ลำแสงวงแหวนพลังเซียนทั้ง 12 วงสามารถหักล้างพลังโจมตีทั้งปวง ซึ่งเป็นรากฐานที่เจ้าเมืองหวูคงใช้รักษาชีวิตตัวเองมาโดยตลอด
เมื่ออาศัยภัณฑ์เซียนคุ้มครองชิ้นนี้ อดีตเขายิ่งเคยต่อสู้กับมกุฎเต๋าสี่คนพร้อมกัน สุดท้ายยังสามารถถดถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัยด้วย
อย่างไรก็ตามคู่ต่อสู้ที่เขาเจอในครั้งนี้แข็งกร้าวเผด็จการมากเกินไป ทุกกำปั้นของเงาร่างผยองที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำนั่น ล้วนสามารถทำให้ลำแสงวงแหวนพลังเซียนแตกสลาย หลังจากปลดปล่อยออกมาต่อเนื่องกัน 12 หมัด ก็ปรากฏตรงหน้าเขาโดยตรง
ส่วนเวลานี้ เขาไม่มีแรงที่จะกระตุ้นภัณฑ์เซียนคุ้มครองได้อีกแล้ว
สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวดูเยือกเย็นมาก พลิกมือปล่อยฝ่ามือหนึ่งออกไป ก็ทำให้ร่างกายของเจ้าเมืองหวูคงนี่ถูกโจมตีจนแตกสลาย วิญญาณดับสลายสูญสิ้น
โลกของผู้แข็งแกร่งแห่งยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้แหละ ไม่เร็วก็ช้าผู้ที่สังหารผู้อื่นย่อมต้องถูกสังหาร
การเจริญรุ่งเรืองของเจ้าเมืองหวูคงก็เกิดจากการเหยียบย่ำศพที่นับไม่ถ้วนแล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาถึงขั้นนี้เช่นกัน ในขณะที่เขาฆ่าผู้อื่นแล้วค่อ ๆ พัฒนาแข็งแกร่งขึ้น ก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าสักวันในอนาคต เขาก็ต้องตายอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่นแน่นอน
ซึ่งหลัวซิวก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นอนาคตเพื่อไม่ให้ตนตายอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่น เขาจึงทำได้เพียงพัฒนาให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
แหวนเก็บของของเจ้าเมืองหวูคงถูกหลัวซิวเอาไป ในขณะเดียวกันเขาก็แผ่ตัวสำนึกออกไปเช่นกัน ในเมื่อล้มล้างเมืองหวูคงทิ้งไปแล้ว เขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้ทรัพย์สินอันมั่งคั่งที่กองกำลังใหญ่ดังกล่าวสั่งสมมาอย่างยาวนานให้หลุดลอดไปจากเงื้อมมือตัวเองอยู่แล้ว
แม้นของส่วนมากจะไม่มีประโยชน์ต่อเขา แต่เขาสามารถนำกลับไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์ซิวหลัวได้อยู่ ขอแค่มีทรัพยากรสมบัติจำนวนมาก เช่นนั้นต่อให้เขาบินทะยานขึ้นสู่โลกเซียนแล้ว ในแดนศักดิ์สิทธิ์ซิวหลัวก็จะมีผู้แข็งแกร่งอุบัติขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน จนสามารถสืบสานต่อไปได้ตลอดกาล
ตั้งแต่ฝึกต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่างเป็นต้นมา หลัวซิวก็ค้นพบว่าจากการที่ตัวเองฝึกตนยิ่งนาน ก็ยิ่งค้นพบความแข็งแกร่งของวิชาต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง ปัจจุบันญาณเทวของเขากลายเซียนไปเจ็ดส่วนแล้ว คาดว่าขณะที่ผลการฝึกตนของตัวเขาเองยังบรรลุไม่ถึงแดนกึ่งเซียน ญาณเทวของเขาที่สามารถอาศัยต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่างคงกลายเซียนบริบูรณ์ไปก่อนแล้ว!
ทันทีที่กลายเซียนบริบูรณ์ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาสามารถผนึกรวมภูตเซียนออกมา ระดับของพลังวิญญาณเทียบทัดเซียน!
