อย่างที่ทุกคนทราบกัน ธรรมลักษณ์ฟ้าดินคือพลังงานมาจากพรสวรรค์พิเศษเฉพาะของอสูรจิตตรีภพ
เหล่าอสูรจิตตรีภพพรสวรรค์ที่กำเนิดในตรีภพ ร่างกายของพวกเขาจะมีตราตรีภพติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ฉะนั้นทันทีที่กำเนิด พวกเขาก็เข้าใจและรู้จักพลังอมตะธรรมลักษณ์ฟ้าดินแล้ว
พลังอมตะดังกล่าวสามารถทำให้ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น และในขณะที่ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น พลังก็จะได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเช่นกัน ซึ่งแข็งแกร่งน่าสยดสยองอย่างยิ่ง
ยกตัวอย่างเช่นลาร์ในอดีต เขาเป็นเพียงเทพมารระดับเจ็ดเล็ก ๆ คนหนึ่ง ทว่าเมื่ออาศัยพลังอมตะพรสวรรค์ของธรรมลักษณ์ฟ้าดิน เขากลับสามารถระเบิดกำลังรบที่เทียบเท่าเทพมารระดับแปดออกมาได้
การยกระดับเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่มาก ทว่าลาร์เป็นเพียงอสูรจิตตรีภพที่ระดับต่ำที่สุด สายเลือดและพลังดั้งเดิมของเขาไม่ค่อยแข็งแกร่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
และถ้าเกิดเป็นอสูรจิตตรีภพที่มีพลังเกะกะระรานเป็นทุนเดิม ควบคู่กับพลังอมตะอย่างธรรมลักษณ์ฟ้าดิน เช่นนั้นก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งปวงอ่อนข้อหรือหลบเลี่ยงให้แล้ว
และเป็นเพราะความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของธรรมลักษณ์ฟ้าดินนี่แหละ เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มาร รวมไปถึงผู้แข็งแกร่งจะเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต่างพากันศึกษาวิจัย เพื่อพยายามริเริ่มพลังอมตะร่างเนื้อที่เป็นทำนองเดียวกันกับธรรมลักษณ์ฟ้าดินออกมา
อสูรจิตตรีภพปลดปล่อยพลังอมตะวิชานี้ได้ตั้งแต่กำเนิด แต่อสูรจิตตรีภพส่วนมากกลับไม่เข้าใจความล้ำลึกที่แท้จริงของพลังอมตะวิชานี้ แค่ปลดปล่อยเป็นอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับจอมยุทธ์ใช้ดาบคนหนึ่ง ใช่ว่าเขาจะทราบวิธีการหลอมสร้างดาบเล่มหนึ่งเสมอไป
อ้างอิงจากการอนุมานและศึกษาวิจัยของผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดคนเหล่านั้นก็ได้ข้อสรุปหนึ่ง นั่นก็คือหากต้องการยึดกุมธรรมลักษณ์ฟ้าดิน มีโอกาสเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นที่จะได้ยึดกุมความล้ำลึกและจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่แฝงซ่อนอยู่ในพลังอมตะ ขณะตระหนักรู้ธรรมเวชตรีภพ
วิธีพูดเช่นนี้แปลกประหลาดมาก แต่กลับเป็นบทสรุปที่ได้มาหลังจากผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนศึกษาค้นคว้ามัน
บางทีการตระหนักรู้ในธรรมเวชตรีภพของผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งอาจจะสูงมาก แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถยึดกุมความล้ำลึกของพลังอมตะอย่างธรรมลักษณ์ฟ้าดินได้เสมอไป
และผลงานบนธรรมเวชตรีภพของผู้แข็งแกร่งบางคนอาจจะไม่สูง แต่ดันโชคดี ได้ยึดกุมความล้ำลึกของธรรมลักษณ์ฟ้าดิน
ซึ่งหลัวซิวก็คือคนประเภทหลังอย่างไร้ข้อสงสัยเลย เขาใช้หนืดอมฤตตรีภพตระหนักรู้ในตรีภพ ในขณะเดียวกันก็ใช้วิธีสังเกตและเรียนรู้ธรรมลักษณ์ฟ้าดินที่ลาร์ปลดปล่อย จึงสามารถกชยึดกุมพลังอมตะวิชานี้ได้โดยปริยาย
ไม่ใช่อสูรจิตตรีภพ จึงไม่สามารถขยายร่างกายให้ใหญ่โตมโหฬารอย่างอสูรจิตตรีภพ ทว่าแม้นร่างกายจะสูงแค่สามเมตรกว่า แต่กำลังรบของหลัวซิวที่เพิ่มขึ้นกับน่ากลัวมาก
อย่างน้อยด้านพลังของเขาก็แทบจะสูสีกับเฉว่โยวหวูจี๋เลย แต่หลังจากเขาปลดปล่อยธรรมลักษณ์ฟ้าดิน กลับสามารถกดอัดเฉว่โยวหวูจี๋ได้โดยตรงเลย
“ให้ตายเถอะ เจ้าหมอนี่มันโชคดีเกินไปหรือเปล่า!”
