ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิว หรือฉินจ้านและตู๋กู พวกเขาต่างนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ฝูงแมลงซื่อเซียนสีม่วงเป็นสิ่งมีชีวิตดุดันที่สามารถดูดกลืนเซียนได้เลยนะ แต่พวกมันกลับตายอย่างสิ้นซากภายในเสียงคำรามเดียวของมังกรกระดูก
หลัวซิวแหงนมองท้องฟ้าสีเทาน้ำตาล แล้วเห็นว่ามีแสงทองที่ใสดุจผลึกกำลังเป็นประกายอยู่ในหมอกบนท้องฟ้า ราวกับตั้งแต่ออกมาจากหุบเขาแห่งนั้น มังกรกระดูกตัวนี้ก็ไล่ตามพวกเขามาโดยตลอด
เขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่ามังกรกระดูกไม่ได้มุ่งร้ายต่อพวกเขา ยิ่งกว่านั้นคือขณะที่เขาได้รับการถ่ายทอดสืบสานของหกต้องห้าม หลังจากปลุกตื่นร่างเซียนไท่ซ่าง เขาก็ยิ่งสามารถสัมผัสได้ว่ามังกรกระดูกมีเจตนาดีต่อตัวเอง
ราวกับมังกรกระดูกตัวนี้กำลังคุ้มครองให้พวกเขาจากไป
ใบหน้าของฉินจ้านและตู๋กูเหม่อลอย นอกจากความรู้สึกปิติยินที่มีชีวิตรอดมาได้ ความรู้สึกที่มีมากกว่ากลับเป็นความสงสัย
“เหตุใดมังกรกระดูกตัวนี้จึงต้องช่วยเรา?”ซึ่งนี่ก็คือคำถามในใจพวกเขา
“หยุดคิดได้แล้ว รีบไปกันเถอะ”
หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไร ไม่ใช่เขาต้องการปิดบัง ทว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน ความเงียบสงัดอันไร้ขอบเขตที่ปกคลุมฟ้าดินก็สลายหายไปแล้ว ในที่สุดหลัวซิวทั้งสามคนก็เดินออกมาจากสถานที่ที่แปลกประหลาดแห่งนั้นสักที
หันหน้ากลับไปมอง สิ่งที่พวกเขามองเห็นคือแผ่นดินใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาน้ำตาล พวกเขามองเห็นแท่นหินตรงจุดที่พวกเขาออกมา และด้านบนก็มีลายเส้นตัวอักษรสีแดงที่น่าสยดสยองเขียนอยู่ด้านบน
“แดนต้องห้ามกระดูกฝัง คนแปลกหน้าห้ามเข้า!”
“เราดวงซวยขนาดนี้เลยหรือ?”เมื่อตู๋กูมองเห็นประโยคนี้ขจ สีหน้าเขาก็ดูย่ำแย่เล็กน้อย
“หากทุกคนที่เข้ามาในสะพานทะยานเซียนล้วนถูกส่งมาในแดนต้องห้ามกระดูกฝัง เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถมีชีวิตรอดออกมาได้”
ฉินจ้านคิดได้ค่อนข้างรอบด้าน ไม่สามารถส่งข่าวคราวนี้ให้ผู้คนที่อยู่สามโลกาทราบ เกรงว่าอนาคตคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากบินทะยานขึ้นสู่โลกเซียนได้ตายอยู่ในแดนต้องห้าม
“ไม่นึกเลยว่าจะมีคนสามารถมีชีวิตรอดออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝังได้อย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้น ก็มีแสงกลรุ้งยาวดวงหนึ่งบินมา มาถึงตรงหน้าภายในชั่วลมหายใจเดียว มีเงาร่างของสตรีที่งดงามคนหนึ่งปรากฏหน้าหลัวซิวทั้งสามคร
สตรีคนดังกล่าวดูมีอายุไม่มาก แต่กลับมีออร่าของท่วงเซียนไหลเวียนอยู่บนร่างกาย ซึ่งท่วงเซียนประเภทนี้ไม่ใช่กึ่งเซียน แต่เป็นออร่าที่จะมีได้ก็ต่อเมื่อบรรลุมรรคผลกลายเซียนแล้ว
“กราบคารวะเทพธิดาขอรับ”หลัวซิวทั้งสามคนประสานมือทำท่าคารวะ เนื่องจากพวกเขามองผลการฝึกตนของสตรีนางนี้ออกมา แต่อย่างน้อยนางก็เป็นเซียนคนหนึ่ง
เทพมารและเซียนห่างกันหนึ่งแดน แต่แตกต่างกันราวกับฟ้ากับดิน แม้นหลัวซิวจะรู้ดีอยู่ว่าตนเป็นผู้ไร้เทียมทานในหมู่ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าแดนเซียน แต่ถ้าเกิดได้ปะทะกับเซียน เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสชนะ
“ผู้บินทะยานขึ้นสู่โลกเซียน?”
