สถานบรรพบุรุษของเผ่าหงส์เซียนในอดีต หลัวซิวมาถึงที่นี่อีกครั้ง แล้วมองเห็นคำว่า‘ลิหิตยากหา’นั่นอีกครั้ง
หลัวซิวยังจำได้อยู่เลยว่าครั้งแรกที่เขาเห็นประโยคนั้น เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจนัยยะแฝงของมันแล้ว
อย่างไรก็ตามผลการฝึกตนของเขาในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองในอดีตสามารถเทียบเคียงได้แล้ว เมื่อเขาในปัจจุบันมองเห็นประโยคนี้อีกครั้ง เขาก็มีความรู้สึกที่แตกต่างกัน
เขาเคยตระหนักความล้ำลึกของเกณฑ์สูงศักดิ์ตรีภพอยู่ในสถานตรีภพแห่งวังทะยานเซียน ฉะนั้นจึงเข้าใจดีมาก ๆ ว่าการที่อยากตระหนักรู้ในเกณฑ์สูงศักดิ์นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากเพียงใด
อย่างน้อยผู้บุกเบิกรุ่นสามที่ทิ้งประโยคนี้ไว้ในเผ่าหงส์เซียนก็เป็นราชาเซียนขั้นสูง ทว่ากาลเวลาผ่านพ้นไปยาวนานอย่างไม่รู้จบ เขาก็ยังคงหยุดอยู่ที่ขั้นนี้ ซึ่งมีประสบการณ์เช่นเดียวกับราชาเซียนหยุนหลงที่ไม่สามารถตระหนักตรีภพได้ตลอดมา
ในอดีตหลัวซิวคิดว่าคำว่า“ลิขิตยากหา”ที่ผู้บุกเบิกรุ่นสามหงส์เซียนทิ้งไว้ เป็นความไม่ยอมและความปลงอย่างหนึ่งที่มีต่อตนที่ไม่สามารถก้าวไปสู่ขั้นนั้น
ปัจจุบัน หลัวซิวรู้สึกว่าความหมายแท้จริงที่ฝ่ายตรงข้ามทิ้งประโยคนี้ไว้ที่นี่ มันเป็นการเบิ่งมองความฝันที่กำลังแสวงหามากกว่า
ใช่ว่าสิ่งที่แสวงหาจะเป็นโชคในเกณฑ์สูงศักดิ์เสมอไป บางทีอาจหมายถึงโอกาส หมายถึงแรงบันดาลใจ หมายถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุ
เมื่อเดินเข้าไปในตำหนักหลังนี้ หลัวซิวก็มองเห็นแท่นหินสามแท่นที่ว่างเปล่า อดีตเคยมีสมบัติล้ำค่าวางอยู่บนแท่นหินทั้งสาม
เยว่เอ๋อร์เอาสมบัติที่อยู่แท่นหินตรงกลางไป อานจิ่งเซวียนได้รับพลังและเลือดหนึ่งหยดของผู้บุกเบิกรุ่นสาม ส่วนเขาก็ได้รับก้อนหินสีดำที่มีน้ำหนักน่าทึ่งอย่างยิ่งหนึ่งก้อน
จวบจนปัจจุบัน ก้อนหินก้อนนั้นยังคงถูกเก็บอยู่ในโลกาแหวนเก็บของที่เขาเก็บมาได้ด้วยความบังเอิญ ถึงแม้เขาจะบรรลุเป็นมกุฎเต๋าช่วงปลาย อัคคีชาตะไร้ลักษณ์เพียงพอที่จะสามารถแผดเผากึ่งเซียน กลั่นหลอมภัณฑ์เต๋าชั้นยอด แต่ก็ยังไม่สามารถทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้บนก้อนหินก้อนนั้นได้อยู่ดี
เป็นก้อนหินที่มีขนาดเท่าหนึ่งกำปั้น เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมากลับรู้สึกเหมือนแทบจะยกไม่ไหว ซึ่งหลัวซิวก็ไม่เคยได้ยินวัตถุเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน และไม่เข้าใจด้วยว่าผู้บุกเบิกรุ่นสามไปได้ก้อนหินก้อนนั้นมาจากสถานที่ใดกันแน่
ครั้นเขาออกจากที่นี่ อานจิ่งเซวียนยังคงกลั่นแปรพลังและเลือดหยดนั้นอยู่ ต่อมาก็มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก หลังจากสิ้นสุดสงครามแห่งมหันตภัย เขาก็ไม่เคยเจออานจิ่งเซวียนอีกเลย
แท่นหินทุกแท่นจะตรงกับประตูหนึ่งบาน หลัวซิวเดินไปยังประตูหินบานที่สาม หากอานจิ่งเซวียนต้องการออกจากที่นี่ละก็ คาดว่านางต้องเข้าไปในค่ายวาร์ปที่อยู่ภายในประตูดังกล่าวแน่นอน
หลังจากหลัวซิวเข้าไป เมื่อเห็นว่าค่ายกลบนพื้นพังเสียหายเล็กน้อย สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“ไยจึงเป็นเช่นนี้?”
