“มาแล้ว”
ทันใดนั้นเอง หลินเทียนที่นั่งอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอดก็เอ่ยปากพูดกะทันหัน
และในเวลานี้ ก็มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งย่างกรายปรากฏในถ้ำแห่งนี้ ทำให้เหล่ามกุฎเต๋าต่างสัมผัสได้ถึงการกดอัดด้านผลการฝึกตน
“กึ่งเซียน!”
“หรือว่าหลัวซิวบรรลุเป็นกึ่งเซียนแล้ว?”
เหล่ามกุฎเต๋าต่างพากันลุกขึ้นยืน จากนั้นก็มีเงาดำสองร่างปรากฏตรงหน้าพวกเขา ซึ่งผู้มาเยือนก็คือเทพธิดาหยุนเซวียนและหลัวซิวนั่นเอง
“ศิษย์น้องหยุนเซวียน?”
สายตาของพวกเขาถูกเทพธิดาหยุนเซวียนดึงดูดไปก่อน เนื่องจากออร่าอันแข็งแกร่งของระดับกึ่งเซียนก็ตลบฟุ้งออกมาจากตัวเทพธิดาหยุนเซวียนนี่แหละ
“ศิษย์น้องเจ้าเป็นกึ่งเซียนแล้วหรือ?”
ใบหน้าของบรรพจารย์จักรวาลและบรรพจารย์เหลืองต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความซับซ้อน ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา ศิษย์น้องที่ผลการฝึกตนดูไม่ค่อยโดดเด่นมาโดยตลอดถึงกับบรรลุเป็นกึ่งเซียนแล้ว ส่วนพวกเขากลับยังคงเป็นมกุฎเต๋า ยิ่งกว่านั้นคือหลังจากสูญเสียอัญดั้งเดิมแล้ว ศักยภาพยิ่งเทียบเคียงกับอดีตไม่ได้
มกุฎมังกรอิมยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเคย บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใด ๆ จิตใจของนางจมดิ่งลงไปแล้ว หากไม่มีความมุ่งมั่นสุดท้าย นางอาจจะเป็นร่างที่ไร้วิญญาณไปตั้งนานแล้ว
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องหยุนเซวียนด้วยนะ”
มกุฎเต๋านอกนภาเป็นคนที่หูตาค่อนข้างกว้าง เนื่องจากเขารู้อยู่ว่าศิษย์น้องคนนี้ของตัวเองฝึกตนด้วยวรยุทธ์พิเศษมาอย่างยาวนาน ทุกครั้งหลังจากที่บรรลุถึงแดนที่แน่นอนแล้ว ผลการฝึกตนของงานก็จะร่วงหล่นจนกลายเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ผลการฝึกตนมากสุดก็แค่เคยบรรลุถึงแดนประมุขเต๋า
ปัจจุบันผลการฝึกตนของนางไม่ร่วงหล่นอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สามารถบรรลุเป็นกึ่งเซียนได้อย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกัน สายตาของทุกคนก็ร่วงลงบนตัวหลัวซิว เมื่อเปรียบเทียบกับพลังออร่ากึ่งเซียนที่แข็งแกร่งและชัดเจนของหยุนเซวียน หลัวซิวกลับถูกผู้อื่นมองข้ามได้ง่ายมาก เขาเก็บพลังออร่าทั้งหมดของตัวเองไว้ในร่างกาย ยิ่งกว่านั้นคือทำให้ผู้คนมองไม่ออกว่าผลการฝึกตนของเขาอยู่ในแดนใดกันแน่
ในทางตรงกันข้ามยิ่งเป็นคนที่ไม่โดดเด่น มองไม่ทะลุปรุโปร่ง ถึงทำให้ผู้คนรู้สึกลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้มากยิ่งขึ้น เสมือนห้วงดาราที่ไร้ขอบเขต
“นายจ้าวซิวหลัว”
มกุฎเต๋านอกนภาประสานมือทำท่าคารวะไปทางหลัวซิว นึกย้อนกลับไปถึงเมื่อปีนั้น ครั้นหลัวซิวยังเป็นตัวละครเล็ก ๆ ที่ไม่โดดเด่นคนหนึ่ง ยังเคยไปฝ่าฟันในแดนเซียนนอกนภาของเขา และยิ่งเกือบจะกลายเป็นลูกศิษย์ของเขาด้วย
เพียงพริบตาเดียว เวลาไม่กี่ปีก็ล่วงเลยไปแล้ว ตัวละครเล็ก ๆ ที่ดูไม่โดดเด่นในอดีต ปัจจุบันกลับกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้แล้ว มากไปกว่านั้นคือเขาอาจแข็งแกร่งกว่าตนด้วย
“ผู้เพื่อนยุทธ์นอกนภา”