เฉว่โยวหวูจี๋รู้สึกอิจฉาริษยาอย่างยิ่ง เท่าที่เขาทราบ ราชาเซียนหยุนหลงใช้เวลาหลายยุคตรีภพมาก ๆ เพื่อไปตระหนักรู้ตรีภพ แต่สุดท้ายแล้วก็ตระหนักความล้ำลึกของเกณฑ์สูงศักดิ์อย่างตรีภพไม่ได้อยู่ดี และไม่สามารถยึดกุมธรรมลักษณ์ฟ้าดินเช่นกัน
ส่วนเจ้าหลัวซิวนี่เพิ่งฝึกตนมาแค่กี่ปีเอง? ต่อให้รวมระยะเวลาในอดีตชาติเข้ากับชาตินี้ มากสุดก็แค่ไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น
เมื่อนำระยะเวลาหลักหมื่นปีมาเปรียบเทียบกับหลักยุคตรีภพ ระยะเวลาหมื่นปีก็เล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงด้วยซ้ำ!
ในส่วนของเรื่องที่ว่าหลัวซิวที่เป็นมกุฎเต๋าช่วงปลายมีความมั่นใจในการต่อสู้กับเฉว่โยวหวูจี๋นั้น เป็นเพราะยึดกุมและรู้แจ้งในพลังอมตะอย่างธรรมลักษณ์ฟ้าดิน ซึ่งนี่ก็เป็นปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องไม่น้อยเลย
นี่เป็นพลังอมตะที่ทำให้พลังของเขาพุ่งพรวดได้เชียวนะ เมื่ออาศัยการกดอัดด้านพลัง ควบคู่กับพลานุภาพของดาบหักเซียนและเหล็กเซียนชั้นกล้า ขอแค่เฉว่โยวหวูจี๋ถูกเขาโจมตี หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสมากแน่นอน
แน่นอนอยู่แล้วว่าการยึดกุมธรรมลักษณ์ฟ้าดินของหลัวซิวก็มีเสี้ยวเดียวเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นความรู้เบื้องต้นเลย หากยึดกุมหลักการความรู้เบื้องต้นของธรรมลักษณ์ฟ้าดิน ก็จะสามารถกลายร่างให้สูงเป็นร้อยเมตร พละกำลังเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า!
