“นี่คือสถานที่ห่าเหวอะไรกันแน่?”
ร่างกายตู๋กูสั่นสะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับสิ่งที่เขามองเห็นไม่ใช่คำว่า‘สถานกระดูกฝัง’ แต่เป็นป่าช้าที่ฝังผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วน
“ซากศพของอสูรกายที่ใหญ่ตรงมโหฬาร แมลงซื่อเซียนที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง ดูท่าที่นี่น่าจะไม่ใช่สถานที่ประเสริฐศรีอะไร” จู่ ๆ สีหน้าอารมณ์ของฉินจ้านก็ดูเข้มงวดขึ้นมาเช่นกัน
“โฮกก!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงคำรามที่สะเทือนฟ้าสะท้อนมา สีหน้าของฉินจ้านและประมุขเต๋าต่างเปลี่ยนไปอย่างมาก เนื่องจากเสียงคำรามดังกล่าวน่ากลัวเกินไป ราวกับมีค้อนขนาดใหญ่ทุบลงตัวหยั่งรู้อย่างรุนแรงจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้มีเลือดไหลออกมาจากหูจมูกปากตาภายในพริบตา
ร่างกายของหลัวซิวโยกเบา ๆ ครั้งหนึ่ง เขามีตัวหยั่งรู้ไร้รูปที่เกิดจากการฝึกต้องห้ามภูตเซียนไท่ซ่าง ดังนั้นเสียงคำรามนี้จึงสร้างผลกระทบให้เขาไม่มากนัก
เงยหน้ามองขึ้นไป มีร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬารปรากฏในพยับเมฆสีเทาน้ำตาลที่ปกคลุมท้องฟ้า นั่นคือมังกรกระดูกตัวหนึ่งที่ยาวหลายหมื่นเมตร มีแสงทองที่แวววาวจับตาแย้มบานอยู่บนโครงกระดูกตามร่างกาย และมีอำนาจบารมีที่น่าสยดสยองตลบฟุ้งออกไปทั่วทุกสารทิศ
“กระดูกแห่งมังกรเซียน!”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลง เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่ามังกรกระดูกสีทองตัวนี้ต้องเป็นอสูรระดับเซียนแน่นอน มีรัศมีเรืองรองที่เหมือนกันเทพเป็นประกายอยู่บนมังกรกระดูกตัวนั้น ทว่ากลับมีชี่มรณะที่น่าสยองแฝงซ่อนอยู่
มังกรกระดูกหมื่นเมตรที่กำลังลอยวนเวียนอยู่บนท้องฟ้ามีดวงตาคู่หนึ่งที่มีอัคคีแห่งวิญญาณกำลังลุกโชน เมื่อมันมองมาทางพวกหลัวซิว ก็มีชี่เย็นเยือกที่มืดทึบแผ่คลุมทั้งร่างกายพวกเขาเอาไว้
“โฮกก!”
มังกรกระดูกหมื่นเมตรตัวนั้นคำรามอีกครั้ง ลำตัวที่ใหญ่โตมโหฬารจึงพุ่งตรงมาทันที และการคำรามในครั้งที่สองก็ทำให้ฉินจ้านและตู๋กูกระอักเลือดภายในพริบตา วังนี๋หวันที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ยิ่งแตกร้าวไปด้วย
“ช่างเป็นมังกรกระดูกที่น่ากลัวยิ่งนัก”
สีหน้าของหลัวซิวขาวซีดเล็กน้อย เมื่อมังกรกระดูกมองมาทางเขา เขาก็สัมผัสได้แล้วว่ามีความตายได้ปกคลุมร่าง แต่เขากลับมองเห็นความดูถูกและเหยียดหยามเสี้ยวหนึ่งได้จากดวงตาอัคคีแห่งวิญญาณของมังกรกระดูก
บางทีสำหรับมังกรกระดูกหมื่นเมตรที่แข็งแกร่งจนน่าสยดสยองนั่นแล้ว พวกเขาทั้งสามไม่ใช่แม้กระทั่งเซียน เป็นเพียงมดตัวจ้อย จึงทำให้มันรู้สึกไม่สนุกเร้าใจเลยแม้แต่น้อย
“กรอด กรอด กรอด กรอด……”
ทันใดนั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยก็สะท้อนเข้ามาในหู ทำให้สีหน้าของหลัวซิวทั้งสามคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง มองเห็นคลื่นกระแสแมลงสีดำนั่นม้วนซัดมา
“ไป!”