หลัวซิวก็ประสานมือทำท่าคารวะตอบกลับเช่นกัน ในบรรดามกุฎเต๋าทั้งหลายของสามโลกา แม้นมกุฎเต๋านอกนภาก็มีเจตนาที่เห็นแก่ตัวเช่นกัน ทว่าก็ถือเป็นคนที่มีอุปนิสัยค่อนข้างซื่อสัตย์ชอบธรรมเลย เล่นพวกแผนการชั่ว ๆ น้อยมาก
“นายจ้าวซิวหลัว”
บรรพจารย์จักรวาลและบรรพจารย์เหลืองก็ต่างเดินขึ้นไปประสานมือทำท่าคารวะ ลักษณะท่าทีดูเกรงใจมาก ๆ
แม้นจะไม่คุ้นเคยกับมกุฎเต๋าสองคนนี้ แต่มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ หลัวซิวก็ประสานมือทำท่าคารวะตอบกลับเช่นกัน
มกุฎมังกรอิมนั่งนิ่ง ๆ อยู่กับที่ สายตานางก็จับจ้องมาเช่นกัน เมื่อหลัวซิวได้สบตากับนาง ก็ขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้
เขาค้นพบว่ามกุฎมังกรอิมแตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิงแล้ว มกุฎมังกรอิมในอดีตเปี่ยมล้นไปด้วยความหยิ่งผยอง ให้ความรู้สึกเหมือนนางเป็นผู้สูงส่ง เป็นผู้ล้ำเลิศที่อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย แต่แววตาของนางในวินาทีนี้กลับไร้ชีวิตชีวา ภายในดวงตาทั้งสองข้างไม่มีสีสันใด ๆ ราวกับสูญเสียวิญญาณไปแล้ว
“เจ้าสามารถช่วยข้าสังหารไอ้เดรัจฉานเฉว่โยวหวูจี๋นั่นหรือไม่?”
ทันใดนั้นเอง มกุฎมังกรอิมก็เพ่งมองหลัวซิว จู่ ๆ ก็ใช้ตัวสำนึกส่งเสียง
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็รับรู้ได้ถึงข้อความเต็มที่ส่งมาจากตัวสำนึกของมกุฎมังกรอิม ก่อนจะเผยให้เห็นภาพฉากที่นางถูกย่ำยีเหยียดหยามในพระตำหนัก
โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อมีเรื่องประเภทนี้เกิดขึ้นกับคนคนหนึ่ง คนคนนั้นต้องพยายามปกปิดอย่างสุดกำลังสามารถ เพื่อไม่ให้ผู้คนรับรู้แน่นอน ทว่ามกุฎมังกรอิมกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่เป็นการให้หลัวซิวรับรู้อย่างไร้ความพะวง
“มันช่างเป็นเดรัจฉานตัวหนึ่งจริง ๆ!”
ต่อให้หลัวซิวจะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ภาพฉากนี้ก็สามารถทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความโกรธเคือง ทุกการกระทำของเฉว่โยวหวูจี๋ไม่มีหลักการใด ๆ หลงเหลืออยู่อีกแล้ว การที่บอกว่ามันเป็นสัตว์เดรัจฉานยังเป็นการดูถูกสัตว์เดรัจฉานเลย
“ข้าจักสังหารมันให้ได้แน่นอน!”จิตสังหารที่อยู่ในใจหลัวซิวเข้มข้น ขืนปล่อยให้เฉว่โยวหวูจี๋ทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ต้องกลายเป็นภัยพิบัติของอสูรจิตนับล้านแน่นอน
“นายจ้าวซิวหลัว เรา……”
ในขณะที่มกุฎเต๋านอกนภากำลังจะพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้น กลับถูกหลัวซิวตัดบทพูดโดยตรง แล้วพูดว่า: “ข้าทราบเจตนาในการมาเยือนของทุกท่านแล้ว ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าทลายวิญญาณต้องห้ามได้อยู่ แต่ในขณะเดียวกันข้าก็จะร่ายตัวต้องห้ามไว้ในวิญญาณของพวกเจ้าอีกครั้งเช่นกัน เพราะข้าไม่อยากให้มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้นขณะที่ข้าต่อสู้ขั้นเด็ดขาดกับเฉว่โยวหวูจี๋”
“บรรพจารย์จักรวาลพูดถูก แม้นจะฟังดูขายหน้ามาก แต่ข้าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข้าต้านทานสามกระบวนท่าของเฉว่โยวหวูจี๋ไม่ได้ มันน่ากลัวเกินไปแล้ว ต่อให้เจ้ามีดาบหักเซียน ทว่าผลการฝึกตนของเจ้ากลับไม่ใช่กึ่งเซียน เกรงว่าก็น่าจะทำอะไรเฉว่โยวหวูจี๋ไม่ได้เช่นกัน”มกุฎเต๋านอกนภากล่าวเช่นนี้
“มันแข็งแกร่งขนาดนั้นจริง ๆ หรือ?”