อย่างไรก็ตามโดยส่วนใหญ่แล้ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนเท่านั้นถึงจะสามารถยึดกุมพลังอมตะอย่างธรรมลักษณ์ฟ้าดิน เพราะมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ไปตระหนักรู้ความล้ำลึกและความสูงศักดิ์ของธรรมเวชเกณฑ์ตรีภพ
ดังนั้นเมื่อมองในมุมระดับมกุฎเต๋าและกึ่งเซียน ต่อให้เป็นพลังอมตะธรรมลักษณ์ฟ้าดินที่มีหลักการความรู้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น แต่ก็เป็นพลังที่น่าสยดสยองอย่างยิ่งแล้ว
การฝึกยุทธ์นั้น ผลการฝึกตนศักยภาพของแดนธรรมย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดพลังสามารถบรรลุถึงระดับที่แน่นอน เช่นนั้นก็สามารถทดแทนช่วงระยะความแตกของแดน พลิกความพ่ายแพ้สู่ชัยชนะได้!
“ตู้มม!”
เงาร่างหลัวซิวเคลื่อนไหว อาศัยการปลุกเสกจากพลังที่เกะกะระราน เขาจึงปรากฏตรงหน้าเฉว่โยวหวูจี๋ภายในเสี้ยววินาทีเดียว
“ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ! เหตุใดมึงถึงสามารถตระหนักรู้ในธรรมลักษณ์ฟ้าดินได้?”
เฉว่โยวหวูจี๋อิจฉาจนตาแดงเถือกแล้ว สำหรับเขาที่เป็นอดีตผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนแล้ว ธรรมลักษณ์ฟ้าดินเป็นพลังอมตะที่ราชาเซียนที่นับไม่ถ้วนต่างใฝ่ฝันเชียวนะ ทว่าบัดนี้ผู้น้อยมกุฎเต๋ากระจอก ๆ คนหนึ่งกลับตระหนักเรียนรู้ได้ แล้วจะทำให้เขาไม่อิจฉาตาร้อนได้อย่างไร?
ฟุบ!
เฉว่โยวหวูจี๋อ้าปากพ้นพลังและเลือดออกมา หลังจากพลังและเลือดถูกพ้นออกมา ก็กลายเป็นเปลวไฟสีแดงเลือด หลอมรวมเข้าไปในร่างกายเขา
“ราชันย์อย่างกูจักดูดกลืนดั้งเดิมมึง กูต้องรู้ความลึกลับและมหัศจรรย์ของพลังอมตะธรรมลักษณ์ฟ้าดินมาจากความทรงจำมึงให้ได้!”
เฉว่โยวหวูจี๋ไม่เสียดายที่จะเผาผลาญพลังและเลือดดั้งเดิม ร่างกายของเขากลายเป็นงูแก้วที่ใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่ง อ้าปากแล้วขย้ำไปทางหลัวซิว
“มึงที่อาศัยแดนราชาเซียน ไม่นำผู้ใดไปไว้ในสายตาเลยไม่ใช่รึ? บัดนี้ถึงกับต้องเผาผลาญพลังและเลือดดั้งเดิม ดูท่าความสามารถมึงก็เหลือแค่ขี้ประติ๋วแล้ว”
หลัวซิวแสยะยิ้มเยือกเย็นอย่างดูหมิ่น สะบัดมือข้างซ้ายครั้งหนึ่ง จากนั้นเหล็กเซียนชั้นกล้าก็บินออกไป
โครม!
อนัตตาฟ้าดินสั่นสะเทือน เห็นเพียงหลังจากเหล็กเซียนชั้นกล้าบินออกไปแล้ว มันก็ขยายใหญ่ขึ้นตามแรงลม เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นเสาเทพค้ำฟ้า
เหล็กเซียนเสานี้หนักกว่าดวงดาวไม่รู้ตั้งกี่เท่า เมื่อมันกดอัดอยู่บนตัวงูแก้ว งูแก้วก็ถึงกับถูกสะกดจนยากที่จะดิ้นรน
“ตายซะเถอะ!”
หลัวซิวถือดาบเดินเข้าไป อาศัยพลังที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าหลังจากใช้ธรรมลักษณ์ฟ้าดิน ขอแค่เฉว่โยวหวูจี๋ไม่สามารถหลบเลี่ยงพลังโจมตี เขามีความมั่นใจอยู่ว่าสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ในดาบเดียว
“ปั้ง ปั้ง! ปั้ง! ……”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...