“น้องโรว่ ของชิ้นนี้เป็นของที่ข้ามอบให้เจ้า”
หลังจากปล่อยตัวเหยียนซีโรว่และเสิ่นปิงหยูออกมา หลัวซิวก็ควบคุมเข็มทิศสาส์นเต๋าออกจากเมืองหวูคงและอณาอลหม่านแล้ว
หลัวซิวหยิบกำไลข้อมือหยกขาวที่ประณีตสวยวิจิตรอย่างยิ่งออกมา วางลงบนมือเหยียนซีโรว่
“ขอบพระคุณท่านสวามีมากเจ้าค่ะ ข้าชอบมาก”
ใบหน้าที่เรียวบางของเหยียนซีโรว่แดงก่ำขึ้นมา เห็นเพียงหลัวซิวจับมือซ้ายนางขึ้นมา แล้วสวมใส่กำไลให้นาง
ซึ่งกำไลหยกชิ้นนี้ก็คือภัณฑ์เซียนคุ้มครองของเจ้าเมืองหวูคงนั่นเอง ถึงแม้นี่จะเป็นภัณฑ์เซียนชั้นล่างชิ้นหนึ่ง แต่ก็เป็นภัณฑ์เศษณ์ที่หายากเช่นกัน
เสิ่นปิงหยูที่เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ตลอดช่วงสองร้อยกว่าปีที่ติดอยู่ในอณาอลหม่าน นางมักจะเห็นน้องโรว่หยิบกระบี่ยาวธรรมดาของปุถุชนทั่วไปออกมากอดพลางลูบไล้อยู่เป็นประจำ
ต่อมานางก็ได้ฟังน้องโรว่บอกกับตัวเองว่า กระบี่เล่มนั้นคือของขวัญชิ้นหนึ่งที่หลัวซิวมอบให้นาง ในห้วงดาราที่มีเทพมารเกลื่อนกลาด แม้นกระบี่เล่มนั้นจะไม่ต่างอะไรจากก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่มันกลับเป็นสิ่งของที่สำคัญที่สุดของนาง
บัดนี้หลัวซิวก็มอบของสิ่งหนึ่งให้น้องโรว่อีก ในขณะที่เสิ่นปิงหยูรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ก็มีความผิดหวังปนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
“ปิงหยู วิถีตรีภพของเจ้าฝึกได้ไม่เลวเลยนี่”
ในขณะที่เสิ่นปิงหยูกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จู่ ๆ เสียงของหลัวซิวก็สะท้อนมา จากนั้นเสิ่นปิงหยูก็เห็นว่าสายตาของหลัวซิวจับจ้องมาทางตัวเอง
“วิถีตรีภพฝึกยากกว่าที่เจ้าจินตนาการมาก ๆ อดีตข้าไม่เข้าใจ จึงให้เจ้าเปลี่ยนมาฝึกร่างเทวอลวน แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสามารถอาศัยความพยายามของตัวเอง ฝึกตนจนบรรลุขึ้นมาถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อได้”
ตั้งแต่เคยตระหนักตรีภพด้วยตนเอง หลัวซิวถึงจะรู้ว่าตรีภพนั้นฝึกและตระหนักรู้ยากมากเพียงใด ดังนั้นเมื่อเขาเห็นดอกผลของเสิ่นปิงหยู ถึงได้เอ่ยปากชื่นชมอย่างนี้
แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วโลกทัศน์และประสบการณ์ของเสิ่นปิงหยูก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ไม่เคยมีคนชี้แนะด้านการฝึกและการตระหนักรู้ในตรีภพให้แก่นางมาก่อน ดังนั้นจึงยังมีอีกหลายจุดมากที่ขาดตรงบกพร่อง หากไม่สามารถปรับแก้ให้ดีขึ้น อนาคตก็มีแต่จะยิ่งอยู่ยิ่งหลุดออกไปจากแก่นสารสำคัญ มากสุดแค่สามารถฝึกถึงแดนผู้สูงส่ง ก็จะไม่มีการพัฒนาใด ๆ อีกแล้ว และยิ่งไม่มีทางบรรลุเป็นประมุขเต๋าด้วย
อย่างไรเสียพรสวรรค์ของเสิ่นปิงหยูดีมากก็จริง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมกุฎเต๋านอกนภาในอดีต นางก็ยังแตกต่างจากนอกนภาไม่น้อยเลย
หลัวซิวใช้นิ้วจิ้มลงกลางหว่างคิ้วเสิ่นปิงหยูเบา ๆ แล้วถ่ายทอดการตระหนักรู้ทั้งหมดบนวิถีตรีภพของเขาให้นาง
แน่นอนอยู่แล้วว่าจากแดนในปัจจุบันของเสิ่นปิงหยู นางยังไม่สามารถตระหนักรู้ได้ ดังนั้นหลัวซิวจึงเปลี่ยนให้การตระหนักรู้ในวิถีธรรมเหล่านั้นเป็นตัวต้องห้าม ปิดผนึกอยู่ส่วนที่ลึกที่สุดในตัวหยั่งรู้ของเสิ่นปิงหยู อนาคตขอแค่แดนผลการฝึกตนของนางถึงระดับที่กำหนด ผนึกเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ เปิดออก แล้วทำให้นางได้รับดอกผลที่ไม่ธรรมดา
อนาคตหากเสิ่นปิงหยูสามารถเปลี่ยนการตระหนักรู้เหล่านี้ให้กลายเป็นการตระหนักรู้ของตน เช่นนั้นอย่างน้อยนางก็สามารถฝึกถึงแดนมกุฎเต๋าได้เลย
เสิ่นปิงหยูรู้สึกตื้นตันใจมาก นางคิดว่าเมื่อมีเหยียนซีโรว่อยู่ข้าง ๆ หลัวซิวจะมองข้ามตัวเอง แต่เขากลับยังเป็นห่วงตัวเองอยู่
นางอิจฉาที่หลัวซิวมอบกระบี่ยาวและกำไรหยกให้น้องโรว่ แต่หลัวซิวก็เคยมอบสมบัติสิ่งของให้ตนอยู่มิใช่หรือ? กระบี่เทพตรีภพที่ได้รับในแดนเทวนิรันกาล แล้วก็หินสลักตรีภพ ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่หลัวซิวมอบให้ตนมิใช่หรือ?
แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องใช้การเวลาที่ยาวนานมาตกตะกอนการถ่ายทอดสืบสานและภูมิฐานของกองกำลังหนึ่ง
หลัวซิวส่งแหวนเก็บของวงหนึ่งให้ต้วนคง จากนั้นต้วนคงก็เริ่มการปิดขังแล้ว ตราบใดที่ยังไม่บรรลุเป็นมกุฎเต๋า เขาก็จะไม่ออกจากการปิดขัง
“ก็ถึงช่วงเวลาที่พอเหมาะพอควรแล้ว”
ภายในวังซิวหลัว หลัวซิวนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ เหยียนซีโรว่กำลังอยู่เคียงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ
“ท่านสวามีจะจากไปแล้วหรือ?”
เมื่อเหยียนซีโรว่ได้ยินเสียงเขา จึงมีความอาลัยอาวรณ์ปรากฏในแววตานางทันที
นางอยากบอกมาก ๆ ว่าตนก็อยากไปโลกเซียนพร้อมกับท่านสวามีเช่นกัน แต่ในใจกลับเข้าใจดีมากว่าศักยภาพของนางอ่อนเกินไป หรือจะไปเป็นตัวถ่วงของท่านสวามีในโลกเซียน?
“ข้าคาดการณ์ว่าเยว่เอ๋อร์ก็น่าจะไปโลกเซียนแล้วเหมือนกัน มิฉะนั้นหากนางยังอยู่ในโลกามนุษย์ละก็ ข้าไม่มีทางไม่เจอตัวนางแน่นอน”หลัวซิวลูบไล้ใบหน้าของน้องโรว่พลางพูด
ต่อให้เหยียนซีโรว่เอ่ยปากขอร้อง หลัวซิวก็ไม่พานางไปด้วยอยู่ดี เพราะแม้แต่เขายังไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกเซียนได้หรือไม่ หากประสบพบเจอความอันตราย แม้แต่ตัวเองยังไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ละก็ เช่นนั้นหากเขาพาน้องโรว่ไป ก็มีแต่จะทำให้นางตกระกำลำบากไปด้วย
จู่ ๆ เหยียนซีโรว่ก็โผเข้ากอดหลัวซิว หลับตาลงแล้วประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของเขา ก่อนจะอ้อนวอนด้วยสภาพจิตใจที่แปรเปลี่ยน
“ท่านสวามี ข้า……”
โฉมงามครางเสียงเบา หลัวซิวจึงไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ก็มีดนตรีเสียรักระหว่างหนุ่มสาวดังขึ้นมาในวังซิวหลัวที่เงียบสงัดในตอนแรก
หลังจากเสียงรักระหว่างหนุ่มสาวจบลง เหยียนซีโรว่ซบอิงอยู่บนอ้อมอกสามีพลางพูดพึมพำ: “ท่านสวามี ข้าจักรอท่านที่นี่นะเจ้าคะ”
แม้นจิตใจจะไม่อยากจากกันมากเพียงใด สุดท้ายแล้วเหยียนซีโรว่ก็เป็นสตรีที่เข้าใจหลักการสำคัญ ดังนั้นนางจึงไม่ได้วิงวอนที่จะไปพร้อมกับหลัวซิว
“วางใจเถิด ข้าจักกลับมารับเจ้าแน่นอน เจ้าตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นี่ดี ๆ พยายามบรรลุเป็นประมุขเต๋ามกุฎเต๋าก่อนข้ากลับมาอีกครั้งให้ได้ล่ะ”
หลัวซิวหอมหน้าผากน้องโรว่ทีหนึ่ง เขาก็ไม่อยากจากไปเช่นกัน แต่เขาก็เข้าใจดีมากว่าต้องเลือกอย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
นี้ก็หายไปเป็นปีเลย แอแ...
รออ่านยุ...
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...