หลัวซิวจับร่างฉินจ้านและตู๋กูที่ตัวหยั่งรู้ได้รับความเสียหายขึ้นมา เข็มทิศสาส์นเต๋าปรากฏใต้เท้า ผันเป็นลำแสงดวงหนึ่งภายในชั่วที่ตาเดียว แล้วบินหนีไปโดยที่ลอยสูงกว่าพื้นดินไม่มากรัก
ไม่รู้ว่าสถานที่ที่เงียบเหงานี้กว้างใหญ่มากเพียงใดกันแน่ เคลื่อนที่ด้วยระดับความเร็วของเข็มทิศสาส์นเต๋าอยู่นานมาก แต่ก็ไม่เจอชายแดนและสุดปลายขอบเขตสักที
เขานึกถึงรัศมีที่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นดั่งพระอาทิตย์ที่พวกเขามองเห็นในตอนแรก และพวกเขาก็เจอฝูงแมลงซื่อเซียนระหว่างที่กำลังไล่ตามรัศมีดวงนั้นนั่นแหละ บางทีอาจจะสามารถเจอเบาะแสอะไรในสถานที่ที่มีแสงสว่างลอยขึ้นมาก็เป็นได้
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวก็เปลี่ยนทิศทางในการบินของเข็มทิศสาส์นเต๋า ฝูงแมลงซื่อเซียนถูกเขาทิ้งห่างอยู่ด้านหลัง
หลังจากที่ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ เมื่อหลัวซิวมาถึงสถานที่ที่มีรัศมีดวงนั้นปรากฏ เขาก็มองเห็นสถานที่ที่เหมือนดั่งสุขาวดี
หากเปรียบเทียบสถานเงียบเหงาที่ไร้ขอบเขตแห่งนี้ให้เป็นทะเลทราย เช่นนั้นสถานที่แห่งนี้ก็คือโอเอซิสที่มีความหวัง ที่นี่มีภูเขาและแม่น้ำที่งามจับตา มีดอกไม้ใบหญ้าขึ้นอยู่ทุกแห่งหน เหมือนดั่งแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์
ดั่งคำกล่าวที่ว่า สิ่งที่ดูผิดปกติย่อมไม่ปกติ หลังจากหลัวซิวเดินเข้าไปด้านใน ความรู้สึกก็ตึงเครียดและประหม่าขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สถานที่ที่ปานสุขาวดีแห่งนี้เหมือนจะเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง
สีหน้าของฉินจ้านและตู๋กูดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งสามคนเดินอยู่ในหุบเขาแห่งนี้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มองเห็นแท่นหินที่ผุพังก้อนหนึ่งข้างทะเลสาบเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
หลัวซิวเดินตรงไป ก่อนจะพบว่าบนแท่นหินเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยแตกร้าว ตัวหนังสือที่อยู่ด้านบนก็เลือนลางมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับการบอกว่ามันคือตัวหนังสือ จะดีกว่าหากบอกว่ามันคืออักษรฮู้
“สิ่งที่เขียนอยู่ด้านบนคืออะไร? ไยข้าจึงอ่านไม่รู้เรื่องเลย?”ตู๋กูถอนหายใจแล้วพูด เขาคาดหวังมาก ๆ ว่าจะสามารถพบเจอเบาะแสที่สามารถหลุดพ้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้
“ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน”ฉินจ้านส่ายหน้า ก่อนจะนำสายตาจับจ้องไปทางหลัวซิว “น้องสาม เจ้าอ่านรู้เรื่องหรือไม่?”
“อดีตข้าเคยพูดคุยกับผู้อาวุโสท่านหนึ่ง เล่ากันว่าในยุคเซียนที่เก่าแก่อย่างยิ่ง ผู้แข็งแกร่งไม่ได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวหนังสือ แต่จะใช้ธรรมวิถีที่ตัวเองฝึกผันเป็นลายเต๋า จากนั้นค่อยเปลี่ยนลายเต๋าให้เป็นอักษรฮู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีเพียงผู้ที่เข้าใจธรรมวิถีที่แฝงซ่อนอยู่ด้านในเท่านั้น ถึงจะดูหรืออ่านสิ่งสิ่งนั้นรู้เรื่อง”
หลัวซิวตอบกลับเช่นนี้ ส่วนผู้อาวุโสที่เขากล่าวถึง ย่อมต้องเป็นราชาเซียนนี่ล่วนในโลกคุกเซียนอยู่แล้ว
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น สายตาของหลัวซิวก็ร่วงลงบนร่องรอยเลือนลางบนแท่นศิลาเช่นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่แตกต่างจากฉินจ้านและตู๋กูคือเมื่อเขารวบรวมสมาธิ เขาเหมือนจะสัมผัสได้ว่าอักษรฮู้ที่อยู่บนแท่นศิลามีชีวิตชีวาขึ้นมา!
อักษรฮู้ทั้งหลายเริ่มเคลื่อนไหว แยกตัวกันแล้วประกอบเป็นลายเต๋าที่นับไม่ถ้วน ก่อนจะมีออร่าประเภทหนึ่งที่ลึกลับและมหัศจรรย์แห่งขีดสุดถ่ายทอดเข้ามาในจิตใจ
หลัวซิวดึงสายตากลับมา มองไปทางฉินจ้านและตู๋กูที่อยู่ข้างกาย แล้วค้นพบว่าพวกเขาทั้งสองก็กำลังมองดูแท่นศิลาเช่นกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่พบความผิดปกติใด ๆ
นี่จึงทำให้หลัวซิวเข้าใจว่า น่าจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างในเมื่อครู่นี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...