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เทพธิดาหยุนเซวียนปิดถขังอยู่ในสถานตรีภพของวังทะยานเซียนพร้อมกับหลัวซิวมาโดยตลอด ครั้นเมื่อพบหน้าเฉว่โยวหวูจี๋ ฝ่ายตรงข้ามแค่ใช้ค่ายใหญ่ไข่มุกจิ่วหลงก็ทำการกักขังพวกเขาเอาไว้แล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่เคยประมือกันอย่างแท้จริงมาก่อน
ปัจจุบันนางบรรลุเป็นกึ่งเซียนแล้ว ผลการฝึกตนศักยภาพล้วนมีการพุ่งพรวด วินาทีนี้เมื่อได้ยินพวกมกุฎเต๋านอกนภาบรรยายเฉว่โยวหวูจี๋เหมือนเป็นผู้ไร้เทียมทาน นางย่อมต้องไม่ค่อยพอใจอยู่แล้ว
ต้องท้าวความก่อนว่าวรยุทธ์ที่นางฝึกคือวรยุทธ์วิชาหนึ่งที่ราชาเซียนหยุนหลงได้มาด้วยความบังเอิญ เงื่อนไขในการฝึกวรยุทธ์ดังกล่าวเข้มงวดมาก แต่กลับเป็นวรยุทธ์ชั้นยอดที่มุ่งเป้าไปที่เกณฑ์ลิขิตสูงศักดิ์โดยตรง
ดังนั้นแม้นจะเป็นกึ่งเซียนเหมือนกัน ต่อให้นางเพิ่งจะบรรลุได้ไม่นาน ก็รู้สึกว่าศักยภาพของตนต้องไม่ต่างจากเฉว่โยวหวูจี๋มากเท่าไหร่แน่นอน
“ข้าเคยประมือกับมันครั้งหนึ่ง มันน่ากลัวมากจริง ๆ”
และในเวลานี้เอง หลินเทียนก็เอ่ยปากพูดกะทันหัน “หากไม่ใช่เพราะข้ามีวิชาล่องหนยอดเยี่ยมวิชาหนึ่ง ข้าอาจจะตายไปแล้ว”
หากคำพูดที่เหล่ามกุฎเต๋าพูดมาไม่ค่อยมีประสิทธิผล แต่เมื่อหลินเทียนที่มีผลการฝึกตนระดับกึ่งเซียนพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา จึงทำให้นางจำเป็นต้องประเมินคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างเฉว่โยวหวูจี๋ใหม่อีกครั้ง
ต่างเป็นกึ่งเซียนเช่นกัน หากเทพธิดาหยุนเซวียนและหลินเทียนเป็นกึ่งเซียนที่แข็งแกร่ง เช่นนั้นเฉว่โยวหวูจี๋ก็คือกึ่งเซียนที่น่ากลัว แข็งแกร่งและน่ากลัวนั้นมีความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย
“มันไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการ”
หลัวซิวใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ ตามจังหวะแล้วพูด: “สาเหตุที่พวกเจ้ารู้สึกว่าเฉว่โยวหวูจี๋น่ากลัวนั้น มันไม่ได้เป็นเพราะผลการฝึกตนของมันน่ากลัวเช่นนั้น แต่เป็นพลังออร่าของมัน เป็นออร่าที่ชั่วร้ายน่ากลัว เป็นออร่าแปลกประหลาดที่น่าสยดสยองถึงขีดสุด”
“อันที่จริงถ้าเกิดมองข้ามอุปนิสัยชั่วร้ายโรคจิตนั่น มันก็เป็นราชาเซียนที่ผลการฝึกตนร่วงหล่นลงมาเหลือกึ่งเซียนเท่านั้นเอง”
“แดนการตระหนักรู้ในเกณฑ์ทวยเทพธรรมของราชาเซียนแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นไร้เทียมทาน อีกทั้งเนื่องจากถูกพันธนาการโดยผลการฝึกตน มันก็ไม่สามารถปลดปล่อยเกณฑ์อันทรงพลังที่ราชาเซียนส่วนมากตระหนักได้เช่นกัน”
“ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าเฉว่โยวหวูจี๋ไม่ได้จัดการยากขนาดนั้น อีกทั้งเวลาได้ล่วงเลยไปสองร้อยกว่าปีแล้ว ขืนปล่อยให้เสียเวลาเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ทันทีที่ปล่อยให้มันกลั่นแปรสะพานทะยานเซียนได้ ก็เท่ากับได้ตัดขาดเส้นทางแห่งการโบยบินสู่เซียนของเราทิ้ง”
หลังจากหลัวซิวพูดคำพูดดังกล่าวออกมา ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ล้วนนิ่งเงียบไป สำหรับพวกเขาแล้ว เฉว่โยวหวูจี๋เป็นคู่ต่อสู้สุดน่ากลัวที่แทบจะไม่มีทางต่อกรได้ แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว เฉว่โยวหวูจี๋กลับเป็นเพียงก้าวย่างที่จะทำให้เขามุ่งไปสู่ประตูแห่งโลกเซียน
จากคำพูดของหลัวซิว ทำให้พวกเขาล้วนสัมผัสความมั่นใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความแข็งแกร่งได้จากตัวชายหนุ่มคนนี้ ซึ่งความมั่นใจประเภทนี้ทำให้เขาดูสง่างามมากจนกึ่งเซียนอย่างหยุนเซวียนและหลินเทียนยังเทียบเคียงด้วยไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...