รูม่านตาหลัวซิวหดลงเล็กน้อย เขาจำได้ชัดเจนมากว่านอกจากค่ายวาร์ปที่อยู่ในประตูหินตรงกลางจะค่อนข้างพิเศษแล้ว ค่ายวาร์ปที่อยู่ในประตูหินซ้ายขวาทั้งสองฝั่งเหมือนกันทุกประการเลย ซึ่งเขาในขณะนั้นก็เคยพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว
ทว่าวินาทีนี้เมื่อเขาเห็นค่ายกลที่อานจิ่งเซวียนเคยใช้งาน กลับพบว่าค่ายกลดังกล่าวเหมือนค่ายกลตรงกลางที่เยว่เอ๋อร์เคยใช้ทุกประการเลย
ดูเหมือนจะมีเพียงค่ายวาร์ปในประตูหินบานแรกที่เขาเคยใช้แตกต่างจากทั้งสองค่าย
เพื่อเป็นการพิสูจน์จุดนี้ หลัวซิวจึงเดินไปดูค่ายวาร์ปที่อยู่ในประตูหินทั้งสองอีกรอบ ก่อนที่สีหน้าจะดูย่ำแย่ลงไปภายในพริบตา
ครั้นเมื่อเขามาถึงที่นี่ครั้งแรก ผลการฝึกตนยังค่อนข้างต่ำ ฉะนั้นจึงไม่เห็นว่าภายในค่ายกลทั้งสามค่ายนี้มีความลี้ลับซ่อนอยู่
อันที่จริงตอนแรกค่ายกลที่อยู่ด้านหลังประตูหินทั้งสามบานเหมือนกันทุกประการเลย ซึ่งจะแตกต่างกันก็ต่อเมื่อเปิดใช้งานค่ายวาร์ปแล้ว และผลลัพธ์ที่ตามมาก็จะมีสองแบบ
หนึ่งคือถูกส่งออกไปนอกแดนต้องห้าม ส่วนอีกผลลัพธ์หนึ่งก็คือถูกส่งไปยังเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ
หลัวซิวถือเป็นประเภทแรก เยว่เอ๋อร์และอานจิ่งเซวียนเป็นประเภทหลัง
หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว หลัวซิวก็ค้นพบว่าจุดที่เขาแตกต่างจากเยว่เอ๋อร์และอานจิ่งเซวียนก็คือ เขาไม่มีสายเลือดหงส์เซียน
การที่เขาสามารถบุกเข้ามาในแดนต้องห้ามได้นั้น เป็นเพราะเขาใช้ไร้ลักษณ์วิวัฒนาการออร่าท่วงเซียนของสายเลือดหงส์เซียนออกมา แต่ทว่าขณะที่ค่ายวาร์ปเปิดออก ค่ายวาร์ปก็จะตรวจสอบและแยกแยะได้ว่าเขาไม่มีสายเลือดหงส์เซียน ฉะนั้นเขาจึงไม่ถูกส่งไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ
อย่างไรเสียต่อให้เขาจะเลียนแบบได้เหมือนจริงมากเพียงใด ก็ไม่มีทางปรับแก้สายเลือดที่แท้จริงของตัวเองให้กลายเป็นสายเลือดหงส์เซียนได้
เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่าขณะที่ผู้บุกเบิกรุ่นสามทิ้งการถ่ายทอดสืบสานและสมบัติไว้ที่นี่ เขาก็ตรึกตรองได้แล้วว่าอาจมีคนนอกเผ่าปนเปเข้ามา แต่ก็กังวลว่าจะเผลอฆ่าคนในเผ่าพันธุ์ตนผิด ฉะนั้นจึงทำได้เพียงส่งผู้ต้องสงสัยออกไป แต่ไม่ใช่การสังหาร
เมื่อคิดจุดนี้ได้ ก็มีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากหลัวซิวอย่างควบคุมไม่ได้ สามารถพูดได้เลยว่าเขาในเวลานั้นได้เดินผ่านประตูนรกมารอบหนึ่งแล้ว!