หลังจากรู้ว่าพวกหลัวซิวทั้งสามคนมาจากโลกามนุษย์ แล้วบินทะยานขึ้นสู่โลกเซียนด้วยสะพานทะยานเซียน ก็มีรังสีแห่งความตะลึงปรากฏในแววตาสาวน้อยอย่างเห็นได้ชัด
“ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมาไม่มีคนในโลกามนุษย์บินทะยานขึ้นสู่โลกเซียนเลย นึกไม่ถึงเลยว่านี่เพิ่งผ่านไปแค่กี่ร้อยปีเอง ก็มีคนจากโลกามนุษย์บินทะยานขึ้นสู่โลกเซียนแล้ว เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี้ ก็มีคนคนหนึ่งบอกว่าตนมาจากโลกามนุษย์เช่นกัน และมีชีวิตรอดออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝังเช่นกัน”สาวน้อยพูดอย่างตะลึง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แววตาหลัวซิวก็ดูเข้มงวดขึ้น ก่อนจะผนึกรวมแรงเต๋าวิวัฒนาการรูปร่างลักษณะของเฉว่โยวหวูจี๋ออกมา แล้วถาม: “เซียนหมายถึงคนนี้หรือ?”
“ถูกต้องขด คนนี้แหละ ดูท่าพวกเจ้ารู้จักกันสินะ”สาวน้อยพยักหน้า
“อีกฝั่งหนึ่งของสะพานทะยานเซียนอยู่ที่ใดหรือขอรับ?”ฉินจ้านอดถามไม่ได้
ในสามโลกา ตระกูลจีเฝ้าดูแลรักษาสะพานทะยานเซียนมายาวนานอย่างไม่รู้จบ แต่ที่นั่นกลับมีค่ายกลสะพานทะยานเซียนแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งก็ควรจะอยู่ในโลกเซียนสิ
“สะพานทะยานเซียนไม่คงอยู่ตั้งนานแล้ว มันถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว”
สาวน้อยส่ายหน้าแล้วพูด: “อดีตตำแหน่งที่ตั้งของแดนต้องห้ามกระดูกฝังก็คือสะพานทะยานเซียนนี่แหละ แต่ทว่าในเมื่อสามารถมีคนบินทะยานขึ้นมาจากโลกามนุษย์ จึงแสดงให้เห็นเลยว่าค่ายกลของสะพานทะยานเซียนไม่ได้ถูกทำลายล้างโดยสิ้นเชิง”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา หลัวซิว ฉินจ้านและตู๋กูก็สบตาเป็นครั้งหนึ่ง ต่างสามารถมองเห็นความสงสัยและความไม่เข้าใจที่ไร้ขอบเขตได้จากแววตาของกันและกัน
“ในเมื่อสะพานทะยานเซียนถูกทำลายไปแล้ว ไยจึงไม่ซ่อมแซมกลับคืนมาใหม่ขอรับ?”หลัวซิวถาม
“มันจะทำได้ง่ายเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า? ในแดนต้องห้ามกระดูกฝังเปี่ยมล้นไปด้วยภยันตราย หลังจากเข้าไป การที่สามารถมีชีวิตรอดออกมาได้ก็ถือว่าโชคดีมาก ๆ แล้ว จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปซ่อมแซมค่ายกลของสะพานทะยานเซียน”
สาวน้อยยังคงส่ายหน้าต่อ นางมองหลัวซิวรอบหนึ่ง “คำถามพวกเจ้าเยอะจริง ๆ แต่ทว่าพวกเจ้าเพิ่งขึ้นมาจากโลกามนุษย์ ยังไม่ค่อยเข้าใจโลกเซียน เดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปเมืองเซียนที่อยู่ใกล้ที่นี่ที่สุดก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...