั้นก็จัดการเอาไว้หมดแล้ว หลัวซิวเรียกให้ทุกคนเข้ามารวมตัวกันภายในตำหนักซิวหลัว ไม่ได้มีความคิดว่าจะปิดบังเรื่องที่เขาจะจากไป

ถึงแม้ในใจจะมีการคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อคำพูดเช่นนี้มันออกมาจากปากของหลัวซิวเองจริง ๆ ทุกคนในที่แห่งนี้ โดยเฉพาะสภาพจิตใจของเหล่าแม่นางทั้งหลายต่างก็เปลี่ยนไปอย่างสุดขั้ว

นอกจากยู่เอ๋อร์ แม่นางคนอื่น ๆ ต่างพากันจิตใจเศร้าหมองไม่มากก็น้อย พวกนางต่างก็เข้าใจดีถึงระยะห่างระหว่างตนกับหลัวซิว หากหลัวซิวจะไป พวกนางจะมีพลังและคุณสมบัติเพียงพอที่จะติดตามเขาไปด้วยอย่างนั้นหรือ?

พวกนางต่างมีใจให้กับหลัวซิว แต่ก็ไม่คิดจะกลายเป็นภาระให้กับเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นว่าจะติดตามเขาไปด้วยในเวลานี้

“ในช่วงสั้น ๆ นี้ข้าจะยังไม่เดินทาง พวกเจ้าสามารถอยู่ในไข่มุกโลกาเพื่อพยายามเพ็ญตนได้ รอให้เรื่องของสามโลกาถูกคลี่คลายเสียก่อน ข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปยังแปดโลกมหาพิภพอีกครั้ง พูดให้ถูกคือ แปดโลกมหาพิภพไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ในวันนี้แปดโลกรวมเป็นหนึ่ง เรียกว่าโลกาอนัตตาอู๋จี๋” หลัวซิวเอ่ยขึ้นเช่นนี้

“เจ้าศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะเดินทางไปที่ใดกัน?” ซิงเฉินลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไป และคำถามนี้ ก็เป็นคำถามที่อยู่ในใจของใครหลาย ๆ คนในที่แห่งนี้

หลัวซิวยิ้มออกมาบาง ๆ สายตากวาดมองไปยังผู้คน “ข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับตำนานของชาวเซียน แต่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น เหนือประมุขเต๋ามกุฎเต๋า ก็คือแดนชาวเซียน และสถานที่ที่ข้าจะไป ก็คือโลกาหนึ่งที่ชาวเซียนอาศัยอยู่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