หากผู้แข็งแกร่งราชาเซียนคนหนึ่งทิ้งทางหนีทีไล่แห่งการสังหารเอาไว้ละก็ ยังไม่ต้องพูดถึงเขาในตอนนั้นที่ยังไม่ใช่ประมุขเต๋าด้วยซ้ำ ต่อให้เซียนมาถึง เกรงว่าก็คงหนีความตายไม่พ้นเช่นกัน
หลัวซิวเคยพยายามซ่อมแซมค่ายกลที่เยว่เอ๋อร์และอานจิ่งเซวียนเคยใช้งานอยู่ แล้วค้นพบว่าต่อให้ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนมกุฎเต๋าแล้ว ฝีมือด้านค่ายกลก็พัฒนาขึ้นเยอะมากเช่นกัน ทว่าสำหรับเขาแล้วระดับขั้นของค่ายกลดังกล่าวก็สูงเกินไปอยู่ดี
“หลังจากเยว่เอ๋อร์และอานจิ่งเซวียนวาร์ปหายไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวใด ๆ อีกเลย เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกนางมีโอกาสไม่อยู่ในพิภพของห้วงดาราแห่งนี้แล้ว แสดงว่าพวกนางมีโอกาสเดินทางไปยังโลกเซียนแล้วสินะ?”
หลัวซิวทำการคาดเดาเช่นนี้ ในเมื่ออดีตเซียนโบราณสามารถทิ้งสะพานทะยานเซียนไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังที่สามารถฝึกถึงแดนเซียนมีโอกาสมุ่งไปสู่โลกเซียน เช่นนั้นผู้มากอิทธิพลวิถีเซียนที่เก่งกาจบางองค์ย่อมมีอุบายที่สามารถทลายพันธนาการของพิภพได้อยู่แล้ว
ความคิดนี้ทำให้หลัวซิวอยากไปสำรวจในโลกเซียนให้รู้แล้วรู้รอดอย่างอดใจรอไม่ไหว แต่เขาก็เข้าใจดีเช่นกันว่าต่อให้เยว่เอ๋อร์ไปโลกเซียนแล้ว โลกเซียนก็ต้องกว้างใหญ่มากแน่นอน ทั้งยังเป็นพิภพที่ผู้แข็งแกร่งแท้จริงรวมตัวกันด้วย มาตรแม้นว่าเขาเดินทางไปแล้ว การที่อยากเจอตัวเยว่เอ๋อร์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
ส่ายหน้าไปมา หลัวซิวก็ทำได้เพียงปล่อยวางความคิดนี้ลงชั่วคราว ถึงจะค้นพบเบาะแสใหม่ที่นี่ แต่มันก็ยังไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อเรื่องที่จะตามหาตัวเยว่เอ๋อร์เจอหรือไม่
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...